รู้จักการเสริมโครงกระดูกสันหลังด้วยการฉีดซีเมนต์
วิธีการรักษาโครงกระดูกสันหลังอาจจะมีหลากหลายและสำหรับการฉีดซีเมนต์ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยได้ดี
โดยผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บปวดเพราะว่ากระดูกสันหลังนั้นหัก เสื่อมสภาพ ทรุด ผิดปกติ
กระดูกสันหลังพรุน ทางแพทย์อาจจะวินิจฉัยให้ทำการเสริมโครงกระดูกสันหลัง ด้วยการฉีดซีเมนต์ (Vertebroplasty/Kyphoplasty ) เข้าไป และอีกกรณีคือ
คนที่เป็นเนื้องอกในไขสันหลังและบริเวณใกล้เคียงก็ต้องรักษาด้วยวิธีนี้เหมือนกัน
บทความนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับการฉีดซีเมนต์คืออะไรและมีผลอะไรกับร่างกายของผู้ป่วยบ้าง
รู้จัก Vertebroplasty/Kyphoplasty คืออะไรกันนะ
อย่างแรกเลยเราจะพูดถึง Vertebroplasty
คือเป็นการรักษาเสริมโครงกระดูกสันหลังด้วยการฉีดซีเมนต์เข้าไปตรงที่สันหลังของผู้ป่วย
จะเป็นเหมือนกับการเพิ่มเสาให้กับกระดูก
จะทำให้กระดูกสันหลังนั้นมีความแข็งแรงมากขึ้น ลดอาการเจ็บปวดลงได้เล็กน้อย
และต่อมาเป็น Kyphoplasty
ที่จริงก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากในขั้นตอนการรักษาคล้ายกับแบบแรกเลย
แต่ว่าก็ยังมีข้อที่ต่างกันอยู่คือ Kyphoplasty
นั้นจะใช้บอลลูนในการถ่างที่กระดูกสันหลังตรงที่จะฉีดให้ขยายออกก่อน
โดยจะเน้นไปตรงส่วนที่พรุนแล้ว
บอลลูนนั่นเองจะช่วยคงรูปของกระดูกสันหลังเอาไว้แบบเดิม
จากที่หักแล้วก็ไม่ให้หักเพิ่ม โดยผู้ป่วยที่จะได้รับการวินิจฉัยให้รับการรักษาด้วยวิธีนี้คือ
(1.)
ผู้ป่วยที่มีอาการกระดูกสันหลังทรุดเพราะกระดูกพรุน
(2.)
ผู้ป่วยที่กระดูกสันหลังหัก
(3.)
ผู้ป่วยที่มีอาการกระดูกสันหลังผิดรูปจากปกติ
(4.)
ผู้ป่วยที่มีอาการกระดูกสันหลังติดเพราะมันหักหรือพรุน
(5.)
ผู้ป่วยกระดูกสันหลังพรุน
การรักษาด้วยการฉีดซีเมนต์นั้นมีข้อดีเหมือนกัน
โดยมันจะช่วยทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน ๆ ส่วนมากแค่คืนเดียวก็พอแล้ว
พร้อมทั้งยังลดความเสี่ยงอื่น ๆ ที่จะตามมาในขณะทำการรักษาด้วย
แต่ก็มีข้อควรระวังที่เป็นความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้เหมือนกัน อาจจะเป็นกระดูกหักใหม่เพิ่มขึ้น
เกิดการติดเชื้อที่กระดูก
ซีเมนต์ที่ฉีดเข้าไปนั้นรั่วไปกดทับเส้นประสาทตรงบริเวณกระดูกสันหลัง
ซึ่งจะทำให้อ่อนเพลีย แต่ปัญหาเหล่านี้ก็พบได้น้อยในผู้ป่วยที่รักษา
ในการเข้ารับการรักษาแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นที่ไหนผู้ป่วยก็จะต้องยอมรับและเข้าใจถึงข้อดีและความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
แต่ส่วนมากแล้วในการฉีดซีเมนต์เข้าไปในกระดูกสันหลังนั้นก็ช่วยให้ผู้ปวดมีอาการปวดน้อยลงและกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้เร็วยิ่งขึ้น
แต่ทั้งนี้ผู้ป่วยก็ต้องดูแลตัวเองตามที่แพทย์สั่งเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเองต่อไป
พยายามอย่าทำงานหนักเกินกว่าร่างกายจะไหว