disable right click

วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2560

กระดูกพรุน ดูแลกระดูกและผิวพรรณให้แข็งแรงด้วย Marine Collagen Peptide จากปลาทะเลน้ำลึก































          วัยทำงานขึ้นไปร่างกายเริ่มอ่อนล้าจากการทำงานหนักทุกวัน ผิวพรรณเริ่มแห้งขาดความชุ่มชื้น แลดูไม่มีชีวิตชีเวลา รวมถึงระบบภายในของร่างกายพังเช่นกันถ้าดูแลไม่ดี Marine Collagen Peptide จะมาเป็นตัวช่วยในการเพิ่มพลังการผสานเซลล์ผิวรวมถึงกระดูกที่ได้ร่วงรวย ผุพรุนไปด้วย หากปล่อยเอาไว้นานจะกลายเป็นโรคกระดูกเสื่อม ข้อเสื่อม กระดูกพรุนอย่างหนักจนรับมือยากอย่างแน่นอน





















กระดูกทำงานหนักเสื่อมง่าย

แม้ว่ากระดูกจะเป็นส่วนที่เหมือนจะแข็งแรงมากที่สุดในตัวของเราแล้ว แต่ฟันยังผุได้และเรามองเห็นมันจงง่ายต่อการรักษา ฟันผุอุดได้ ใส่ฟันปลอมง่ายไม่ต้องเจ็บตัวเยอะ แต่ถ้าหากกระดูกข้อ กระดูกอ่อน ที่อยู่ด้านในของร่างกายนั้นเสื่อมสภาพและผุลงนอกจากจะมองไม่เห็นแล้วเรายังประเมินด้วยตนเองยากมาก แต่เราจะรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดส่งมายังเส้นประสาทของเรา บางคนเป็นกระดูกพรุนหนักมากถึงขั้นเดินเหินด้วยตัวเองลำบาก


โดยอาการกระดูกพรุนนี้ Marine Collagen Peptide คอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึกจะช่วยได้มาก แนะนำเลยโดยเฉพาะสุภาพสตรีเนื่องจากว่าผู้หญิงจะกระดูกเสื่อมง่ายกว่าผู้ชายไม่ต้องคิดว่าแก่เท่านั้นกระดูกจะเสื่อม เพราะในความเป็นจริงแล้วเพียงแค่วัยทำงานอายุ 25 ปี ขึ้นไปกระดูกเริ่มที่จะค่อยๆ สูญเสียคอลลาเจนและแคลเซียมไปเยอะแล้วหากไม่รีบบำรุงตอนนี้แล้วจะบำรุงตอนไหนอีกอย่าปล่อยให้สายเกินไปเพราะตัวผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ Marine Collagen Peptide นั้นหาไม่ยากเลยมีขายทั่วไปในรูปแบบของอาหารเสริม

คอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึกช่วยอะไรได้บ้าง

อย่างแรกเลยช่วยในเรื่องของกระดูกที่เราเน้น ๆ กันในบทความนี้ Marine Collagen Peptide เป็นตัวเติมเต็มมูลกระดูกที่เสียไปเพราะอายุที่มากขึ้น เพราะการทำงานของกระดูกที่หนักกว่าเดิม และยังมีประโยชน์ข้ออื่น ๆ อีกไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสร้างความแข็งแรงให้กับผิว มีความเรียบ เนียน นุ่ม ชุ่มชื้น มีโปรตีนสำคัญคือ Elastin จะมาช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวแน่นอนว่าช่วยชะลอการลดริ้วรอยได้อีกด้วย รอยตีนกา ริ้วรอยแห่งวัย เหล่านี้จะมาช้าและเลือนรางลงไป


การทานมารีนคอลลาเจนปลาทะเลน้ำลึกนั้นก็ควรที่จะทานควบคู่ไปกับการดูแลตัวเองวิธีอื่น ๆ ด้วย เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยให้ได้วันละ 30 นาที จะดีมากๆเลย วัยทำงานหลายคนละเลยการออกกำลังกายไปทำให้ไม่ดีต่อสุขภาพ นอกจากนั้นในการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็จำเป็นพยายามลดอาหารที่มีแป้งและมันเยอะ เลี่ยงได้ให้เลี่ยงเลยหรือนานๆค่อยทานทีก็ได้ เพื่อสุขภาพของเราเองถ้ากินไม่เลือกความอ้วนมาเยือนแน่นอน 

       และความอ้วนนี่เองจะทำให้เราปวดกระดูกข้อได้เพราะน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานกระดูกข้อมันรับไม่ไหวเกิดการเจ็บป่วยตามมา อย่าปล่อยให้สุขภาพย่ำแย่แบบนั้นควรหันมาดูแลตัวเองเสียตั้งแต่ตอนนี้ก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไป หากเราไม่สนใจที่จะดูแลตัวเองคนอื่นก็คงจะมาช่วยอะไรเราไม่ได้เหมือนกัน



ที่มา http://www.xcutemeshop.com/product/คอลลาเจนเปปไทด์-จากปลาท/ 



วันพุธที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560

โรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม ระวัง! โรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อมได้อันตรายมาก

ระวัง! โรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อมได้อันตรายมาก

         ในยุคของคนชอบก้ม ๆ เงย ๆ อยู่แบบนี้มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นโรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม หากเป็นแล้วมันไม่ได้ปวดเฉพาะคออย่างเดียวแต่ยังลามไปถึงส่วน แขน ขา และอื่น ๆ ได้อีกด้วย เราจะมาดูว่าในแต่ละที่นั้นอาการปวดของโรคนี้เป็นอย่างไร สาเหตุของการเกิดโรคมาจากอะไรบ้าง กระดูกสันหลังส่วนคอเรามีการใช้งานมันอยู่ทุกวันหากไม่ระวัง ไม่ดูแลมันจะเสื่อมบ้างก็ไม่แปลกเลย แต่ก็อย่าเป็นเลยจะดีกว่าเพราะหากมันปวดขึ้นมาจะทรมานมาก ๆ การรักษากว่าจะหายก็ต้องใช้เวลาอีกด้วย
อาการปวดของกระดูกสันหลังส่วนคอที่คอ/แขน/ขา

           ในส่วนของอาการปวดบริเวณคอนั้นก็จะรวมไปถึงบ่า ไหล่ด้วยเลย เวลาปวดมากจะร้าวเข้าไปถึงตรงบริเวณท้ายทอยซึ่งจะทรมานมาก การฝังเข็มและนวดจะช่วยบรรเทาได้เช่นกัน แต่มันก็ไม่ใช่การรักษาให้หายเพราะว่าไม่นานอาการปวดก็จะกลับมาอีกครั้งตรงจุดเดิม  มาถึงอาการปวดที่แขนโดยจะมีอาการ 3 แบบคือ ปวดกล้ามเนื้อ  แขนชา และปวดร้าว ส่วนใหญ่จะชามากกว่าเพราะเส้นประสาทสันหลังส่วนคอเริ่มถูกรบกวนแล้ว ยามากก็ทำอะไรไม่ได้ ชายาวมาถึงข้อศอกไปยันนิ้วมือกันเลย แต่ถ้าหากเป็นแบบกล้ามเนื้ออ่อนแรงแสดงว่าเส้นประสามกำลังโดนกดทับอยู่หนักมากใช้งานช่วงแขนไม่ได้เลย

       มาถึงอาการปวดที่ลามมาถึงขาในกรณีไขสันหลังมีการกดทับอาจจะไม่เจ็บไม่ปวดอะไร แต่ที่เปลี่ยนไปคือท่าเดิน จะตึง ๆ โดนโยก ๆ ล้มง่าย ก้าวสั้นลง ตามใครก็ไม่ทัน การเดินจะเหมือนกับหุ่นยนต์ไปเลย หากเป็นแบบนี้ควรเริ่มพบแพทย์แล้วเพราะไม่ปกติแน่นอนปล่อยไว้นานอาจจะทำให้กล้ามเนื้อมันลีบลงจนสุดท้ายก็เดินไม่ได้เลย
สาเหตุของกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อมมาจากอะไร

อาจจะมีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้กระดูกสันหลังส่วนคอทำงานหนักและเสื่อมลงไป เรามาดูกันว่าหลัก ๆ แล้วมาจากอะไรกันบ้าง โรคนี้จะเป็นง่ายกับคนที่ก้มหรือเงย สะบัดคอ บ่อยเกินไป ใครที่ติดจอ ติดสมาร์ทโฟนก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ทำบ่อย ๆ กระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อมได้ อีกหนึ่งคือคนที่ต้องนั่งทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานานแบบไม่มีการเปลี่ยนอิริยาบถเลย สุดท้ายก็มาจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบมาถึงกระดูกสันหลังอย่างแรง
แม้จะป่วยเป็นโรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อมแต่ก็ยังใช้ชีวิตปกติได้หากยังปวดไม่มาก แต่ว่าที่อันตรายคือเมื่อเป็นแล้วมันปวดลามไปถึงส่วนอื่น ๆ ของร่างกายจนไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ และเริ่มปวดร้าว เราจึงต้องควรรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อจะได้ไม่เกิดการปวดแบบเรื้อรังตามมา


วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560

โรคจากการก้มหน้ากับการรักษาที่ถูกต้องเป็นอย่างไร

โรคจากการก้มหน้ากับการรักษาที่ถูกต้องเป็นอย่างไร
          จะบอกว่าไม่มีใครก้มหน้านาน ๆ ในสมัยนี้คงจะไม่ได้เพราะตั้งแต่โลกของเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตนั้นใคร ๆ ต่างก็มีสมาร์ทโฟนกันคนละเครื่องเป็นอย่างต่ำ และก็ว่างเป็นไม่ได้ต้องหยิบขึ้นมาเล่นตลอด เป็นการคั่นเวลาได้ดีทีเดียว โรคก้มหน้ามันอาจจะรักษายาแต่มันก็รักษาได้นะหากเรารู้จักปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานมือถือของตัวเอง หรือใช้งานให้เป็นเวลาโรคก้มหน้าก็ไม่เป็นแล้ว

การก้มหน้ามีผลเสียต่ออะไรบ้าง
          เวลาที่เราก้มกระดูกสันหลังของเรากำลังทำงานอยู่ในท่าที่ผิดปกติเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในส่วนคอจากนั้นอาการปวดคอก็ตามมา อาการปวดกระดูกคอก็ถามหา อาจจะปวดถึงกระดูกสันหลังไปเลย ยิ่งมีการเคลื่อนไหวมาก ๆ กระดูกก็จะเสื่อมเร็วอีกด้วย แถมกระดูกสันหลังส่วนคอนั้นเคลื่อนไหวมากกว่าใครเลย หันซ้าย แลขวา ก้ม เงย ใช่หมดเลย ก็ลองคิดดูว่าหากวันหนึ่งเรามัวแต่ก้มหน้าอยู่กับสมาร์ทโฟนหรืออะไรสักอย่างนานเกินไปจะเกิดอะไรขึ้น
      นอกจากนั้นแล้วการก้มทำนา ทำไร่ ทำสวน ยกของหนักก็มีส่วนทำให้กระดูกสันหลังมีปัญหาเหมือนกัน สุขภาพของเราจะน่าห่วงมาก ๆ ยิ่งใครที่ต้องทำอยู่บ่อยครั้งในแต่ละวันแม้มันอาจจะกลายเป็นความเคยชินแต่ร่างกายเราอาจจะไม่ชินไปด้วย กระดูกสันหลังทำงานหนักเกินไปจะเริ่มเสื่อมสภาพ บ้างก็อาจจะเคลื่อน ไปทับเส้นประสาท เคลื่อนไหวเรื่องกายไม่ได้เลย ใครที่ติดการเล่นสมาร์ทโฟนอยู่ตอนนี้แนะนำว่าควรออกห่างมาบ้างหากคุณยังคงรักสุขภาพของตัวเอง
ช่องทางการรักษาโรคปวดหลังปวดคอจากการก้มหน้า
           หากจะให้หายดีแล้วไม่เป็นอีกครั้งจะต้องรู้จักเวลาในการเล่นมือถือให้อยู่ในความพอดี ไม่ใช่ติดอินเตอร์เน็ตจนไม่เป็นอันต้องทำอะไรแล้ว พอรู้สึกตัวอีกทีก็ปวดคอแล้ว ปวดหลังยังตามมาสมทบอีกแม้จะรักษาหาแล้วถ้าหากยังมีพฤติกรรมเดิม ๆ อีกก็คงไม่มีประโยชน์อะไร หากปวดมาก ๆ ทานยาอาจจะไม่ได้ผลแล้วอาจจะต้องมีการฉีดยาสเตียรอยด์และต้องคอยฉีดเรื่อย ๆ ด้วยเสียทั้งเวลาเสียเงินและเสียสุขภาพด้วย หากยังไม่ดูแลตัวเองปล่อยให้อาการปวดเป็นหนักขึ้นจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเลย
        แม้จะอยู่ในยุคที่ปฏิเสธเทคโนโลยีไม่ได้เราก็ต้องรู้จักอยู่กับมันโดยที่ไม่เสียสุขภาพของตัวเองด้วยเช่นกัน เล่นให้เป็นเวลาไม่ใช่เล่นทุกเวลาแบบนั้นสุขภาพจะแย่เอามาก ๆ หาเวลาในการออกกำลังกายด้วยอย่างน้อยวันละ 30 นาทีก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยให้กล้ามเนื้อได้ทำงานบ้าง

วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ปวดคอ เผย 5 พฤติกรรมที่ไม่ควรทำเมื่อมีอาการปวดคอ

หลายคนรู้สึก ปวดคอ เพราะด้วยสาเหตุหลักๆ นั้นเกิดจากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็มีตั้งแต่วัยเรียน วัยทำงาน หรือแม้กระทั่งวัยเกษียณอายไปแล้ว เนื่องจากอาการ ปวดคอ เป็นอาการสะสมที่ไม่ใช่การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วจะเกิดอาการปวดทันที แต่อาการนี้จะเกิดจากการสะสมและต่อเนื่อง ดังนั้นเมื่อมีอาการ ปวดคอ จึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมดังต่อไปนี้

นอนหมอนสูง
เชื่อหรือไม่ว่าการนอนหมอนสูงนั้นเป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งเมื่อมีอาการ ปวดคอ เพราะหมอนที่สูงเกินไปจะทำให้คอในแนวที่สูงกว่ากระดูกสันหลัง และทำให้กระดูกบริเวณคอนั้นคดงอ ดังนั้นคนที่มีอาการ ปวดคอ จึงควรหลีกการนอนหมอนสูง หรือหมอนต่ำเกินไป และเลือกนอนหมอนที่พอดีคอไม่แข็งหรือน่มเกินไปด้วย

ไม่เปลี่ยนอริยาบถ
เมื่อคุณมีอาการ ปวดคอ ลองสังเกตดูว่าเกิดจากการที่ไม่เปลี่ยนอริยาบถระหว่างการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานหรือไม่ ถ้าใช่คุณควรจะเปลี่ยนอริยาบถทุกๆ ครึ่งชั่วโมง เพราะการเปลี่ยนอริยาบถช่วยทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ปวดเกิดการผ่อนคลายมากขึ้น


 สะบัดคอแรงๆ
การสะบัดคอแรงๆ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำสำหรับคนที่มีอาการ ปวดคอ การสะบัดคอหรือเอียงคอเพื่อให้เกิดเสียงดังเป็นความเชื่อผิดๆ ที่ว่าจะทำให้อาการปวดบริเวณคอนั้นดีขึ้น แต่ความเป็นจริงแล้วหากทำผิดท่าอาจทำให้เกิดอาการเคล็ดหรือกล้ามเนื้อตึงกว่าเดิมได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการสะบัดคอแรงๆ อย่างเด็ดขาด
ความเครียด
ความเครียดเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรทำและควรหลีกเลี่ยงสำหรับคนที่มีอาการ ปวดคอ เพราะสังเกตได้จากคนที่มีความเครียดมักจะเกิดอาการตึงบริเวณต้นคอซึ่งในบริเวณนั้นเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาทต่างๆ ดังนั้นเมื่อมีอาการ ปวดคอ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียดและทำให้ตัวเองอารมณ์ดีอยู่เสมอ

เล่นกีฬา
เมื่อมีอาการ ปวดคอ คุณควรจะงดการเล่นกีฬาแบบหนักๆ เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดกำเริบ เกิดอาการตึงกล้ามเนื้อบริเวณคอ หรืออาจถึงขั้นกล้ามเนื้อฉีกได้ แต่สิ่งที่ควรสำหรับคนที่มีอาการปวดคือควรทำท่าบริหารคอ เช่น การประสานมือและวางไว้ที่คอหรือท้ายทอย และหงายหน้าขึ้นค้างไว้ ท่านี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ตึงคลายออก และอาการปวดจะดีขึ้นเมื่อบริหารอย่างต่อเนื่อง

อาการ ปวดคอ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน หรือเรียกว่าทุกคนมีความเสี่ยงที่เกิดอาการนี้ได้ แต่เมื่อเกิดอาการปวดแล้วก็ควรจะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดอาการปวด หรืออาการอักเสบ ซึ่งคำแนะนำข้างต้นสามารถทำได้ด้วยตัวเอง


วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560

อาการปวดคอปวดไหล่และปวดหลัง วิธีบำบัดอาการปวดคอปวดไหล่และปวดหลังอย่างได้ผล

วิธีบำบัดอาการปวดคอปวดไหล่และปวดหลังอย่างได้ผล
       การนั่งทำอะไรในท่าเดิมซ้ำๆ ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การนั่งเย็บผ้าหน้าเครื่องจักร หรือแม้กระทั่งการนอนในท่าทางที่ไม่สอดคล้องกับสรีระร่างกาย ล้วนแต่เป็นบ่อเกิดของอาการปวดคอ ไหล่และหลังได้ทั้งนั้น ตั้งแต่วัยรุ่น ไปจนถึงวัยชรา เราจะพบเห็นอาการนี้ได้กับทุกคนเสมอ

สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้หลายคนปวดคอ ไหล่และหลัง มีอยู่ 3 ประการได้แก่
  1.     การนั่งอยู่ในท่าทางใดท่าทางหนึ่งเป็นระยะเวลานานซึ่งผิดสุขลักษณะ อาจจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นหดเกร็งจนนำไปสู่อาการปวดหลังและคอได้ในที่สุด อาการเช่นนี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ใช้หมอนที่ไม่พอดีกับระดับศีรษะเช่นหมอนที่สูงเกินไปหรือต่ำเกินไปและพบได้บ่อยในผู้ที่ทำงานกับจักรเย็บผ้า
  2.    เกิดจากอุบัติเหตุบริเวณคอและหลัง ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนไหวคอที่เร็วและแรงมากเกินไป ทำให้เส้นเอ็นบริเวณคอเกิดการฉีกขาดได้ง่าย อาการเช่นนี้มักจะเกิดจากการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อคอเร็วกว่าปกติ ตกจากที่สูง ถูกทำร้ายร่างกายและได้รับบาดเจ็บจากการประสบอุบัติเหตุ
  3.  อาการข้อเสื่อมที่พบมากในวัยผู้สูงอายุ สาเหตุเกิดจากการทำหน้าที่ของข้อและกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวเสื่อมสภาพไปตามอายุขัย จึงทำให้เกิดการเจ็บปวดและเมื่อยล้าบริเวณคอ ไหล่และหลังได้

แนวทางการรักษาในกรณีปวดคอ ไหล่และหลังเกิดขึ้น
  สามารถรักษาไปตามอาการโดยการรับประทานยาแก้ปวดเพื่อระงับอาการปวด อีกทั้งทำกายภาพบำบัดเพื่ผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนนั้นเป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อให้แข็งแรง สามารถทำกายภาพบำบัดได้ด้วยตัวเองที่บ้านอย่างง่ายดายดังนี้
  1.      ยืนในท่าตรง ค่อยๆ ก้มหน้าลงช้า ๆ ให้ปลายคางจรดกับอก แล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นช้าๆ ทำเช่นนี้ต่อไปสัก 5 นาทีเป็นอย่างน้อย                                                                                                                                                     
  2.      ตั้งหน้าให้ตรง จากนั้นค่อยๆตะแคงศีรษะไปทางซ้ายช้าๆ พยายามให้หูสัมผัสกับไหล่ซ้ายโดยที่ไม่ยักไหล่ และทำแบบเดียวกันกับข้างขวาสลับไปมา 5 นาที
  3.      หมุนศีรษะโดยหันหน้าไปทางซ้าย โดยให้ปลายคางอยู่ในแนวเดียวกับไหล่ซ้าย จากนั้นหมุนศีรษะกลับมาช้าๆ ทำแบบเดียวกันกับข้างขวา 5 นาที โดยทำตามขั้นตอนอย่างต่อเนื่องทุกวัน จะทำตอนเช้าตอนเย็นหรือระหว่างวันก็ได้ทั้งนั้น


          แม้ว่าการบริหารคอจะเป็นช่องทางหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยที่ปวดคอ ไหล่และหลังได้ แต่อย่างไรก็ตามการบริหารกล้ามเนื้อเช่นนี้ก็สามารถทำได้ในกรณีที่ปวดเมื่อยเพียงกล้ามเนื้อเท่านั้น อีกทั้งเด็กและผู้ใหญ่บางคนสามารถทำได้ แต่สำหรับผู้สูงอายุในบางราย  ก็ไม่สามารถทำการบริหารคอได้เนื่องจากกระดูกที่คอไล่มาจนถึงกระดูกสันหลังที่เสื่อมไป เพราะฉะนั้นการบริหารกล้ามเนื้อคอ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาอาการให้ถูกต้องและรับทราบสาเหตุอาการป่วยของตนเองก่อนบริหารกล้ามเนื้อคอและไหล่




วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ไซนัสอักเสบ อันตราย! ที่จะตามมาเมื่อเป็นโรคไซนัสอักเสบ

อันตราย! ที่จะตามมาเมื่อเป็นโรคไซนัสอักเสบ  

          ไซนัสอักเสบเป็นการป่วยชนิดหนึ่งเหมือนกับหวัดแต่ว่ามันไม่หายเร็วเหมือนหวัด จะเรียกว่าเป็นหวัดแบบเรื้อรังก็อาจจะไม่ต่างกัน การพักผ่อนเยอะ ๆ ให้ร่างกายแข็งแรงเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด แต่ว่าสำหรับบางคนร่างกายมันก็ไม่ค่อยเเข็งแรงมากนัก การป่วยเป็นโรคไซนัสอักเสบนั้นจะเป็นอันตรายต่อส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้อีกด้วย  โรคนี้ก็เป็นได้ทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง ใครที่คาดว่าจะเป็นไซนัสแนะนำควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดจะได้รีบหาทางรักษาให้หาย 

เป็นหวัดก็ทำให้เสี่ยงเป็นไซนัสอักเสบได้ 

        หวัดเป็นตัวการเลยที่จะทำให้เราเป็นไซนัสอักเสบได้ โดยเฉพาะคนที่เป็นหวัดนานเกิน 5 วัน แล้วไม่มีวี่แววว่าจะหายดีเลย ยังมีน้ำมูกอยู่ตลอด เริ่มมีการปวดตามจุดที่เป็นส่วนของโพรงไซนัสอยู่มันต้องไม่ใช่โรคหวัดทั่วไปแน่นอน และยิ่งผ่านมา 10 วัน แล้วยังไม่หายจะยิ่งทำให้มั่นใจได้มากกว่าเดิมว่าไม่ใช่หวัดแน่นอน อาจจะเป็นไซนัสอักเสบเรียบร้อยแล้ว แต่นอกจากหวัดแล้วที่เป็นสาเหตุของไซนัสอักเสบก็ยังมีอาการฟันผุ ในส่วนของฟันกรามก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุเช่นกัน เพราะว่ามันอยู่ใกล้กับโพรงไซนัสทำให้ลุกลามถึงกันได้ ต้องไปหาหมอแล้วล่ะ ปล่อยไว้อาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายมากกว่าเดิม  

อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อป่วยเป็นไซนัสอักเสบ 

        อันตรายของโรคนี้คือ มันสามารถทำให้ส่วนอื่น ๆ ต้องอักเสบไปด้วย เช่น หลอดลมอักเสบ หูอื้อ หูชั้นกลางอักเสบ แสบคอ เป็นต้น และยิ่งใครที่มีน้ำมูกลงคอบ่อยมากโอกาสที่อันตรายเหล่านี้จะเกิดขึ้นก็ยิ่งจะมีสูงมากขึ้น ยังไม่หมดเท่านั้นหากเป็นคนที่ร่างกายมีภูมิต้านทานน้อยจะยิ่งหายช้า และโอกาสที่ไซนัสอักเสบจะทำให้ส่วนอื่นป่วยตามก็มาก การอักเสบนี้เกิดมาจากเชื้อราซึ่งสามารถเข้าตา สมอง ได้เหมือนกัน แม้จะไม่ค่อยมีแต่ก็ควรจะระวังเอาไว้ด้วย กว่าที่มันจะลุกลามนั้นหากยังเป็นเบา ๆ อยู่จะต้องไม่ปล่อยเอาไว้รีบหาทางรักษาโดยด่วนที่สุด เพราะว่ามันจะสร้างความอ่อนเพลียให้กับร่างกายและอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ 

          การรักษาโรคไซนัสอักเสบในปัจุบันนี้มีความก้าวหน้ามากขึ้นทั้งในส่วนของยารักษาและเครื่องมือที่ใช้ในการผ่าตัดต่าง ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เป็นไซนัสอักเสบควรจะดูแลตัวเองให้ดี สุขภาพต้องแข็งแรงเพื่อเลี่ยงการลุกลามของเชื้อราไปยังส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย อย่าลืมว่าหากหวัดมันนานกว่า 5 วันแล้วยังไม่หายดีให้สงสัยเอาไว้ก่อนเลยว่าอาจจะเป็นไซนัสอักเสบแล้วควรไปหาหมอโดยเร็ว เพราะถ้าปล่อยเอาไว้เราก็ไม่รู้ว่ามันจะเรื้อรังไปอีกนานแค่ไหน และไม่รู้ว่ามันจะส่งผลกระทบที่เสียหายไปถึงส่วนใดของร่างกายเราบ้าง ร่างกายของเราเราจะต้องดูแลให้ดีที่สุด  


ที่มา http://health.mthai.com/knowledge/6418.html

วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ไซนัสอักเสบ การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยไซนัสอักเสบ

การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยไซนัสอักเสบ

โรคทุกอย่างบนโลกนี้มีสิทธ์ที่จะหายขาดได้หากรักษาอย่างถูกวิธียกเว้นแต่โรคที่ยังไม่มีการค้นพบวิธีการรักษา แต่สำหรับโรคไซนัสอักเสบนั้นยังมีทางในการรักษาให้หายขาดได้อยู่ และในบทความนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องสำหรับคนที่เป็นไซนัสอักเสบ เพราะว่าหากไม่รู้ว่าจักการดูแลตัวเองเลยอาการป่วยไซนัสนั้นอาจจะไม่หายก็ได้หรือหายแต่ช้ามากพอแต่ทำให้รู้สึกรำคาญตัวเองมากขึ้นเพราะว่าระหว่างที่เป็นไซนัสนี้ทำอะไรก็ไม่สะดวก หายใจก็ไม่สะดวก ทุกอย่างรู้สึกแย่ไปหมด

วิธีการปฏิบัติตัวสำหรับคนที่เป็นไซนัส

ถ้าอยากจะหายเร็ว ๆ ก็ต้องรู้จักดูแลตัวเองนะ เอาละถ้าใครเป็นเป็นไซนัสอยู่ให้ทำตามขั้นตอนการดูแลตัวเองดังต่อไปนี้

·         หากมีน้ำมูกอุดตันหรือน้ำมูกไหลพยายามอย่าสั่งน้ำมูกแรง ๆ เพราะว่าเป็นอันตรายต่อโพรงจมูกจะยิ่งอ่อนแอลงและรู้สึกปวดแสบได้ง่าย ๆ
·         พยายามอย่าทำอะไรที่ต้องก้มหัวลงเพราะหากทำแบบนั้นไซนัสมันจะยิ่งปวดมากขึ้น น้ำมูกไหลมากขึ้นอีกด้วย
·         เวลาที่นอนก็ต้องให้หัวอยู่สูงไว้ตลอดและวางตั้งให้ตรงไว้ เพราะว่าการนอนแบบนี้จะทำให้หนองที่อยู่ในโพรงไซนัสนั้นระบายออกมาได้ง่าย ๆ ตามหลักธรรมแล้วเราจะรู้สึกโล่งจมูกหายใจได้สะดวกมากขึ้นเมื่อได้ระบายออกบ้างแล้ว
·         หากเป็นโรคภูมิแพ้อะไรสักอย่างอยู่แล้วก็ให้เลี่ยงสิ่งที่ตัวเองแพ้ให้มากที่สุด จะเป็นอะไรก็ตามให้เลี่ยงเช่น ควันบุหรี่  ควันจากท่อไอเสีย เกสร ขนสัตว์ กลิ่นฉุน ฝุ่นละเอง เป็นต้น ซึ่งมันจะทำให้เรายิ่งเป็นไซนัสมากกว่าเดิมหากสูดดมเข้าไป
·         การดื่มน้ำสำคัญมากควรดื่มน้ำอย่างน้อย ๆ วันละ 8 แก้ว
·         นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หากร่างกายไม่พร้อมห้ามทำงานเด็ดขาด
·         ทันทีที่ป่วยให้รีบไปหาหมอในทันทีจะได้รักษาทัน

          หากเรารู้จักการดูแลตัวเองและป้องกันตัวเองจากสิ่งที่จะเป็นสาเหตุของการเกิดเป็นไซนัสอักเสบได้ เราก็จะไม่เป็นไซนัส หรือหากเป็นแล้วไม่ปล่อยเอาไว้เฉย ๆ ไม่ทำการหายากินเองแต่ต้องปรึกษาแพทย์อย่างถูกวิธีแบบนี้ก็จะหายขาดจากการเป็นไซนัสได้แล้ว


ที่มา http://www.entpmk.pmk.ac.th/webpage/Recommended%20sinusitis%20patients..html


วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ไซนัสอักเสบ ทราบไหมว่าการเป็นไซนัสอักเสบนั้นเกิดมาจากหลายสาเหตุ

ทราบไหมว่าการเป็นไซนัสอักเสบนั้นเกิดมาจากหลายสาเหตุ

คนที่ป่วยเป็นโรคไซนัสอักเสบนั้นไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ ก็เกิดจะเป็นขึ้นมาเฉย ๆ แต่มันมีสาเหตุในการเกิดโรคอยู่ บางคนเกิดเป็นไซนัสแบบเฉียบพลันขึ้นมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นไซนัสคิดว่าเป็นไข้หวัดคัดจมูกธรรมดาแต่กว่าจะรู้ว่าตัวเองนั้นเป็นไซนัสก็ดันเป็นแบบเรื้อรังไปเสียแล้ว การรักษาอาการเรื้อรังนั้นมันก็จะยากขึ้นไปอีกแต่ถ้าหากยังมาหาหมออยู่ยังไงก็ยังมีโอกาสที่จะหายขาดไปได้เหมือนกัน เดี๋ยวเรามาดูสาเหตุกันว่าไซนัสเกิดขึ้นเพราะอะไรบ้าง

สาเหตุของการเป็นโรคไซนัสอักเสบ

       



















การเกิดเป็นโรคไซนัสอักเสบของแต่ละคนอาจจะมีจากสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเพราะว่ามีเชื้ออยู่ในโพรงจมูกทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นมานั่นเอง ซึ่งสาเหตุทั้งหมดจะมีดังต่อไปนี้
1.      ไข้หวัดเป็นพิษ
2.      ฝุ่นละออง ควัน ที่อยู่ในอากาศแล้วเราหายใจเข้าไป
3.      เป็นโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ
4.      เป็นโรคริดสีดวงที่จมูก
5.      แพ้ขนสัตว์

       ที่กล่าวมานี้จะเป็นสาเหตุหลักของการทำให้เกิดเป็นโรคไซนัสอักเสบเลย ถ้าหากใครรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมดังกล่าวอย่าลืมหาวิธีการป้องกันและดูแลตัวเองให้ดี คนที่ป่วยเป็นไซนัสอักเสบนั้นมักจะมีอาการอื่น ๆ ตามมาด้วยเหมือนกับว่าเริ่มจะป่วยหนักไปเลยก็มี

อาการข้างเคียงจากการเป็นไซนัสอักเสบ

มันอาจจะมีหลายอย่างแทรกตามมาทำให้เรานั้นต้องรู้สึกป่วยมากขึ้นเป็นธรรมดาของโรคไซนัสมาดูกันว่าผลข้างเคียงเหล่านั้นมีอะไรบ้างดังนี้
·         อาการปวดศีรษะโดยอาการนี้จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากที่มีการเป็นหวัดแล้ว แต่นอกจากการปวดหัวก็ยังปวดส่วนอื่นไปด้วย ปวดไปทั้งหน้าเลย ทั้ง แก้ม ตา หน้าผาก มึนไปหมด
·         อาการคัดจมูก อาการนี้จะรู้สึกตลอดแม้ว่าจะมียาในการรักษาหวัดอยู่แล้วก็เถอะ เพราะว่านี่คือไซนัส บางครั้งก็เป็นเอาหนักมากจนหายใจทางจมูกไม่ได้เลย
·         อาการไอ จะรู้สึกคันคอและไอและหากยังไม่ยอมหายสักทีไอก็จะกลายเป็นเรื้อรังไปด้วย
·         อาการไข้ขึ้น   บางคนจะมีไข้ขึ้นสูงมากและเป็นร่วมกับอาการอื่น ๆ พร้อมกัน

สิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นได้สำหรับคนที่เป็นโรคไซนัสอักเสบ แต่ว่าบางคนที่มีภูมิต้านทานร่างกายที่แข็งแรงอยู่แล้วนั้นอาจจะไม่เป็นก็ได้ หรือบางคนก็เป็นแทรกมาแค่บางอาการเท่านั้นก็แล้วแต่คนกันไป อย่างไรก็ตามไซนัสนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอนหากรู้ตัวว่ากำลังป่วยอยู่ควรที่จะหาทางรักษาและปรึกษาแพทย์ในทันทีจะได้หายได้ทันการ 


ที่มา http://www.dmh.go.th/qa/view.asp?id=606