disable right click

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ปวดหลัง แนวทางการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันในผู้ป่วยโรคปวดหลังตอนที่ 1


ผู้ป่วยโรคปวดหลังต้องรู้ขอบเขตจำกัดในการเคลื่อนไหวของตน และรักษาท่าทางให้อยู่ในสมดุลเพื่อให้สามารถทำกิจกรรมได้อย่างเป็นปกติ จึงขอเสนอเรื่องท่าทางการเคลื่อนไหวที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆสำหรับผู้ป่วยปวดหลัง มีดังนี้


1.  การลุกจากเตียง
ให้ตะแคงตัวไปด้านข้างที่อยู่ชิดริมเตียงเสียก่อน แล้วหาท่าทางที่สมดุล และแขม่วกล้ามเนื้อหน้าท้องให้เกร็งไว้ ค่อยหย่อนขาของคุณลงจากเตียงและใช้มือทั้งสองดันตัวขึ้นไปในท่านั่ง เลื่อนตัวมาข้างหน้าเพื่อให้สามารถนั่งอยู่ที่ขอบเตียง นั่งตัวตรง ก้าวขาข้างหนึ่งไปทางด้านหน้า และดันตัวโดยใช้มือทั้งสองข้างจะลุกยืนได้อย่างง่ายๆ
2.  การยืนที่อ่างล้างหน้า
เมื่อโกนหนวดหรือแปรงฟัน วางแขนข้างหนึ่งไว้ที่อ่างน้ำเพื่อที่จะพยุงน้ำหนักตัวเอาไว้ หรือว่าวางเท้าข้างหนึ่งไว้บนม้าที่เตี้ย เพื่อผ่อนแรงกดดันที่หลัง อย่าก้มหลังหรือโน้มตัวไปข้างหน้าไกลเกินไป
3.  การอาบน้ำ
ขณะยืนอาบน้ำ ควรต้องรักษาท่าทางให้ถูกต้อง และควรใช้ฟองน้ำถูตัวที่มีด้ามยาว หรือขณะอาบน้ำอยู่ในอ่างน้ำควรหลีกเลี่ยงการนั่งเหยียดขาตรง แต่ควรทำการงอเข่าข้างหนึ่งเพื่อพยุงหลัง ก่อนที่จะนั่งลงในอ่างน้ำหรือว่าหากออกจากอ่างน้ำ ควรอยู่ในท่าคุกเข่า
4.  การโกนขนที่ขา
ให้ไขว้ขาข้างหนึ่งไว้บนขาอีกข้างหนึ่งในขณะนั่งอยู่ที่ขอบอ่างน้ำ ถ้าหากเป็นฝักบัว ควรที่จะนั่งพิงหลังกับข้างฝาและงอเข่าขึ้นมาที่หน้าอก ถ้าหากมีเก้าอี้พลาสติกจะช่วยให้ทำได้ง่ายขึ้น
5.  การใส่ถุงเท้าและรองเท้า
ควรนั่งลงและยกเท้าขึ้นมาหาคุณ เพื่อจะได้ทำหลังให้อยู่ในท่าที่ สมดุล หรือว่าคุณอาจวางเท้าไว้บนม้านั่งหรือบนเก้าอี้ก็ได้
6.  การใส่กางเกงใน
การใส่กางเกงในควรใส่ในท่านั่งจะปลอดภัยที่สุดหรือว่าใส่ในขณะที่ยืนพิงผนังห้อง เพื่อช่วยพยุงตัวเอาไว้
7.  การขับรถ

ควรที่จะนั่งตัวตรง เข่าไม่ควรสูงกว่าสะโพกมากนัก ให้ใช้หมอนเล็กๆ หรือผ้าขนหนูม้วนหนุนไว้ด้านหลังส่วนล่าง ก็จะช่วยให้รู้สึกสบายขึ้น ให้ศีรษะพิงไปข้างหลัง และไหล่พิงไปข้างหลังอย่างผ่อนคลาย ปรับที่นั่งไม่ให้เอนตัวไปด้านหน้าเกินไป ถ้าหากไม่สามารถอยู่ในท่าที่ดีได้ อาจต้องการซื้อที่พยุงหลังใส่บนที่นั่งช่วยอีกแรงหนึ่ง
ถ้าต้องขับรถนานกว่า 15 นาที ควรที่จะยืดกล้ามเนื้อในที่นั่ง 2-3 ครั้ง ด้วยการแอ่นหลัง และขมิบก้น
8.  การนั่งลงและลุกขึ้น

เมื่อเคลื่อนไหวจากท่ายืนเป็นท่านั่ง ควรเลื่อนเท้าให้เท้าข้างหนึ่งเหลื่อมมาข้างหน้า แล้วย่อเข่าลงให้หลังอยู่ในท่าที่สมดุลและจึงค่อยลดตัวลง ให้ใช้มือจับด้านหน้าของเก้าอี้ นั่งลงบนขอบหน้าของเก้าอี้แล้วจึงเลื่อนตัวไปข้างใน
เมื่อจะลุกขึ้นยืน ให้ถัดตัวมาหน้าริมขอบที่นั่ง เลื่อนเท้าให้เหลื่อมกันและควรใช้กล้ามเนื้อขา และสะโพกในการยืนขึ้น ดูแลให้หลังของคุณอยู่ในท่าที่สมดุลตลอดเวลา

  9. การนั่งที่โต๊ะทำงาน

9.1 ควรให้หลังอยู่ในท่าสมดุลที่สบาย อย่าเลื่อนตัวไถลไปข้างหน้าหรือให้ศีรษะ และไหล่ยื่นไปข้างหน้า หรือก้มต่ำลงจนเกินไปในขณะทำงาน ให้ใช้เก้าอี้ที่มีพนักพิงหลังตอนล่าง หรือใช้หมอนรองเอวถ้าจำเป็น
9.2 หากเก้าอี้นั่งชนิดปรับความสูงได้ ก็ควรปรับเก้าอี้ให้เข่าอยู่ในระดับเดียวกัน หรืออยู่ต่ำกว่าสะโพกเล็กน้อย และให้เท้าวางราบอยู่บนพื้นหรือวางอยู่บนที่วางเท้า ถ้าหากขาสั้นหรือเก้าอี้ปรับไม่ได้ อาจต้องใช้กล่องเล็กๆ วางไว้ใต้เท้า ถ้าหากต้นขาไม่ยาวพอที่จะนั่งไปถึงด้านหลังของเก้าอี้ ให้ใช้หมอนรองด้านหลังไว้ สำหรับผู้ที่มีความสูง  ควรดูว่าเก้าอี้มีที่นั่งที่ลึกพอจะรองรับต้นขาได้หรือไม่
9.3 ถ้าหากทำงานกับคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค คีย์บอร์ดและจอภาพควรจะอยู่ตรงข้างหน้าคุณ ส่วนบนของจอภาพควรอยู่ระดับสายตา ข้อมือควรจะอยู่ในท่าที่ และแขนท่อนล่างควรขนานกับพื้น
10.การนั่งเก้าอี้นวม


หลีกเลี่ยงการนั่งเก้าอี้ที่ลึกหรือนุ่มที่ลุกขึ้นได้ยาก หรือเก้าอี้ที่ทำให้ท่าทางไม่เหมาะสม หาที่นั่งที่สูงและแข็งจะดีกว่า ถ้าจำเป็นให้ใช้หมอนเล็กๆ หนุนที่บั้นเอว ควรดูให้แน่ใจว่าสะโพกอยู่ในระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าเข่าเล็กน้อย อย่าให้ตัวไถลลง หรือปล่อยให้ศีรษะและไหล่ยื่นมาข้างหน้าจะทำให้ปวดหลังได้

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม หรือ Degenerative disc ตอนที่ 2


แนวทางการรักษา

1.แพทย์ต้องจะอธิบายให้กับผู้ป่วยว่าเป็นโรคอะไร ผิดปกติอย่างไร เพื่อผู้ป่วยเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง พร้อมกับแนะนำวิธีการดูแลรักษาตนเอง เพื่อให้สามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้อง  ทั้งนี้โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมหรือโป่งยื่นทับประสาทที่ไปขา สามารถรักษาให้หายได้โดยไม่ต้องผ่าตัดถึงประมาณกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วย โดยแพทย์จะให้ยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวด พร้อมกับให้ยาลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ เพื่อลดการอักเสบรอบๆ เส้นประสาทหรือหมอนรองกระดูกสันหลัง ทำให้อาการปวดลดลงได้ และใช้การทำกายภาพบำบัดร่วมด้วยเพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2.ในผู้ป่วยที่มีอาการชาและอ่อนแรง แพทย์อาจให้ยาบำรุงเส้นประสาท หรือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจจะต้องพักงาน 2-3 วัน จึงกลับไปทำกิจวัตรประจำวันตามปกติได้
3. ทำกายภาพบำบัดจากนักกายภาพบำบัดซึ่งจะมีอุปกรณ์ที่ทำกายภาพบำบัดที่หลากหลายขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย
4.หากการรักษาในเบื้องต้นไม่ดีขึ้น แพทย์จะฉีดยาสเตียรอยด์ รอบเส้นประสาท หรือเรียกว่า Selective nerve block เพื่อลดการอักเสบและระงับปวดที่เส้นประสาท
5.เมื่อการรักษาอื่นไม่ได้ผล แพทย์จะวินิจฉัยให้ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัด หรือในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดอาการชาหรืออ่อนแรงมากขึ้นกว่าเดิม  ชารอบก้น ไม่สามารถอั้นอุจจาระและปัสสาวะอยู่ ในทางการแพทย์เรียกภาวะนี้ว่า Cauda Equina Syndrome ถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉินซึ่งพบได้น้อย และต้องได้รับการผ่าตัดเร่งด่วนทันที โดยมีลำดับดังนี้
5.1  แพทย์จะวินิจฉัยด้วยการส่งตรวจ MRI เพื่อดูหมอนรองกระดูกสันหลังที่โป่งยื่นว่ามีลักษณะอย่างไร
5.2  แพทย์จะทำการผ่าตัดด้วยวิธีที่เรียกว่า
Discectomy หรือการผ่าตัดเฉพาะชิ้นของหมอนรองกระดูกสันหลังที่โป่งยื่นออกมา
เท่านั้น โดยมีเทคนิคหลายวิธี
-ใช้วิธีเปิดแผลผ่าตัดขนาดใหญ่ คือ
10 เซนติเมตร
-ใช้วิธีเปิดผ่าตัดขนาดเล็ก คือ
1-2 เซนติเมตร ด้วยเทคนิคไมโครสโคปเข้าช่วย หรือ เรียกว่า Microdiscectomy ซึ่ง
กล้องจะอยู่นอกร่างกาย แล้วใส่อุปกรณ์เข้าไปภายในเพื่อเลาะกล้ามเนื้อออกจากกระดูกให้เป็นแนวยาว แล้วตัดกระดูกบางส่วนออกเพื่อสามารถผ่าตัดตำแหน่งที่มีการกดทับเส้นประสาทได้ วิธีเช่นนี้ทำให้เกิดความบอบช้ำต่อกล้ามเนื้อและอวัยวะข้างเคียงได้ และจะมีแผลขนาดประมาณ 3 - 5 เซนติเมตร


ห้องผ่าตัดที่มีเครื่อง Microscope

-ใช้วิธีผ่าตัดแบบ Full Endoscopic Spinal Surgery  โดยเจาะและทำการสอดกล้อง Endoscope ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 8 มิลลิเมตร  ที่มีเลนส์ติดอยู่ตรงส่วนปลาย ผ่านไปยังใยกล้ามเนื้อสู่หมอนรองกระดูกที่กดทับเส้นประสาท แล้วจึงใส่เครื่องมือผ่าตัด ผ่านกล้องเข้าไปตัดยังหมอนรองกระดูกโดยตรง ข้อดีของวิธีนี้คือ แพทย์มองได้ทุกมุมบริเวณที่จะผ่าตัด รวมทั้งมีอุปกรณ์ระบบน้ำไหลเวียน ที่ชะล้างสิ่งที่ผ่าตัด ทำให้มองเห็นชัดเจนตลอดเวลา 

5.3 ภายหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 1-2 วัน จึงสามารถกลับบ้านได้ ทั้งนี้ต้องปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำได้

5.4 สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงหลังการผ่าตัดอย่างน้อย 3 เดือน คือ  ห้ามผู้ป่วยยกของหนัก ห้ามเอี้ยวบิดตัวรุนแรง หรือก้มเก็บของ พยายามหลีกเลี่ยงการไอจาม การเบ่งอุจจาระ เพราะจะทำให้เกิดแรงดันในช่องหมอนรองกระดูกสันหลังสูงขึ้นได้  จะเกิดความเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บได้ และไม่ควรที่จะนั่งนานเกิน 1 ชั่วโมงในแต่ละครั้ง ต้องคอยหมั่นเปลี่ยนอิริยาบทบ่อยๆ ด้วยวิธีการลุก ยืน เดิน พร้อมทั้งบริหารกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้องอย่างสม่ำเสมอ
 


หลังการผ่าตัดผู้ป่วยจะหายขาดหรือไม่?
ภายหลังการผ่าตัดผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน และต้องปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์ โอกาสที่จะเกิดซ้ำมีเพียงร้อยละ 5 ทั้งนี้ส่วนใหญ่จะเกิดซ้ำในปีแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 เดือนแรกหลังผ่าตัด เรียกได้ว่าเป็น 3 เดือนอันตราย  โดยขึ้นอยู่กับระดับความเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลัง และการโป่งยื่นของหมอนรองกระดูก


วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

นั่งทำงานหน้าคอมอย่างไรไม่ปวดหลัง



            ทุกวันนี้เราต้องเผชิญกับการนั่งหลังขดหลังแข็งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ทั้งจากทำงาน เล่นเกมส์ เล่นเฟสบุค หรืออินสตราแกรม หรือด้วยเหตุผลอื่นๆ ล้วนส่งผลให้มีปัญหาเรื่องกระดูกสันหลัง เพราะว่าต้องก้มศีรษะลงขณะใช้คีย์บอร์ดและเมาส์ อีกทั้งยังต้องยกแขนไปมา  รวมไปถึงต้องใช้กล้ามเนื้อคอมากจนเกิดอาการเกร็ง หรือตึงกล้ามเนื้อ หากทำงานนานๆ ก็มักปวดคอ ปวดหัว หรือคอตึง คอเกร็ง และทำให้เสียบุคลิกอีกด้วย


ข้อปฏิบัติแก้อาการปวดหลัง

1. เลือกขนาดของโต๊ะ เก้าอี้ให้เหมาะและพอดีกับสรีระ
2. ไม่ควรที่จะใช้เก้าอี้สปริงที่เอนได้ เพราะไม่มีการรองรับหลังได้ดีเท่าที่ควร แต่ควรเลือกเก้าอี้ที่เอนได้และมีความสูงที่ได้ระดับ
3. ควรนั่งในท่าที่เหมาะสมและมีหมอนรองหลัง ไม่นั่งขัดสมาธิเวลาใช้คอมนาน จะทำให้เมื่อยมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า ควรที่จะนั่งบนเก้าอี้ปกติ เพื่อการใช้คอมพิวเตอร์ในตำแหน่งมาตรฐาน และควรหาหมอนขนาดกำลังพอเหมาะ หรือหมอนรองหลังเพื่อสุขภาพมารองพนักพิงหลัง เพื่อรองรับกระดูกสันหลัง ชะลออาการเมื่อยล้าได้
4. จอคอมพิวเตอร์ที่ใช้ต้องปรับให้อยู่ในระดับสายตา กล่าวคือ ตำแหน่งกึ่งกลางของจออยู่ระดับสายตา โดยให้อยู่ห่างระดับสายตาประมาณ 2.5 ฟุต พอดีกับระดับเก้าอี้ที่นั่ง ทั้งนี้การใช้จอแบบ LED ที่ใช้แพร่หลายในปัจจุบัน จะช่วยลดการสะท้อนของเงาและถนอมสายตาอีกด้วย
5. ส่วนของแป้นคีย์บอร์ด ควรที่จะอยู่ในระดับข้อศอก กับข้อมือ ทำให้ไม่ต้องยกแขนขึ้นมาพิมพ์
6. ควรใช้เมาส์แบบแทรกกิ้งบอล หรือไร้สาย ที่สามารถนำมาใกล้ตัวได้ถนัด ไม่ต้องยื่นแขน
7. ควรที่จะนั่งเก้าอี้ให้เต็มก้น
8. ลุกขึ้น และเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง ไม่ควรนั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน โดยออกไปยืดเส้นยืดสาย ทุกๆ 30-45 นาที  เพื่อพักสายตาได้เจอกับแสงในระดับที่ต่างกันเสียบ้าง หรือลุกขึ้นทำท่ายืดกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ คอ หลัง แขน และ ขา ค้างไว้ข้างละ 10 วินาที
9. กระพริบตา และมองออกไปในระยะไกล ซึ่งการกระพริบตาถี่ๆ จะทำให้น้ำมาหล่อเลี้ยงดวงตามากขึ้น หรือหลับตาเอนหลังสักชั่วเวลาหนึ่ง ให้ดวงตาได้พักผ่อน เหมือนกับนอนหลับ หรือว่าจะมองออกไปในระยะไกลสุดสายตา โดยที่ไม่ต้องจ้องหรือโฟกัสไปยังจุดไหน เพราะตาจะได้ผ่อนคลาย ไม่เกร็ง ซึ่งเป็นการสายตาได้ดีมาก และควรการดื่มน้ำเป็นระยะๆและ นำฝ่ามือที่อุ่นๆมาประคบดวงตา จะช่วยผ่อนคลายอาการเมื่อยของดวงตาได้ 
10. ควรที่จะบริหารร่างกายอยู่สม่ำเสมอ ท่าง่ายๆ ที่นอกจากเดินไปมา ก็คือ การบีบคอ ยืดกล้ามเนื้อคอ เอียงไปทั้งทางซ้ายและขวา ก้มหน้าเงยหน้า ทำท่าค้างในแต่ละท่าไว้ 10 วินาที ต่อมาทำการยืดกล้ามเนื้อหลังโดยก้มตัว หน้าอกประชิดคาง ควรทำช้าๆ และค้างไว้ประมาณ 10 วินาทีเช่นกัน 


           
แม้ว่าวิธีที่กล่าวมาข้างต้น จะไม่สามารถช่วยป้องกันได้ 100% แต่อย่างน้อยก็สามารถลดอาการปวดลงได้ 


วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ทำอย่างไรเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นตะคริว ตอนที่ 1



                

ตะคริว คือ ลักษณะอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง ทำให้ผู้ที่เป็นเจ็บปวดที่กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเป็นอย่างมาก มักจะมีอาการที่ตำแหน่งกล้ามเนื้อแขนและกล้ามเนื้อขาเป็นส่วนใหญ่ เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกที่ ทุกวัย และทุกเวลา แม้ว่าการเป็นตะคริวจะไม่อันตรายถึงแก่ชีวิต แต่มีผลทำให้เกิดอันตรายในระหว่างทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ควรจะรู้ถึงวิธีในการจัดการกับตนเองหากเป็นตะคริว
    

สาเหตุการเกิดตะคริว สามารถสรุปในภาพกว้างๆได้ ดังนี้
- สาเหตุเกิดจากเอ็นและกล้ามเนื้อมีการยืดตัวไม่บ่อย ทำให้มีการหดรั้งและเกร็งได้ง่ายเมื่อใช้กล้ามเนื้อนั้นมากเกินไป
- สาเหตุเกิดจากเซลล์ประสาทและเส้นประสาทที่ไปควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อทำงานไม่ปกติ
- สาเหตุเกิดจากการเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไหลเวียนไม่ดีพอ มักพบในผู้ที่มีโรคที่ทำให้หลอดเลือดตีบ อย่างเช่น โรคเบาหวาน
-  สาเหตุเกิดจากร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ อย่างเช่น ท้องเสียอย่างรุนแรง ทานยาขับปัสสาวะ ทำงานหรือเล่นกีฬาที่เสียเหงื่อมากเกินไป
-  สาเหตุเกิดจากการรับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไป ทำให้สัดส่วนของแป้งที่เป็นช่วยให้พลังงานในการเผาผลาญเนื้อสัตว์ต่ำ เกิดกรดแลคติกสูง เป็นสาเหตุของการเกิดตะคริวได้
- สาเหตุเกิดจากออกกำลังกายมากเกินไป โดยไม่ได้อบอุ่นร่างกายเสียก่อน
- สาเหตุเกิดจากการอยู่ท่าเดิมเป็นเวลานานๆ เช่น นักเขียนจะเป็นตะคริวที่มือได้ เนื่องจากมีการจับปากกาเป็นเวลานาน
- สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนบางชนิด อย่างเช่น ต่อมไธรอยด์ทำงานน้อย
-  สาเหตุเกิดจากผู้ที่เป็นนักกีฬาหรือผู้ที่เล่นกีฬาหนัก
-  สาเหตุเกิดจากผู้ที่มีอายุมากขึ้น พบว่าส่วนใหญ่ผู้สูงอายุจะมีเกิดตะคริวมากขึ้นเมื่อเทียบกับตอนอายุน้อย แต่มิใช่ว่า หมายความว่า ผู้ที่อายุยังน้อยจะไม่มีสิทธิ์เป็นตะคริวเสมอไป
-  ผู้เป็นสตรีมีครรภ์ มักจะเป็นตะคริวได้ ทั้งที่ก่อนตั้งครรภ์ยังไม่เคยเป็นตะคริว
-  ผู้ที่สูบบุหรี่จัด จะมีอัตราการเกิดตะคริวมากกว่าเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
-  ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายที่ได้รับการรักษาด้วยเครื่องไตเทียม จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดตะคริวได้มากขึ้น
-  ผู้ที่ขาดแร่ธาตุอื่นๆ อย่างเช่น โปแตสเซียม หรือแมกนีเซียม เป็นต้น
- กล้ามเนื้อมีอาการบาดเจ็บหรือมีการใช้งานมากเกินไป
-  เกิดจากการที่หายใจเข้า และหายใจออกมากเกินกว่าร่างกายต้องการ หรือว่ามีการหายใจที่ผิดปกติ (คือ หายใจตื้นๆ สั้นๆ กระชั้นถี่ๆ) ทำให้ร่างกายไม่สามารถใช้แคลเซียมได้ เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ จึงเป็นสาเหตุให้เกิดตะคริวได้


วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

สะโพกและข้อเข่าเทียม การฟื้นฟูหลังจากการผ่าตัดข้อสะโพกและข้อเข่าเทียม


การฟื้นฟูหลังจากการผ่าตัดในส่วนของสะโพกเทียม ควรที่จะทำตามเจ้าหน้าที่หรือแพทย์ที่ให้การรักษา เพื่อป้องกันการหลุดของข้อ ในส่วนมากการผ่าตัดเพื่อรักษาสะโพกนั้น จะมีการผ่าในส่วนด้านหลังและด้านข้าง ให้หลีกเลี่ยงการงอสะโพกมากกว่าประมาณ 90 องศา การหุบสะโพก และการหมุนสะโพกข้ามแนวกลางของส่วนลำตัว ซึ่งจะขึ้นอยู่กับเทคนิคของการผ่าตัดของแพทย์แต่ละคน



การดูแลหลังจากการผ่าตัดข้อสะโพกเทียม

1.       การนอน ห้ามนอนไขว้ขา ห้ามนอนตะแคงโดยไม่มีหมอนสอดระหว่างใต้ขา
2.       การนั่ง ห้ามนั่งไขว้ขา หรือการนั่งไขว่ห้าง
3.       การก้ม ห้ามก้มหลังเพื่อการหยิดของจะทำให้กระดูกสะโพกเคลื่อนได้
4.       ห้ามเอี้ยวตัวไปทางด้านหลัง ต้องใช้วิธีการหมุนทั้งตัวเพื่อกลับหันหลัง เพื่อไม่ให้สะโพกเกิดการกระทบกระเทือนมาก
5.       การฝึกการหายใจ เริ่มการออกกำลังกายในบริเวณของกล้ามเนื้อรอบๆ ส่วนของสะโพกท่านอน แบบไม่ขยับข้อ ที่เรียกว่า “ไอโซเมตริก (Isometric Exercise)
6.       การฝึกการเตรียมกำลังของแขน กำลังขาทั้ง 2 ข้าง ควรที่จะได้รับคำปรึกษาจากทีมเวชศาสตร์ฟื้นฟู และกายภาพบำบัด
7.       การฝึกเดิน ด้วยการใช้อุปกรณ์เพื่อใช้ในการช่วยลงดน้ำหนัก ให้มีความเหมาะสมกับวิธีการผ่าตัดต่างๆ

วิธีการฟื้นฟูในกรณีกระดูกหักและข้อสะโพกเคลื่อน

1.       ควรที่จะยกอวัยวะส่วนที่มีการหักให้อยู่สูงขึ้น เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนของเลือดดำกลับเข้าสู่หัวใจได้ดีขึ้น
2.       การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายที่มีความปกติสามารถช่วยลดอาการบวมได้
3.       การออกกำลังกายบริเวณของข้อที่มีความปกติเพื่อป้องกันการติดขัดบริเวณที่ได้รับการผ่าตัดสะโพกเทียม
4.       การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของส่วนกล้ามเนื้อ
5.       การฝึกในการเดินด้วยการใช้เครื่องหรืออุปกรณ์ที่ช่วยในการเดินที่มีความเหมาะสม ของกระดูกหักแต่ละประเภท ควรที่จะมีการฝึกเดินจนกว่ากระดูกส่วนนั้นจะสามารถติดกันจึงค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักลงไปมากขึ้น

การฟื้นฟูในกรณีการผ่าตัดเข่าเทียม


ควรมีการออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ อย่างเช่น  Quadriceps, Hamstring เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับส่วนของข้อเข่า เริ่มเพิ่มพิสัยข้อเข่าจาก 0 – 110 องศา หรือมากกว่าแบบค่อยเป็นค่อยไป ควรที่จะใช้เครื่องมือเพิ่มพิสัยข้อช่วย อย่างเช่นเครื่อง CPM ควรเดินด้วยการใช้อุปกรณ์เพื่อให้สามารถลงน้ำหนักได้บางส่วนไปจนถึงการลงน้ำหนักได้อย่างเต็มที่ ถ้าไม่มีอาการปวด

การผ่าตัดแบบอื่นๆ ทางออร์โธปิดิกส์


เป็นการผ่าตัดเพื่อช่วยในการซ่อมแซมเอ็นข้อเข่า (ACL,PCL) หรือหมอนรองกระดูกของข้อเข่า (Meniscus) เป็นการฟื้นฟูหลังจากการผ่าตัดขึ้นอยู่กับบาดเจ็บแต่ละส่วนที่ได้รับการผ่าตัด และวิธีการรักษาด้วยการผ่าตัดในผู้ที่มีอาการแต่ละราย ควรที่จะได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ที่ทำการรักษาจะดีที่สุด ทั้งนี้ ในปัจจุบัน เทคโนโลยีของการผ่าตัดมีการพัฒนาไปอย่างมาก การผ่าตัดโดยมาก จะเป็นวิธีการผ่าตัดแบบส่องกล้องเป็นส่วนใหญ่ จะเป็นประโยชน์ในด้านของความบาดเจ็บที่มีแผลขนาดเล็ก ผู้ที่ได้รับการรักษามีการฟื้นตัวเร็ว สามารถลุกนั่ง เดิน และยืนได้อย่างรวดเร็วกว่าเมื่อก่อนมาก เมื่อแผลผ่าตัดมีขนาดที่เล็กลง การเกิดผลแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นก็จะมีความเสี่ยงที่ลดลงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม การดูแลดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก สำหรับผู้ที่ดูแลตัวเองของผู้ที่มีการผ่าตัดข้อกระดูกหลังการผ่าตัด รวมถึงควรที่จะมีการทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกายตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด เป็นอีกหนึ่งของการดูแลหลังจากการผ่าตัดที่มีความสำคัญ
อ้างอิงข้อมูลจาก : Paolo Hospital http://paolohealthcare.com/Home/โรค-กลุ่มอาการ/กระดูกและข้อ/การฟื้นฟูร่างกาย/