disable right click

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2562

ปวดหลัง ประวัติการปวดหลังสำคัญมาก


 ประวัติการปวดหลังสำคัญมาก

ประวัติสำคัญที่ผมต้องการคือ
อายุ
          อายุของผู้ป่วยจะทำให้รู้ว่าสภาพของผู้ป่วยเป็นอย่างไร  ยิ่งอายุน้อยก็ยิ่งหายเร็ว  นี่เป็นเกณฑ์รวม ที่พอจะบอกได้คร่าว แน่นอนว่า  ร่างกายที่ยังสดใหม่ก็เหมือนรถยนต์ป้ายแดง  มีอะไรขัดข้องก็แก้ไขง่าย  ส่วนรถยนต์เก่าพอเสียก็รวนไปหมดทุกระบบ
คนเราก็คล้ายกันนี่ละ

เป็นอะไร
เมื่อถามคำถามนี้  ผู้ป่วยจะตอบโดยพร้อมเพรียงกันว่าปวดหลัง  นี่เป็นข้อมูลแรกที่ต้องรู้ว่าปวดที่บริเวณหลัง
การตอบคำถามของผู้ป่วยแต่ละคนอาจแตกต่างกันบ้าง  บางคนจะเริ่มขยายความต่อไป
ถึงลักษณะการปวด เช่น  ปวดบั้นเอวร้าวไปที่สะโพกรู้สึกชาที่ขาข้างซ้าย  อะไรทำนองนั้น  ผมก็จะฟังไปพิจารณาไป  แต่ถ้าผู้ป่วยไม่ช่างพูด  ผมก็ต้องถามเพื่อให้ได้ข้อมูลมากพอ

ปวดตรงไหน
คำถามนี้เป็นการพยายามจะหาตำแหน่งที่ชัดเจน  ว่าปวดตรงจุดไหนที่สุด  ซึ่งบางคนสามารถชี้จุดที่ปวดได้ทันที  บางคนชี้จุดไม่ได้แต่รู้ว่าปวดบริเวณใด  ข้อมูลจึงมีความสำคัญที่จะนำไปประกอบการหาต้นเหตุได้

ปวดแบบไหน
คำถามนี้ต้องการทราบลักษณะของการปวด  เนื่องจากการปวดที่มีต้นเหตุหนึ่งจะแสดงอาการปวดออกมาแบบหนึ่ง  ส่วนการปวดอีกแบบก็มาจากต้นเหตุที่แตกต่างกันไป  เรียกว่าต้องจับคู่ลักษณะอาการปวดกับต้นเหตุ เช่น  ปวดเมื่อยตึง จะเกิดขึ้นที่กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเสียเป็นส่วนใหญ่ถ้าปวดเสียวร้าว  มักมาจากเส้นประสาทมากกว่า  ถ้าเรารู้ว่าเกิดเหตุที่ใดจะได้แก้ไขรักษาให้ตรงต้นเหตุ  คำถามนี้จึงต้องการคำตอบที่ชัดเจน

ตอนนี้ปวดมากไหม
การรู้ว่าปวดมากหรือน้อย  เป็นข้อมูลที่ทำให้รู้ว่าความรุนแรงมากน้อยเพียงใด  จะทำให้
พิจารณาได้ว่าผู้ป่วยอยู่ในระยะใด  ควรให้การรักษาแบบไหนโดยปกติจะให้ผู้ป่วยประเมินความเจ็บปวดเอง  โดยใช้คะแนนเต็ม 10  เป็นเกณฑ์ที่ปวดมากที่สุด  และ 0
เป็นคะแนนที่ปวดน้อยที่สุด  (คือไม่ปวดเลย)  ผมจะถามนำเล็กน้อยว่า  ตอนนี้ปวดมาก
น้อย  หรือว่าปานกลาง  ถ้าผู้ป่วยตอบว่าปานกลาง  ผมจะถามต่อว่า  ปานกลางระดับคะแนน 5 หรือ 4 หรือ 6”  ทั้งนี้เพื่อให้ได้ตัวเลขเบื้องต้น  เพื่อใช้เปรียบเทียบเมื่อการรักษาเสร็จสิ้นลง  ซึ่งประเมินได้ว่าการรักษาได้ผลมากน้อยแค่ไหน
การที่ผู้ป่วยบอกความรุนแรงของการปวดให้รู้  เป็นข้อมูลหนึ่งในการพิจารณาว่าผู้ป่วยเป็นมากหรือน้อย  และอยู่ในระยะแรกหรือระยะเรื้อรัง

เป็นมานานหรือยัง
ทำให้ผู้ป่วยสะสมอาการเอาไว้นานเท่าไรแล้ว  อาจจะเป็นวัน  เป็นเดือน  เป็นปี  ความแตกต่างตรงนี้ทำให้คาดเดาได้ว่าร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง  เช่น  ถ้าเพิ่งปวดไม่กี่วันจะจัดอยู่ในกลุ่มเจ็บปวดเฉียบพลัน  หมายถึงมีการบาดเจ็บเกิดขึ้นไม่นาน  กระบวนการซ่อมแซมกำลังทำงานอยู่ระยะแรก  การรักษาจะเน้นไปที่การ
ประคับประคองไม่ให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มขึ้น  ในขณะที่อาการปวดนั้นเป็นมาหลายปีแล้วเรียกว่าเป็นการปวดแบบเรื้อรัง  กระบวนการซ่อมแซมอยู่ในระยะท้าย หรือว่าหยุดไปแล้ว  เกิดมีพังผืดหรือเนื้อเยื่อหดรั้งมากขึ้น  การรักษาแบบนี้ก็จะเน้นไปอีกแบบหนึ่ง

ปวดป็นบางครั้งหรือปวดตลอดเวลา
การปวดแบบเป็น ๆ หาย ๆ แสดงว่ามีการระคายเคืองกับต้นเหตุเป็นบางครั้ง  เช่น  ถ้าต้นเหตุของการปวดเกิดขึ้นที่กล้ามเนื้อ  มักจะมีอาการปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนที่  กล้ามเนื้อมีการใช้งาน  มีการเกร็งกล้ามเนื้อ  กล้ามเนื้อก็จะปวด  ต่อเมื่อได้หยุดพัก
กล้ามเนื้อหยุดทำงาน  จะเริ่มคลายตัวออก  อาการปวดก็จะทุเลาลงได้  วนเวียนแบบนี้ได้บ่อยครั้งตามการใช้งานของกล้ามเนื้อที่ไปกระทบกระเทือนเส้นใยเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ
ส่วนการปวดแบบตลอดเวลานั้น  แสดงว่าต้นเหตุที่เกิดนั้นถูกรบกวนอยู่ตลอดเวลา  เช่น  ปวดจากมะเร็ง  หรือเส้นประสาทอาจถูกกดทับอยู่จึงแสดงอาการต่อเนื่อง  จัดว่าเป็นอาการรุนแรงที่ต้องรีบรักษาโดยเร็ว  การรู้ลักษณะการปวดจึงเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง

เวลาใดปวดมาก  เวลาใดปวดน้อย
นี่ก็เป็นการดูลักษณะการดำเนินของโรค  บางทีผมต้องถามรายละเอียดลงไปว่า  ตอนเช้าตื่นขึ้นมาปุ๊บปวดเลยหรือไม่  หรือว่ารอจนสาย ค่อยปวดหรือมักปวดตอนเย็น  การรู้ข้อมูลนี้จะทำให้เราเจาะลึกลงไปถึงต้นเหตุจริง ที่ทำให้ร่างกายเราบาดเจ็บได้  เช่น  ถ้าตื่นขึ้นมารู้สึกปวดทันที  นั่นทำให้รู้ได้เลยว่าที่นอน  ท่านอน
หรืออุปกรณ์การนอนอาจจะไม่เหมาะสม  เป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บขณะนอน  จะต้องไปแก้ไขปรับปรุงเรื่องที่นอน  ท่านอนด้วย  แต่ท่าตื่นนอนไม่มีอาการเลย  แต่ไปปวดเอาตอนสาย    บ่าย  เย็น  พิจารณาว่าอาจมาจากการทำงานเป็นสาเหตุสำคัญ  ทำงานไปสักพักจึงเกิดอาการปวดขึ้น  เราต้องสนใจว่าทำงานในท่าไหน  การทำงานเป็นแบบใด  หนักเบาเกินไปหรือไม่  เป็นต้น
เมื่อได้พักผ่อนอาการดีขึ้นไหม  ถ้าดีขึ้นก็แสดงว่าอาจเป็นที่กล้ามเนื้อ  เส้นประสาทไม่ถูกกดทับมากเมื่ออยู่ในท่าพักผ่อน  หรืออาการไม่ดีขึ้นเลยแม้จะนอนพักผ่อนแล้วก็ตาม  นี่จะเป็นข้อมูลอีกชนิดที่จะนำไปประกอบการวินิจฉัย
ถ้าปวดมาก แก้ปัญหาอย่างไร
บางคนอาจใช้ยาระงับความปวด  บางคนใช้การพักผ่อน  บางคนใช้การเปลี่ยนท่าทาง  หรือใช้พลังจิตรักษาตัวเอง  และเมื่อใช้วิธีการเหล่านั้นแล้วได้ผลเป็นอย่างไร  ซึ่งอาจนำมาเป็นวิธีที่ใช้ในการรักษาได้  เพราะผู้ป่วยจะรู้ดีกว่าผู้รักษาว่าเขาอยู่ในท่าอย่างไรอาการจึงจะดีขึ้น  เช่น  นอนตะแคงซ้ายแล้วดีขึ้น  ทำให้ประเมินได้ว่านั่นเป็นท่าที่มีแรงกดดันต่อกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทน้อยที่สุด  หรือเมื่อนอนจะปวดน้อยกว่านั่ง  เป็นเพราะมีแรงกดทับที่กระดูกสันหลังน้อยกว่า

กิจกรรมอะไรที่ทำแล้วปวดมากขึ้น
นี่เป็นคำถามคู่กัน ถ้าผู้ป่วยตอบได้ชัดเจน  ก็จะรู้ถึงต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บ
แล้วให้หลีกเลี่ยงต้นเหตุเหล่านั้น  บางคนชอบทดสอบว่าฉันดีขึ้นหรือยัง  ด้วยการทำสิ่ง
กระตุ้นให้เกิดการเจ็บปวด  เช่น ทดลองดูว่าก้มหลังได้หรือยัง  หรือก้มได้มากกว่าเดิม
หรือไม่การก้มเป็นสาเหตุทำให้ปวดมากขึ้นเนื่องจากทำให้เนื่อเยื่อบาดเจ็บ  เมื่อทำซ้ำ
เนื้อเยื่อจะบาดเจ็บมากขึ้นอีก  เลยกลายเป็นซ้ำเติมร่างกายที่กำลังซ่อมแซมตัวเองแทน
ที่จะหายเร็วก็กลายเป็นปวดมากขึ้นได้

ผู้ป่วยทำงานอะไร
เพราะการทำงานประจำที่ต้องทำซ้ำ ซาก นั้นมีผลต่อร่างกายมากมีเหตุทำให้ปวด
หลังได้  หรือเป็นเหตุให้อาการปวดหลังไม่ทุเลาก็ได้  ดังนั้นปัจจัยเรื่องการทำงานเป็นสิ่ง
สำคัญที่ผู้รักษาควรรู้  และความจริงไม่เพียงแต่รู้ว่าทำงานอะไร  (เพราะผู้ป่วยบางคน
ตอบว่า  ไม่ได้ทำงานอะไรแล้ว”)  แต่ควรรู้ด้วยว่าในแต่ละวันเขาทำกิจกรรมอะไรบ้าง
เพราะสิ่งที่ทำมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรักษาเสมอ  เป็นเหมือนคู่แฝดกันเลย  ถ้าการทำกิจ
กรรมเหล่านั้นไม่เอื้อให้การรักษาได้ผล  อาการปวดหลังจะไม่มีวันหาย  ยิ่งรู้กิจกรรมของ
ผู้ป่วยยิ่งให้คำแนะนำผู้ป่วยได้ถูกต้องเหมาะสมมากขึ้น
เคยรักษาด้วยวิธีใดมาบ้าง
ตั้งแต่เริ่มปวดหลังครั้งแรกจนถึงปัจจุบันนี้  ได้ผ่านการรักษาแบบไหนมาบ้างแล้ว  ผลการ
รักษาเป็นอย่างไร  ผู้ป่วยมีความพึงพอใจต่อการรักษามากน้อยแค่ไหน  และคาดหวังผล


การรักษาอย่างไร....
ผู้ป่วยที่มาหาผมมักจะผ่านการรักษามาหลากหลาย  เมื่อผมรู้ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง  ก็
จะรู้ว่าอะไรที่ใช้ไม่ได้ผล  อะไรที่พอใช้ได้  และอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้อาการไม่ดีขึ้น 
อะไรเป็นจุดอ่อนในการรักษาที่ผ่านมา  ผู้ป่วยรู้อะไรเกี่ยวกับโรคที่เป็นบ้าง  รู้มากไป
รู้น้อยไป  อะไรเป็นความรู้ที่ถูกต้อง  อะไรเป็นความรู้ที่ผิด  ทัศนคติของผู้ป่วยที่มีต่อการ
รักษา  เหล่านี้เป็นข้อมูลที่ผมสนใจ  และมักจะคุยกับผู้ป่วยไปเรื่อย   เพื่อให้ทราบว่า
ควรจะรักษาผู้ป่วยรายนี้อย่างไรจึงจะเหมาะสม
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามพื้นฐานในการซักประวัติทั่วไป  เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดไปประ
 กอบการพิจารณาหาสาเหตุ  ตำแหน่งที่ปวด  และหาวิธีรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละ
ราย  เพราะประวัติการเจ็บปวดของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน  การรักษาที่ดีจึงต้องเป็น
การรักษาเฉพาะราย  ไม่ใช่การรักษาครอบจักรวาลที่ใช้เหมือนกันในผู้ป่วยทุกคน
ผมเขียนมาเสียยาวนี่  เพราะต้องการให้ผู้ป่วยทุกคนรู้ว่า  เพราะอะไรผู้รักษาจึงต้องถาม
คำถามเหล่านี้  และควรให้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุดเท่าที่ทำได้  ผู้รักษาจะได้นำข้อมูลไปปะ
ติดปะต่อเป็นภาพที่สมบูรณ์  การวินิจฉัยโรคก็เหมือนการต่อภาพจิ๊กซอว์และครับ  ยิ่งได้
ตัวจิ๊กซอว์มากชิ้นก็ยิ่งเห็นภาพชัดขึ้น