disable right click

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2562

ปวดคอและหลัง สาเหตุของการปวดคอและหลังในผู้สูงอายุ

ปวดคอและหลัง สาเหตุของการปวดคอและหลังในผู้สูงอายุ


เราจะเห็นกันบ่อย ๆ ว่าผู้สูงอายุในบ้านเรานั้นมักจะมีอาการบ่นต่าง ๆ นานา ว่าปวดคอบ้าง ปวดหลังบ้าง แสดงว่าต้องมีสาเหตุมาจากอะไรบางอย่างที่ต้องทำให้เกิดอาการแบบนั้น วันนี้เราจะพามาทำความข้าใจถึงสาเหตุหลักของอาการปวดหลังและปวดคอในผู้สูงอายุว่ามักจะมาจากอะไรบ้าง แล้วจะหาทางการแก้ไขและป้องกันอย่างไรดี เพื่อที่จะเป็นการเสริมสุขภาพให้กับพวกเขาเหล่านั้นให้มีสุขภาพที่แข็งแรงอยู่กับเรานาน ๆ



สาเหตุของอาการปวดหลัง – ปวดคอที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ มีดังต่อไปนี้
อยู่ในท่าที่ผิดสุขลักษณะของร่างกายจึงทำให้มีอาการปวด แต่ละคนนั้นมักจะทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่อยากจะทำและสามารถทำได้ เพราะส่วนใหญ่แล้วคนแก่มักจะอยู่เฉย ๆ ไม่ค่อยเป็น มีการทำงานบ้างเล็กน้อยพอให้ได้ทำ ซึ่งบางครั้งอาจจะเผลอไปอยู่ในท่าที่ผิดลักษณะเข้า กล้ามเนื้อตรงบริเวณหลังและคอจึงมีการหดและการเกร็งที่มากกว่าเดิม ทำให้เกิดการปวดขึ้นมา แม้กระทั่งการนอนหมอนที่ไม่พอดีด้วย การนั่งเย็บผ้า นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
เกิดจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบมาถึงส่วนคือและหลังโดยตรงเพราะว่าส่วนนี้ค่อนข้างจะอันตรายยิ่งได้รับอุบัติเหตุร้ายแรง หลังและคอนั้นจะกระทบมากที่สุด คออาจจะเคล็ดได้แต่ถ้าหักก็เป็นอันตรายถึงชีวิตเลย กรณีคอเคล็ดนั้นอาจจะทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวส่วนคอได้เลยเป็นเวลานานกว่าจะหาย เพราะว่าเส้นเอ็นคอนั้นได้ขาดไปแล้ว ฉะนั้นก็ต้องระวังเรื่องนี้ให้มากเช่นกัน
เกิดจากการเป็นภาวะข้อเสื่อมสภาพ เนื่องจากอายุมากขึ้นกระดูกเริ่มเสื่อม ข้อเริ่มเสีย ไปตามกาลเวลาบ้าง คนที่ข้อเสื่อมนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าก่อนหน้าที่ยังแข็งแรงนั้นมีการใช้งานส่วนข้อแต่ต่าง ๆ ของหลังและคอมากเกินไป จึงเสื่อมสภาพได้เร็ว แม้ว่าจะเกิดได้ทุกวัยแต่ว่าผู้สูงอายุจะเห็นได้มากสุด  มันเสื่อมไปตามสังขารก็คงถูก


วิธีการรักษาอาการปวดคอและหลังในผู้สูงอายุ
           หลักในการรักษาคือ ต้องไปปรึกษาแพทย์เพื่อจะได้แนะนำวิธีการรักษาที่ถูกต้อง และอาจจะได้รับยาแก้ปวดมาทานเอง อาการปวดคอและหลังจะดีขึ้น รวมทั้งการทำกายภาพบำบัดในส่วนของหลังและคอร่วมกันด้วย เพื่อทำให้สุขภาพแข็งแรงมากขึ้น 
การทำกายภาพบำบัดบริหารหลังและคอ
เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของผู้สูงอายุหันมาให้ความสำคัญในการทำกายภาพบำบัดบวกกับการกินยาด้วย ดังนี้
ท่าที่ 1 ให้ผู้สูงอายุนั้นก้มหน้าลงมาช้า ๆ และเบา ๆ ให้คางไปจดกับหน้าอก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาให้ช้า ๆ
ท่าที่ 2  ต่อมาให้ทำหน้าตั้งตรงไว้ จากนั้นมาที่มุมเอียงโดยการเอียงคอไปทางซ้ายให้หูไปติดกับไหล่ แต่ไม่ต้องยากไหล่ขึ้นมา จากนั้นก็เอียงขวาให้หูไปติดกับไหล่แบบไม่ต้องยกไหล่ขึ้นมา ทำสลับกันไป
ท่าที่ 3 เป็นการหมุนหัวโดยเริ่มจากการหมุนไปทางซ้ายให้ช้า ๆ โดยที่คางนั้นจะต้องอยู่ในแนวเดียวกันกับหัวไหล่ซ้ายเลย จากนั้นก็สลับมาหมุนไปทางด้านขวาเช่นเดิมให้คางอยู่แนวเดียวกันหัวไหล่ด้วย
            ผู้สูงอายุนั้นสามารถทำได้เลย 3 เวลาต่อวันยิ่งดี ประมาณ 10 ครั้งต่อวันจะกำลังดีต่อสุขภาพร่างกาย เป็นท่ากายบริหารที่สามารถทำได้ทุกคนที่รู้สึกว่าปวดหลังและปวดคอ ต้องรู้จักดูแลตัวเองในวันนี้เพื่ออนาคตข้างหน้าเราจะยังมีร่างกายดี ๆ ไว้ใช้งานอีกยายนาน

ที่มา https://www.doctor.or.th/article/detail/1488

วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2562

รู้หรือไม่ ? ยกของหนักเสี่ยงเป็นโรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทได้

รู้หรือไม่ ? ยกของหนักเสี่ยงเป็นโรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทได้


          คงจะเคยได้ยินความเจ็บปวดทรมานของการป่วยเป็นโรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทกันมาบ้าง แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราถึงยังไม่ยอมใส่ใจสุขภาพตัวเองเท่าที่ควร ต้องปล่อยให้มันเจ็บป่วยก่อนถึงจะคิดได้และหาวิธีการรักษาซึ่งบางครั้งมันอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้ที่จะหายขาดกลับมาเป็นเหมือนเดิม การทำงานหนัก งานแรงงานที่จะต้องยกของด้วยแรงของตัวเองความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้มีสูงกว่าใครเพื่อนเลย ยกของหนักเราก็รู้อยู่แล้วว่ามันเกินกำลังเราแน่นอนหากยังไปฝืนบ่อย ๆ ไม่นานไม่น่ารอดจากโรคนี้แน่นอน

ทำไมยกของหนักจึงเสี่ยงเป็นโรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท
           กระดูกและกล้ามเนื้อของคนเรามีขีดจำกัดในการรับน้ำหนักของต่าง ๆ แม้กระทั่งน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นก็ยังทำให้กระดูกสันหลังทับเส้นประสาทได้เลยเพราะเมื่อน้ำหนักตัวเพิ่มกระดูกก็ต้องยิ่งรับของหนักเพิ่มอีก น้ำหนักตัวแย่กว่าการยกของเสียอีกเพราะเหมือนเราแบกของหนักตลอดเวลา วกกลับมาที่การยกของหนักไม่ว่าจะเป็นการช็อปปิ้งเพลิน ๆ ถือไปเพลินไปเมื่อยก็ไม่เกี่ยง แต่รู้ไหมว่ามันเสี่ยงมากแค่ไหนหลังของเรามันเริ่มบ่นเบา ๆ แล้วว่าหนักสักพักมันคงจะไม่ไหว หรือใครที่จะทำงานเกี่ยวกับการยกของทางที่ดีจะต้องหาเครื่องมือมาช่วยทุ่นแรง การจัดบ้าน ย้ายเฟอร์นิเจอร์ก็เช่นกันอย่าทำคนเดียวมันเหนื่อยกระดูกและกล้ามเนื้อของเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานหนักขนาดนั้น หาคนช่วยจะดีไม่น้อยเลย 
        เวลาที่ยกของหนักมาก ๆ กระดูกอาจจะเคลื่อนตัวหลุดจากตำแหน่งเคลื่อนไปทับเส้นประสาทหากเป็นมากจะทำให้ชาไปทั้งตัวจากนั้นจะไม่สามารถขยับตัวตามที่ใจต้องการได้เลย นอกจากสาเหตุการยกของหนักแล้วจะเป็นในเรื่องของอุบัติเหตุ ความอ้วน และ อิริยาบถที่ไม่ถูกต้องด้วย
จะรักษาอย่างไร


        การรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมีหลายระดับขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคนเลย  หากไม่เป็นมากจะเริ่มที่การทายาแก้อักเสบลดความเจ็บปวด ส่วนการรักษาขั้นอื่น ๆ จะเป็น การใช้ยาฉีดสเตียรอยด์ที่โพรงของเส้นประสาท การทำกายภาพบำบัด  หนักสุดจะต้องได้รับการผ่าตัดหมอนรองกระดูกอาจจะผ่าด้วยกล้องเอ็นโดสโคป หรือกล้องจุลทรรศน์ หรือการใช้คอมพิวเตอร์นำวิถี ขึ้นอยู่กับเครื่องมือของโรงพยาบาลด้วย
      เมื่อทราบกันแล้วว่าการยกของหนักนั้นส่งผลเสียต่อร่างกายมากแค่ไหน ควรจะยกของหนักด้วยการใช้ตัวช่วยจะดีกว่า เพราะว่าโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเป็นแล้วไม่ได้หายกันง่าย ๆ โดยเฉพาะคนที่จะต้องผ่าตัด ระยะเวลาในการพักฟื้น หายดี ใช้ชีวิตได้เป็นปกตินั้น นานหลายเดือนกันเลยทีเดียว
ที่มา https://www.bumrungrad.com/th/spine-institute-surgery-bangkok-thailand-best-jci/conditions/herniated-disc




วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562

ปวดหลัง เผย 5 สิ่งอย่าทำถ้าไม่อยาก ปวดหลัง


เผย 5 สิ่งอย่าทำถ้าไม่อยาก ปวดหลัง

ปวดหลัง อาการยอดฮิตที่ใครๆ ก็ไม่อยากเป็น แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะการเคลื่อนไหวในการใช้ชีวิตประจำวันล้วนทำให้เกิดอาการ ปวดหลัง ได้ ซึ่งไม่ได้เกิดในวัยผู้สูงอายุอีกต่อไป แต่ในวัยทำงาน หรือในวัยเรียนก็สามารถเกิดอาการปวดได้เช่นกัน หลายคนเลือกที่จะรับประทานยาแก้ปวด ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าสามารถช่วยให้อาการปวดดีขึ้น แต่หากรับประทานยามากก็จะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย โดยวันนี้ขอแนะนำ 5 สิ่งที่ไม่ควรทำดังนี้



อย่ายกของหนัก
การยกของหนักเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงและไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะการยกของหนักจะทำให้เกิดอาการ ปวดหลัง แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรยกของหนักในท่าที่เหมาะสม คือการนั่งงอเข่าและยกของขึ้น ไม่ควรก้มแล้วยกของขึ้นทันที เพราะจะทำให้เกิดอาการ ปวดหลัง อย่างรุนแรงขึ้นได้


อย่าใส่รองเท้าส้นสูง
การใส่รองเท้าส้นสูง เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอาการ ปวดหลัง โดยเฉพาะคุณสาวๆ ที่ชอบใส่รองเท้าส้นสูง นอกจากจะเกิดอาการปวดบริเวณหลังแล้ว ยังทำให้เกิดอาการปวดเกร็งบริเวณหัวเข่า และน่องด้วย แต่หากมีความจำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูงก็ควรพักการใส่ระหว่างวันบ้าง เพื่อลดการเกิดอาการปวดลง


อย่านั่งทำงานนาน
การนั่งทำงานที่นานมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หากนั่งนานๆ และนั่งไม่ยืดหลังตรง หรือการนั่งผิดท่า ก็จะส่งผลทำให้เกิดอาการ ปวดหลัง โดยส่วนใหญ่แล้วจะเกิดอาการปวดเรื้อรัง คือปวดอย่างรุนแรงขึ้นเพราะเกิดจากการสะสม ดังนั้นควรนั่งหลังตรง และพักบ้าง



อย่านอนพื้น
การนอนพื้น โดยเฉพาะพื้นปูนที่แข็งมากเกินไปก็จะทำให้เกิดอาการ ปวดหลัง ดังนั้นในการนอนควรจะนอนที่นอนหนาและไม่นุ่มจนเกินไป รวมถึงควรเลือกที่นอนที่ช่วยดูแลสุขภาพหลัง ทำให้หลังตรงไม่คดงอและทำให้อาการ ปวดหลัง น้อยลง และควรหลีกเลี่ยงการนอนพื้น


อย่าน้ำหนักเกิน

การดูแลตัวเอง และหาวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอาการ ปวดหลัง ถือเป็นเรื่องที่ทุกคนควรรู้ไว้เพื่อใช้กับการดูแลตัวเอง และป้องกันไม่ให้เกิดอาการ ปวดหลัง สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือไม่ควรยกของหนัก การใส่รองเท้าส้นสูง การนั่งทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน การนอนพื้น และการมีน้ำหนักมาก

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562

ปวดสะโพก ปัจจัยที่เสี่ยงต่อการปวดสะโพกร้าวลงขา

ปวดสะโพก ปัจจัยที่เสี่ยงต่อการปวดสะโพกร้าวลงขา


Sciatica เป็นลักษณะอาการปวดสะโพกที่ร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่ง อาการปวดขาอาจจะลามไปจนถึงเท้า และอาจมีแขนขาอ่อนแรงร่วมด้วย ซึ่งเป็นสัญญานของอาการปวดสะโพกที่เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับในบริเวณสะโพก หรือเอว โดยมักพบในผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลัง อาการปวดสะโพกแตกต่างจากรูปแบบอื่นของอาการปวดหลัง เนื่องจากส่วนใหญ่มักปวดเริ่มที่ด้านหลังสะโพก และร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่ง จะรู้สึกเสียว ร้อนบริเวณที่ปวด อาจปวดเล็กน้อย ไปจนถึงปวดรุนแรง บางรายมีอาการขาชาร่วมด้วย


สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงของอาการปวดสะโพกร้าวลงขา

1. มีหมอนรองกระดูกเคลื่อน และหมอนรองกระดูกแตกไปทับเส้นประสาท เป็นสาเหตุที่มักจะพบบ่อยที่สุดของอาการปวด
สะโพกร้าวลงขา ซึ่งมีการปวดที่รุนแรง
2. กระดูกสันหลังที่มีเส้นประสาทไขสันหลังตีบ หรือแคบลง พบมากในผู้สูงอายุ เนื่องจากในขณะที่เรามีอายุเพิ่ม
มากขึ้น  เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดสะโพกร้าวลงขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนั่งนานๆ นั่งหลังค่อมหลังงอ จะทำให้แรงกด
ต่อเส้นประสาทเพิ่มมากขึ้น
3. มีอาการกระดูกสันหลังเคลื่อน (Spondylolisthesis) กระดูกสันหลังชิ้นใดชิ้นหนึ่งมีการเคลื่อนไปข้างหน้า หรือข้างหลัง มากกว่ากระดูกสันหลังชิ้นส่วนอื่น จนทำให้เกิดความดันในเส้นประสาทได้
4.  มีเส้นประสาทรั้ง หรือยึด
5. มีกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (Piriformis syndrome) หรือ กลุ่มอาการที่เรียกว่า กล้ามเนื้อสะโพกอักเสบเรื้อรัง จนไปทำให้เส้นประสาทติดอยู่ลึกลงไปในสะโพก ทำให้ปวดได้
6.  มีสาเหตุจากอื่นๆ เช่น ข้อเข่าเสื่อม มีกระดูกหักที่เกิดจากโรคกระดูกพรุน มักพบในผู้สูงวัย
7.  มีอาการปวดสะโพกร้าวลงขาในระหว่างที่มีการตั้งครรภ์
8.  สาเหตุที่ทำให้ปวดสะโพกร้าวลงขาที่พบไม่บ่อย อย่างเช่น มีเนื้องอก มีลิ่มเลือด หรือฝีไปกดทับส่วนของเส้นประสาท
9. เมื่อมีอายุมากขึ้น ทำให้กระดูกสันหลังมีความแข็งแรงลดลง ตัวอย่างเช่น กระดูกพรุน
10. เป็นโรคที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลัง อย่างเช่น หมอนรองกระดูกเสื่อม โรคข้ออักเสบ เป็นต้น
11. โรคอ้วน เนื่องจากมีน้ำหนักที่มากเกินไป ทำให้เพิ่มความเครียดให้กระดูกสันหลังได้
12. พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น นั่งในท่าเดิมเป็นเวลานานและเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนั่งหลังงอ เป็นปัจจัยที่เสี่ยงต่อการปวดสะโพกร้าวลงขาและปัญหาอื่นๆ ตามมาได้อีก


อาการปวดสะโพกร้าวลงขาที่ผู้ป่วยควรพบแพทย์
– มีอาการปวดที่ไม่ดีขึ้น และมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
– ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปี มากกว่า 55 ปี ซึ่งมีการปวดสะโพกร้าวลงขาเป็นครั้งแรก
– ผู้ป่วยมะเร็งหรือมีประวัติเป็นมะเร็งมาก่อน
– ผู้ที่ยกของหนักก่อนมีอาการไม่นาน หรือปวดสะโพกร้าวลงขาร่วมกับการหนาวสั่น และมีไข้
– ผู้ป่วยโรคเอดส์
– ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุรุนแรง และมีอาการปวดอย่างเฉียบพลัน
– ผู้ที่สูญเสียการควบคุมของลำไส้ หรือกระเพาะปัสสาวะ หรือมีอาการชาในอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง

ที่มา http://www.eldercareinthai.com/2015/07/17/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B2/

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562

อัลตร้าซาวด์บำบัดทางเลือกของผู้ป่วยแบบเร่งด่วน

อัลตร้าซาวด์บำบัดทางเลือกของผู้ป่วยแบบเร่งด่วน 



อัลตร้าซาวด์บำบัด จะช่วยปรับปรุงการทำงานทาง กายภาพและช่วยลดความเจ็บปวดโดยเฉพาะผู้ที่ได้รับความทรมานจาก  การปวดคอ บ่า ไหล่ นอกจากนั้นอัลตร้าซาวด์บำบัดยังช่วยเพิ่มความสมบรูณ์แบบทางกายภาพ ซึ่งการรักษาจะใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นข้อรวมทั้งอาการเรื้อรังเช่นโรคข้ออักเสบ โดยไม่มีความเสี่ยงจากการกินยาใดๆ ซึ่งอัลตร้าซาวด์บำบัด คือการบำบัดโรคด้วยการใช้อัลตราซาวด์ เป็นการบำบัดอาการปวด และการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ รวมถึง ความเจ็บปวดตามข้อต่อต่างๆ ที่จะทำการส่งเสริมการรักษาของเนื้อเยื่อในร่างกาย ซึ่งอัลตร้าซาวด์บำบัด สามารถช่วยลดความเจ็บปวดเรื้อรังในร่างกายที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
 

เครื่องอัลตร้าซาวด์บำบัดพกพาสะดวกรักษาได้ทุกที่ 
อัลตร้าซาวด์บำบัด สามารถช่วยแก้อาการปวดคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ และอาการปวดเรื้อรัง นอนไม่หลับ หรือนิ้วล็อคในระยะเริ่มต้น อาการบาดเจ็บเกิดจากการเล่นกีฬา อัลตร้าซาวด์บำบัดเป็นอุปกรณ์กายภาพบำบัดแบบพกพาที่มีความปลอดภัยโดยจะต้องการทำกายภาพบำบัดด้วยอัลตร้าซาวด์บำบัดและทำติดต่อกันการใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์บำบัด   เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการไปรักษาพยาบาลตรงต่อเวลา ,ปัญหาระยะทางในการเดินทางโดยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ใช้ในการรักษาเองและยัง สะดวก ในเรื่องการเดินทางสามารถรักษาเองได้ใช้ง่าย


อัลตร้าซาวด์บำบัดช่วยสมานแผลให้แห้งเร็ว
อัลตร้าซาวด์บำบัด จะช่วยในเรื่องของเนื้อเยื่อ ซึ่งจะมีผลต่อการรีบเร่งในการสมานแผล และ บรรเทาอาการบาดเจ็บ กับระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าของความถี่ของเครื่องอัลตร้าซาวด์บำบัด  ที่อยู่ในรูปแบบคลื่น และความเข้มในการรักษา  ผลรักษาจากความร้อนรักษากรณีที่เรื้อรัง หรือ ชั้นบาดเจ็บที่ลึก โดยสามารถรักษาเมื่อเริ่มได้รับการบาดเจ็บ หรือช่วงเริ่มอักเสบ หรือบริเวณข้อต่อ เอ็น หรือ กระดูก


อัลตร้าซาวด์บำบัดช่วยรักษาการบาดเจ็บเนื้อเยื่อ 
อัลตร้าซาวด์บำบัด เป็นการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ ในการบำบัด โดยจะส่งผลให้การตอบสนองของเนื้อเยื่อ มีผลต่อการเร่งการสมานแผล เพื่อบำบัดอาการเจ็บที่เกิดกับระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ซึ่งผลรักษาจากความร้อนจะใช้รักษากรณีที่เรื้อรัง หรือ ชั้นบาดเจ็บที่ลึก เมื่อคลื่นอัลตร้าซาวด์บำบัดผ่านสู่เนื้อเยื่อ และผ่านชั้นผิวหนังกล้ามเนื้อไขมัน และลงสู่กระดูก จะมีผลทำให้การไหลเวียนของเลือดซึ่งเรียกว่าเป็นตัวกลางนำความร้อนมีการกระจายยังบริเวณอื่นๆ โดยจะเน้นการรักษาการบาดเจ็บเนื้อเยื่อเปราะบาง ในระยะเรื้อรังที่เป็นผลจากการอักเสบ


อัลตร้าซาวด์บำบัด  ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดเฉพาะที่และยังช่วยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ ช่วยลดอาการปวด โดยเพิ่มระดับกั้นการรับรู้ความรู้สึกปวด และเพิ่มความยืดหยุ่นเนื้อเยื่อคอลลาเจน โดยการลดความเหลวในเนื้อเยื่อ และลดการหดรั้งของเนื้อเยื่อ

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2562

อัลตร้าซาวน์บำบัด 5 ผลลัพธ์หลังทำอัลตร้าซาวน์บำบัดที่ควรรู้

อัลตร้าซาวน์บำบัด 5 ผลลัพธ์หลังทำอัลตร้าซาวน์บำบัดที่ควรรู้





อัลตร้าซาวน์เป็นสิ่งที่หลายคนเคยได้ยิน ซึ่งการอัลตร้าซาวน์ใช้สำหรับการดูพัฒนาการของทารกในครรภ์ แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ได้มีการนำวิธีอัลตร้าซาวน์มาช่วยในด้านการรักษาโรค ซึ่งเรียกว่าการ อัลตร้าซาวน์บำบัด โดยผู้ที่ควรรักษาด้วย อัลตร้าซาวน์บำบัด คือคนที่มีอาการปวดในบริเวณต่างๆ สำหรับคนที่อ่านบทความนี้และสนใจที่จะทำ อัลตร้าซาวน์บำบัด ควรศึกษษผลลัพธ์ที่จะได้รับดังนี้


ลดอาการปวด
อาการปวดเป็นอาการหนึ่งที่ทรมาน ซึ่งแต่ละคนมีอาการปวดที่แตกต่างกันไป หากเป็นอาการปวดเล็กน้อยกว่าอาจจะอดทน หรือรับประทานยาแก้ปวดได้ แต่หากเป็นอาการปวดที่รุนแรงควรจะรักษาด้วย อัลตร้าซาวน์บำบัด เพื่อช่วยลดอาการปวดในบริเวณอวัยวะต่างๆ ให้มีอาการดีขึ้น และลดอาการปวดให้น้อยลง


เพิ่มความยืดหยุ่นเนื้อเยื่อ
สำหรับในวัยผู้สูงอายุที่มักเป็นโรคหรืออาการต่างๆ ได้ง่ายโดยเฉพาะอาการปวดนั้นเกิดจากการขาดความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อโดยเฉพาะบริเวณข้อต่อต่างๆ การรักษาด้วย อัลตร้าซาวน์บำบัด ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และเพิ่มเนื้อเยื่อคอลลาเจนให้มีความยืดหยุ่น


ลดการหดรั้งของเนื้อเยื่อ
การทำ อัลตร้าซาวน์บำบัด จะช่วยลดการหดรั้งของเนื้อเยื่อ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคเกี่ยวกับอาการตึงหรือยึดของเนื้อเยื่อตามบริเวณต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งควรได้รับการรักษาทันทีและถูกวิธีเพื่อให้อาการหดรั้งของเนื้อเยื่อดีขึ้น  อาการหดรั้งของเนื้อเยื่อจะทำให้การทำกิจกรรมต่างๆ อย่างการเดินนานๆ หรือการออกกำลังกายนั้นไม่สะดวก



ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ
อัลตร้าซาวน์บำบัด จะช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อแขน มือ ขา ที่มักมีปัญหาปวดตึงอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะในวัยผู้สูงอายุที่มักมีอาการปวดอย่างรุนแรง ซึ่งหลายคนเลือกที่จะนวดกดจุด หรือการนวดแผนโบราณโดยหมอนวด ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่ยังไม่ตรงจุด



ลดอาการอักเสบกล้ามเนื้อ
อาการอักเสบของกล้ามเนื้อสามารถรักษาได้ด้วย อัลตร้าซาวน์บำบัด ซึ่งเป็นการรักษาที่ตรงจุด อาการอักเสบของกล้ามเนื้ออาจเกิดจากอาการปวด หรือเกิดจากอุบัติเหตุ ซึ่งต้องรักการดูแลอย่างใกล้ชิด นอกจากการดูแลตัวเองแล้วยังควรรับประทานยาเพื่อลดอาการอักเสบควบคู่ด้วย


อัลตร้าซาวน์บำบัด ถือเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้หลังจาการรักษาด้วย อัลตร้าซาวน์บำบัด ก็จะช่วยลดอาการปวด เพิ่มความยืดหยุ่นให้เนื้อเยื้อ ลดการหดรั้งของเนื้อเยื่อ และที่สำคัญคือช่วยลดอาการอักเสบของกล้ามเนื้อด้วย

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2562

ทำไมต้องตรวจร่างกาย


ทำไมต้องตรวจร่างกาย

หลังซักประวัติ  ผู้รักษาพอจะมีข้อมูลแล้วว่าผู้ป่วยปวดหลังจากสาเหตุอะไร  พร้อมทั้ง
อาจมีแผนการรักษาตามมาในทันที  หรืออาจยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นอะไร  และต้องการข้อ
มูลเพิ่มเติม  นั่นจึงถึงขั้นตอนต่อไปคือ  การตรวจร่างกาย

การตรวจร่างกายจะช่วยยืนยันข้อมูลที่คาดไว้จากการฟังประวัติการปวดหลังของผู้ป่วย
ว่าเป็นอย่างที่คาดไว้จริงไหม  เพราะเป็นข้อมูลตามสภาพที่แท้จริง ไม่ใช่จากคำบอกเล่า
ของผู้ป่วยเท่านั้น  นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่มีไม่ใด้  เพราะผู้ป่วยแต่ละคนที่มีอาการปวด
เหมือนกันอาจจะมีสภาพร่างกายที่ไม่เหมือนกันเลย  ฉะนั้นการรักษาที่ดีจึงต้องเห็นด้วย
ตาดู หูฟัง  มือคลำ เจอกับตัวเป็น   ของผู้ป่วยแบบตัวจริงเสียงจริง  (การรักษาผ่านทาง
วิทยุหรือโทรศัพท์จึงไม่ใช่การรักษาที่ดี  แต่ก็พอแก้ขัดไปได้บ้างในกรณีที่ไม่สามารถพบ
ตัวจริงของผู้ป่วย)

การตรวจร่างกายจะมีหลายลักษณะแตกต่างกันไปตามที่ได้ประวัติมาและคาดว่าผู้ป่วย
จะเป็นอย่างไร  เพราะเหตุใด  ผู้รักษาจะตรวจหาข้อมูลเพื่อยืนยันสิ่งที่คาดไว้ว่าถูกต้อง
สอดคล้องกับประวัติที่ได้รับไหม  เช่น  ถ้าคาดว่าผู้ป่วยหลังจากเส้นประสาทถูกกดทับ ก็
ต้องตรวจร่างกายเพื่อพิสูจน์ว่าเส้นประสาทถูกรบกวนจริงไหม อาจจะให้ผู้ป่วยนอนหงาย
แล้วช่วยยกขาข้างหนึ่งขึ้นโดยให้เข่ายังตึงอยู่  ถ้ามีอาการปวดหลังเพิ่มขึ้น  แสดงว่ามา
จากเส้นประสาทถูกรบกวน  หากผลการตรวจสอดคล้องกับสิ่งที่คิดไว้  ก็จะเพิ่มความมั่น
ใจในการวินิจฉัยมากขึ้น  แต่ถ้าไม่มีการปวดมากขึ้น  แสดงว่าข้อมูลไม่สอดคล้องกับสิ่งที่
คิดไว้  ก็ต้องตรวจเพิ่มเติมอีก  เช่น  อาจกดกระดูกสันหลังตรงตำแหน่งที่คิดว่าเป็นต้น
เหตุ  ถ้าอาการปวดมากขึ้น  แสดงว่าสอดคล้องกับที่คิดไว้  แต่ถ้าไม่ก็ต้องตรวจเพิ่มเติม
อีก

ถ้าตรวจหลาย อย่างแล้วพบว่าไม่สอดคล้องกับที่คิดไว้  ย่อมต้องพิจารณาเปลี่ยน
ความคิดว่าอาจเป็นอย่างอื่นได้ไหม  ข้อมูลที่ได้บ่งบอกว่าอาจเป็นอะไรได้บ้าง  และหา
วิธีตรวจที่สนับสนุนความคิดใหม่ต่อไป

การตรวจร่างกายจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไป  จนแน่ใจว่าสาเหตุมาจากอะไรโดยดูจากข้อมูล
สนับสนุนที่มีมากที่สุด
มื่อเข้าใจความสำคัญของการตรวจร่างกายแล้ว  ผู้ป่วยต้องให้ความร่วมมือกับการตรวจ
ด้วย  เพราะจะทำให้การตรวจได้ข้อมูลที่ถูกต้อง  หากไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควรผลเสีย
ก็จะตกที่ตัวผู้ป่วยเอง




วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2562

ปวดหลัง ประวัติการปวดหลังสำคัญมาก


 ประวัติการปวดหลังสำคัญมาก

ประวัติสำคัญที่ผมต้องการคือ
อายุ
          อายุของผู้ป่วยจะทำให้รู้ว่าสภาพของผู้ป่วยเป็นอย่างไร  ยิ่งอายุน้อยก็ยิ่งหายเร็ว  นี่เป็นเกณฑ์รวม ที่พอจะบอกได้คร่าว แน่นอนว่า  ร่างกายที่ยังสดใหม่ก็เหมือนรถยนต์ป้ายแดง  มีอะไรขัดข้องก็แก้ไขง่าย  ส่วนรถยนต์เก่าพอเสียก็รวนไปหมดทุกระบบ
คนเราก็คล้ายกันนี่ละ

เป็นอะไร
เมื่อถามคำถามนี้  ผู้ป่วยจะตอบโดยพร้อมเพรียงกันว่าปวดหลัง  นี่เป็นข้อมูลแรกที่ต้องรู้ว่าปวดที่บริเวณหลัง
การตอบคำถามของผู้ป่วยแต่ละคนอาจแตกต่างกันบ้าง  บางคนจะเริ่มขยายความต่อไป
ถึงลักษณะการปวด เช่น  ปวดบั้นเอวร้าวไปที่สะโพกรู้สึกชาที่ขาข้างซ้าย  อะไรทำนองนั้น  ผมก็จะฟังไปพิจารณาไป  แต่ถ้าผู้ป่วยไม่ช่างพูด  ผมก็ต้องถามเพื่อให้ได้ข้อมูลมากพอ

ปวดตรงไหน
คำถามนี้เป็นการพยายามจะหาตำแหน่งที่ชัดเจน  ว่าปวดตรงจุดไหนที่สุด  ซึ่งบางคนสามารถชี้จุดที่ปวดได้ทันที  บางคนชี้จุดไม่ได้แต่รู้ว่าปวดบริเวณใด  ข้อมูลจึงมีความสำคัญที่จะนำไปประกอบการหาต้นเหตุได้

ปวดแบบไหน
คำถามนี้ต้องการทราบลักษณะของการปวด  เนื่องจากการปวดที่มีต้นเหตุหนึ่งจะแสดงอาการปวดออกมาแบบหนึ่ง  ส่วนการปวดอีกแบบก็มาจากต้นเหตุที่แตกต่างกันไป  เรียกว่าต้องจับคู่ลักษณะอาการปวดกับต้นเหตุ เช่น  ปวดเมื่อยตึง จะเกิดขึ้นที่กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเสียเป็นส่วนใหญ่ถ้าปวดเสียวร้าว  มักมาจากเส้นประสาทมากกว่า  ถ้าเรารู้ว่าเกิดเหตุที่ใดจะได้แก้ไขรักษาให้ตรงต้นเหตุ  คำถามนี้จึงต้องการคำตอบที่ชัดเจน

ตอนนี้ปวดมากไหม
การรู้ว่าปวดมากหรือน้อย  เป็นข้อมูลที่ทำให้รู้ว่าความรุนแรงมากน้อยเพียงใด  จะทำให้
พิจารณาได้ว่าผู้ป่วยอยู่ในระยะใด  ควรให้การรักษาแบบไหนโดยปกติจะให้ผู้ป่วยประเมินความเจ็บปวดเอง  โดยใช้คะแนนเต็ม 10  เป็นเกณฑ์ที่ปวดมากที่สุด  และ 0
เป็นคะแนนที่ปวดน้อยที่สุด  (คือไม่ปวดเลย)  ผมจะถามนำเล็กน้อยว่า  ตอนนี้ปวดมาก
น้อย  หรือว่าปานกลาง  ถ้าผู้ป่วยตอบว่าปานกลาง  ผมจะถามต่อว่า  ปานกลางระดับคะแนน 5 หรือ 4 หรือ 6”  ทั้งนี้เพื่อให้ได้ตัวเลขเบื้องต้น  เพื่อใช้เปรียบเทียบเมื่อการรักษาเสร็จสิ้นลง  ซึ่งประเมินได้ว่าการรักษาได้ผลมากน้อยแค่ไหน
การที่ผู้ป่วยบอกความรุนแรงของการปวดให้รู้  เป็นข้อมูลหนึ่งในการพิจารณาว่าผู้ป่วยเป็นมากหรือน้อย  และอยู่ในระยะแรกหรือระยะเรื้อรัง

เป็นมานานหรือยัง
ทำให้ผู้ป่วยสะสมอาการเอาไว้นานเท่าไรแล้ว  อาจจะเป็นวัน  เป็นเดือน  เป็นปี  ความแตกต่างตรงนี้ทำให้คาดเดาได้ว่าร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง  เช่น  ถ้าเพิ่งปวดไม่กี่วันจะจัดอยู่ในกลุ่มเจ็บปวดเฉียบพลัน  หมายถึงมีการบาดเจ็บเกิดขึ้นไม่นาน  กระบวนการซ่อมแซมกำลังทำงานอยู่ระยะแรก  การรักษาจะเน้นไปที่การ
ประคับประคองไม่ให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มขึ้น  ในขณะที่อาการปวดนั้นเป็นมาหลายปีแล้วเรียกว่าเป็นการปวดแบบเรื้อรัง  กระบวนการซ่อมแซมอยู่ในระยะท้าย หรือว่าหยุดไปแล้ว  เกิดมีพังผืดหรือเนื้อเยื่อหดรั้งมากขึ้น  การรักษาแบบนี้ก็จะเน้นไปอีกแบบหนึ่ง

ปวดป็นบางครั้งหรือปวดตลอดเวลา
การปวดแบบเป็น ๆ หาย ๆ แสดงว่ามีการระคายเคืองกับต้นเหตุเป็นบางครั้ง  เช่น  ถ้าต้นเหตุของการปวดเกิดขึ้นที่กล้ามเนื้อ  มักจะมีอาการปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนที่  กล้ามเนื้อมีการใช้งาน  มีการเกร็งกล้ามเนื้อ  กล้ามเนื้อก็จะปวด  ต่อเมื่อได้หยุดพัก
กล้ามเนื้อหยุดทำงาน  จะเริ่มคลายตัวออก  อาการปวดก็จะทุเลาลงได้  วนเวียนแบบนี้ได้บ่อยครั้งตามการใช้งานของกล้ามเนื้อที่ไปกระทบกระเทือนเส้นใยเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ
ส่วนการปวดแบบตลอดเวลานั้น  แสดงว่าต้นเหตุที่เกิดนั้นถูกรบกวนอยู่ตลอดเวลา  เช่น  ปวดจากมะเร็ง  หรือเส้นประสาทอาจถูกกดทับอยู่จึงแสดงอาการต่อเนื่อง  จัดว่าเป็นอาการรุนแรงที่ต้องรีบรักษาโดยเร็ว  การรู้ลักษณะการปวดจึงเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง

เวลาใดปวดมาก  เวลาใดปวดน้อย
นี่ก็เป็นการดูลักษณะการดำเนินของโรค  บางทีผมต้องถามรายละเอียดลงไปว่า  ตอนเช้าตื่นขึ้นมาปุ๊บปวดเลยหรือไม่  หรือว่ารอจนสาย ค่อยปวดหรือมักปวดตอนเย็น  การรู้ข้อมูลนี้จะทำให้เราเจาะลึกลงไปถึงต้นเหตุจริง ที่ทำให้ร่างกายเราบาดเจ็บได้  เช่น  ถ้าตื่นขึ้นมารู้สึกปวดทันที  นั่นทำให้รู้ได้เลยว่าที่นอน  ท่านอน
หรืออุปกรณ์การนอนอาจจะไม่เหมาะสม  เป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บขณะนอน  จะต้องไปแก้ไขปรับปรุงเรื่องที่นอน  ท่านอนด้วย  แต่ท่าตื่นนอนไม่มีอาการเลย  แต่ไปปวดเอาตอนสาย    บ่าย  เย็น  พิจารณาว่าอาจมาจากการทำงานเป็นสาเหตุสำคัญ  ทำงานไปสักพักจึงเกิดอาการปวดขึ้น  เราต้องสนใจว่าทำงานในท่าไหน  การทำงานเป็นแบบใด  หนักเบาเกินไปหรือไม่  เป็นต้น
เมื่อได้พักผ่อนอาการดีขึ้นไหม  ถ้าดีขึ้นก็แสดงว่าอาจเป็นที่กล้ามเนื้อ  เส้นประสาทไม่ถูกกดทับมากเมื่ออยู่ในท่าพักผ่อน  หรืออาการไม่ดีขึ้นเลยแม้จะนอนพักผ่อนแล้วก็ตาม  นี่จะเป็นข้อมูลอีกชนิดที่จะนำไปประกอบการวินิจฉัย
ถ้าปวดมาก แก้ปัญหาอย่างไร
บางคนอาจใช้ยาระงับความปวด  บางคนใช้การพักผ่อน  บางคนใช้การเปลี่ยนท่าทาง  หรือใช้พลังจิตรักษาตัวเอง  และเมื่อใช้วิธีการเหล่านั้นแล้วได้ผลเป็นอย่างไร  ซึ่งอาจนำมาเป็นวิธีที่ใช้ในการรักษาได้  เพราะผู้ป่วยจะรู้ดีกว่าผู้รักษาว่าเขาอยู่ในท่าอย่างไรอาการจึงจะดีขึ้น  เช่น  นอนตะแคงซ้ายแล้วดีขึ้น  ทำให้ประเมินได้ว่านั่นเป็นท่าที่มีแรงกดดันต่อกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทน้อยที่สุด  หรือเมื่อนอนจะปวดน้อยกว่านั่ง  เป็นเพราะมีแรงกดทับที่กระดูกสันหลังน้อยกว่า

กิจกรรมอะไรที่ทำแล้วปวดมากขึ้น
นี่เป็นคำถามคู่กัน ถ้าผู้ป่วยตอบได้ชัดเจน  ก็จะรู้ถึงต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บ
แล้วให้หลีกเลี่ยงต้นเหตุเหล่านั้น  บางคนชอบทดสอบว่าฉันดีขึ้นหรือยัง  ด้วยการทำสิ่ง
กระตุ้นให้เกิดการเจ็บปวด  เช่น ทดลองดูว่าก้มหลังได้หรือยัง  หรือก้มได้มากกว่าเดิม
หรือไม่การก้มเป็นสาเหตุทำให้ปวดมากขึ้นเนื่องจากทำให้เนื่อเยื่อบาดเจ็บ  เมื่อทำซ้ำ
เนื้อเยื่อจะบาดเจ็บมากขึ้นอีก  เลยกลายเป็นซ้ำเติมร่างกายที่กำลังซ่อมแซมตัวเองแทน
ที่จะหายเร็วก็กลายเป็นปวดมากขึ้นได้

ผู้ป่วยทำงานอะไร
เพราะการทำงานประจำที่ต้องทำซ้ำ ซาก นั้นมีผลต่อร่างกายมากมีเหตุทำให้ปวด
หลังได้  หรือเป็นเหตุให้อาการปวดหลังไม่ทุเลาก็ได้  ดังนั้นปัจจัยเรื่องการทำงานเป็นสิ่ง
สำคัญที่ผู้รักษาควรรู้  และความจริงไม่เพียงแต่รู้ว่าทำงานอะไร  (เพราะผู้ป่วยบางคน
ตอบว่า  ไม่ได้ทำงานอะไรแล้ว”)  แต่ควรรู้ด้วยว่าในแต่ละวันเขาทำกิจกรรมอะไรบ้าง
เพราะสิ่งที่ทำมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรักษาเสมอ  เป็นเหมือนคู่แฝดกันเลย  ถ้าการทำกิจ
กรรมเหล่านั้นไม่เอื้อให้การรักษาได้ผล  อาการปวดหลังจะไม่มีวันหาย  ยิ่งรู้กิจกรรมของ
ผู้ป่วยยิ่งให้คำแนะนำผู้ป่วยได้ถูกต้องเหมาะสมมากขึ้น
เคยรักษาด้วยวิธีใดมาบ้าง
ตั้งแต่เริ่มปวดหลังครั้งแรกจนถึงปัจจุบันนี้  ได้ผ่านการรักษาแบบไหนมาบ้างแล้ว  ผลการ
รักษาเป็นอย่างไร  ผู้ป่วยมีความพึงพอใจต่อการรักษามากน้อยแค่ไหน  และคาดหวังผล


การรักษาอย่างไร....
ผู้ป่วยที่มาหาผมมักจะผ่านการรักษามาหลากหลาย  เมื่อผมรู้ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง  ก็
จะรู้ว่าอะไรที่ใช้ไม่ได้ผล  อะไรที่พอใช้ได้  และอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้อาการไม่ดีขึ้น 
อะไรเป็นจุดอ่อนในการรักษาที่ผ่านมา  ผู้ป่วยรู้อะไรเกี่ยวกับโรคที่เป็นบ้าง  รู้มากไป
รู้น้อยไป  อะไรเป็นความรู้ที่ถูกต้อง  อะไรเป็นความรู้ที่ผิด  ทัศนคติของผู้ป่วยที่มีต่อการ
รักษา  เหล่านี้เป็นข้อมูลที่ผมสนใจ  และมักจะคุยกับผู้ป่วยไปเรื่อย   เพื่อให้ทราบว่า
ควรจะรักษาผู้ป่วยรายนี้อย่างไรจึงจะเหมาะสม
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามพื้นฐานในการซักประวัติทั่วไป  เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดไปประ
 กอบการพิจารณาหาสาเหตุ  ตำแหน่งที่ปวด  และหาวิธีรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละ
ราย  เพราะประวัติการเจ็บปวดของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน  การรักษาที่ดีจึงต้องเป็น
การรักษาเฉพาะราย  ไม่ใช่การรักษาครอบจักรวาลที่ใช้เหมือนกันในผู้ป่วยทุกคน
ผมเขียนมาเสียยาวนี่  เพราะต้องการให้ผู้ป่วยทุกคนรู้ว่า  เพราะอะไรผู้รักษาจึงต้องถาม
คำถามเหล่านี้  และควรให้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุดเท่าที่ทำได้  ผู้รักษาจะได้นำข้อมูลไปปะ
ติดปะต่อเป็นภาพที่สมบูรณ์  การวินิจฉัยโรคก็เหมือนการต่อภาพจิ๊กซอว์และครับ  ยิ่งได้
ตัวจิ๊กซอว์มากชิ้นก็ยิ่งเห็นภาพชัดขึ้น