disable right click

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อาการของโรคกระดูกคอเสื่อมที่สามารถสังเกตุพบ



อาการของโรคกระดูกคอเสื่อมที่สามารถสังเกตุพบ
       โรคของกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม (Cervical Spondylosis) เป็นอาการที่สามารถพบได้บ่อย ก็คือ บริเวณส่วนของการปวดคอ ปวดบ่า หรือการที่ปวดไหล่เรื้อรัง ผู้ที่มีอาการดังกล่าวจะมีอาการปวดร้าวอย่างมากบริเวณคอลามไปจนถึงบริเวณของท้ายทอย อาการปวดจะสามารถบรรเทาลงได้ด้วยการนวดหรือว่าการฝังเข็ม แต่ก็จะมีอาการปวดแบบนี้กลับมาได้ ไม่สามารถหายขาดจากอาการปวดแบบนี้ได้เช่นกัน

อาการที่จะพบบริเวณส่วนของแขน
        เป็นอาการที่จะแสดงที่ส่วนของแขนมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบคือ อาการปวดชาหรือมีอาการอ่อนแรงอย่างมากบริเวณของกล้ามเนื้อแขน สามารถเกิดมาจากการที่เส้นประสาทบริเวณสังหลังส่วนของคอถูกการรบกวน ผู้ที่มีอาการปวดบริเวณแขน จะมีอาการชาร่วมด้วย ลงยังส่วนบริเวณของข้อศอก หรือบริเวณส่วนของปลายนิ้วมือได้ ความอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ จะสามารถมีอาการคล้ายอาการปวดและอาการชา และจะมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อส่วนที่มัดที่เลี้ยงจากเส้นประสาทที่ได้ถูกการกดทับ ผู้ที่มีอาการปวดและอาการชาบางรายอาจจะไม่สามารถใช้มือทำงานต่างๆได้ เหมือนเดิม อย่างเช่น การที่ต้องเซ็นชื่อเขียนหนังสือ การเล่นดนตรี และการติดกระดุมเป็นต้น

อาการที่สามารถพบกับส่วนของขา
เป็นอาการที่เกิดจากการกดทับเส้นประสาทของไขสันหลัง จะไม่มีการแสดงอาการปวด แต่จะมีอาการในลักษณะของการเดินที่มีความผิดปกติ รู้สึกถึงความโคลงเคลงเหมือนจะล้มได้ง่าย ในการเดินก้าวสั้นๆ หรือว่าจะไม่สามารถเดินตามผู้อื่นได้ทัน ผู้ที่มีอาการลักษณะนี้บางราย จะมีลักษณะของการเดินเหมือนตะเกียบ หรือการเดินเหมือนกับหุ่นยนต์ อาการทั้งหมดเหล่านี้หากปล่อยทิ้งไว้นาน จะทำให้อาการแย่ลงจนมีกล้ามเนื้อลีบ จนในที่สุดไม่สามารถเดินได้อีกต่อไป

สาเหตุของอาการส่วนใหญ่คือ
1.การที่ก้ม การแหงนหน้า และการสะบัดคอบ่อยๆ จนกลายเป็นนิสัยทำให้เกิดอาการปวดคออย่างมากได้
2.การที่นั่งทำงานด้วยท่าเดิมตลอดทั้งวัน หรือเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง โดยไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกายในท่าอื่น ทำให้เกิดอาการกดทับเส้นประสาททำให้เกิดอาการปวดได้
3.การที่ได้รับอุบัติเหตุอย่างหนัก ทำให้เกิดบาดเจ็บเกี่ยวกับกระดูกสันหลังทำให้มีอาการเคลื่อนตัว จนกระทั่งมีกระดูกงอกมาแทนทีทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทของสันหลังได้

 การรักษาอาการของโรคกระดูกคอเสื่อม
1.การทำกายภาพบำบัด เพื่อช่วยในการบรรเทาอาการปวดหลังและสามารถช่วยให้กระดูกสันหลังที่มีการกดทับคลายลงได้ เป็นอย่างดี
2.การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าทางโพรงประสาท ควรที่จะทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เนื่องจากการใช้ยาสเตอรอยด์นั้น มีผลกระทบต่อร่างกายถ้าได้รับปริมาณที่มากจนเกินไปได้
3.การผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนหมอนรองกระดูกเทียมบริเวณส่วนคอ ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถได้ผลเป็นอย่างดี แต่ควรที่จะทำการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ดูก่อนเนื่องจากค่าใช้จ่ายของการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนหมอนรองกระดูกเทียมนั้นมีราคาที่ค่อนข้างสูง
4.การผ่าตัดกระดูกส่วนที่มีการกดทับเส้นประสาท ควรที่จะให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาเกี่ยวกับการรักษาด้วยวิธีนี้ เพื่อป้องกันอันตรายและข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัดแล้วก็เป็นไปได้

อ้างอิงข้อมูลจาก : Bumrungrad International Hospital https://www.bumrungrad.com/th/spine-institute-surgery-bangkok-thailand-best-jci/cervical-spondylosis

ปวดคอ

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อาการของโรคฝ่าเท้าอักเสบเป็นอย่างไร



🌻 อาการของโรคฝ่าเท้าอักเสบเป็นอย่างไร 🌻
โรคฝ่าเท้าอักเสบ หรือที่เรียกกันว่า “รองช้ำ” มีอาการอักเสบบริเวณของเอ็นฝ่าเท้า เกิดจากการที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณส่วนที่เป็นเอ็นฝ่าเท้า และบริเวณเอ็นส้นเท้าในบริเวณที่เกาะกับส่วนของบริเวณกระดูกส้นเท้า เอ็นบริเวณฝ่าเท้ามีหน้าที่ในการยึดติดกับส่วนของกระดูกส้นเท้าไปยังส่วนของบริเวณนิ้วเท้า สามารถช่วยในการรักษารูปทรงของเท้า และยังสามารถช่วยในการลดกการกระแทกเมื่อเวลาเราต้องใช้เท้าในการเดินและในการวิ่งนั้นเอง

🌹 อาการของโรคเอ็นบริเวณฝ่าเท้าอักเสบ 🌹
ผู้ที่มีอาการของเอ็นบริเวณฝ่าเท้าเกิดการอักเสบ จะเริ่มมีอาการปวดเนื่องจากมีการกดทับบริเวณของเส้นประสาทส้นเท้า ในระยะของอาการแรกๆ จะเกิดมาจากภายหลังการออกกำลังกาย การเดิน และการยืนเป็นเวลานานๆ ถ้ามีการแสดงอาการมากขึ้น ผู้ที่มีอาการเอ็นบริเวณฝ่าเท้าอักเสบจะมีความรู้สึกว่าปวดบริเวณของส้นเท้าอยู่ตลอดเวลา

🌹 ลักษณะของโรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบเป็นแบบไหน 🌹
ลักษณะของโรคนี้ เมื่อเวลาที่ได้ลุกขึ้นเดินได้เพียงประมาณ 2 – 3 ก้าวแรกหลังจากการตื่นนอนในช่วงเช้า หรือหลังจากที่ได้นั่งพักเป็นเวลานานๆ จะมีความรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากบริเวณของส้นเท้า เนื่องจากอาการแบบนี้จะเกิดมาจากการกระชากของเอ็นบริเวณฝ่าเท้าที่มีอาการอักเสบอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อเราเริ่มเดินได้ประมาณหนึ่ง เอ็นบริเวณฝ่าเท้าก็จะเริ่มมีการยืดหยุ่นขึ้น ทำให้อาการเจ็บในตอนแรงเริ่มบรรเทาลงเรื่อยๆ
อาการของโรคนี้แม้ว่าจะมีอาการเป็นๆ หายๆ แต่ก็ไม่ควรที่จะปล่อยเอาไว้เป็นเวลานานๆ หรือมีอาการปวดแบบเรื้อรัง เพราะจะทำให้ส่งผลกระทบอย่างมากในเวลาที่เราต้องทำกิจวัตรประจำวัน และการทำงานที่ต้องมีการเดิน และการยืนเป็นเวลานานๆ ผู้ที่มีความเครียด ความวิตกกังวล จะทำให้เกิดอาการหินปูนเกาะบริเวณส่วนของกระดูกส้นท้าที่มีการอักเสบของเอ็นบริเวณฝ่าเท้าได้ จะทำให้เกิดอาการปวดบริเวณของข้อเท้าอย่างมาก มีอาการปวดเกร็ง และมีอาการตึงบริเวณส่วนของกล้ามเนื้อ และในส่วนของเอ็นร้อยหวาย หากจังหวะของการเดินหรือการลงน้ำหนักตัวลงสู่ฝ่าเท้าผิดท่าหรือผิดปกติจากเดิม จะทำให้เกิดอาการเจ็บปวดบริเวณส่วนของส้นเท้าเป็นอย่างมาก

🌹 ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่ออาการเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ 🌹
ส่วนมากจะเป็นกับผู้หญิงที่มีการทำงานเกี่ยวกับการยืน การเดินตลอดทั้งวัน หรือเป็นเวลานานๆ ในทุกๆ วันจะทำให้บริเวณใต้ฝ่าเท้าเกิดการอักเสบได้ และผู้หญิงที่นิยมสวมรองเท้าส้นสูงหรือมีลักษณะของรองเท้าที่สวมไม่เหมาะสมกับเท้าจะทำให้เกิดการอักเสบบริเวณเอ็นของฝ่าเท้าได้ง่ายกว่าผู้ชาย ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากจนเกินไปหรือผู้ที่อาการของโรคอ้วนจะทำให้เกิดการอักเสบของส่วนเอ็นฝ่าเท้าได้ง่ายๆ เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก : Bangkok Hospital https://www.bangkokhospital.com/th/centers-and-clinics/bone/podiatry-clinic/foot-tendon-inflammation

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อาการกระดูกบางคืออะไร




อาการกระดูกบางคืออะไร ควรทำกายบริหารอย่างไร
              โรคกระดูกบาง ก็คือ โรคที่เกิดจากมวลของกระดูกภายในร่างกายมีความลดต่ำกว่าค่ามาตรฐานแต่ไม่ต่ำถึงขั้นเป็นโรคกระดูกพรุน ค่าของมวลกระดูกของโรคกระดูกบางจึงอยู่ในช่วง -1 ถึงน้อยกว่า -2.5 เอสดี อาการของโรคกระดูกบางเมื่อเป็นแล้วไม่รีบการรักษาหรือปล่อยทิ้งไว้นาน จะส่งผลให้เกิดการเสียของมวลกระดูกเพิ่มมากยิ่นขึ้น จนกลายเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ในบางคนอาจจะเป็นโรคกระดูกพรุน ได้ด้วยการผ่านการเป็นโรคกระดูกบางมาก่อนก็เป็นไปได้ เรื่องของโรคกระดูกบางสามารถเกิดมาจากหลากหลายสาเหตุด้วยกัน อย่างเช่น สาเหตุของปัจจัยที่มีความเสี่ยงในการเกิดอาการของโรคกระดูกบาง และอื่นๆ เช่นเดียวกับอาการที่ทำให้เกิดกระดูกพรุน

การออกกำลังกายในผู้ที่มีอาการกระดูกบาง
ปัญหาเกี่ยวกับผู้ที่มีอาการกระดูกบาง เมื่อมีการออกกำลังกายอย่างหนัก จะทำให้เกิดอาการของกระดูกหักได้อย่างง่าย เวลาที่หกล้ม ส่งผลให้กระดูกหลังเกิดการยุบเป็นเหตุทำให้หลังค่อมได้ การออกกำลังกายสามารถช่วยลดอัตราการเกิดอาการกระดูกบางได้ และยังสามารถช่วยในการกระตุ้นทำให้เกิดกระดูกหนาขึ้นมาได้ การออกกำลังกายที่จะสามารถทำให้ร่างกายได้ประโยชน์ข้างต้น จะต้องเป็นการออกกำลังกายที่มีน้ำหนักกดลงบนกระดูก อย่างเช่น การเกิด การวิ่งเหยาะ การเต้นแอโรบิค การเต้นรำ การกระโดดเชือก การขี่จักรยาน การรำมวยจีน แต่ส่วนการเล่นดัมเบลล์จะใช้มือในการยกสามารถช่วยกระตุ้นเฉพาะกระดูกส่วนแขนเท่านั้น

วิธีเลือกประเภทของการออกกำลังกาย
  •  การเลือกจะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลว่ามีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามหรือไม่
  •  ในระยะเวลาของการออกกำลังกาย ควรทำอย่างน้อยประมาณ 20 – 30 นาทีต่อครั้ง
  •  สถานที่ในการออกกำลังกายควรเลือกที่มีความปลอดภัย และควรใส่รองเท้าที่ให้ความกระชับ เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุลื้นล้ม หากเป็นคนเบื่อง่ายควรที่จะหาเพื่อนไปร่วมกิจกรรมต่างๆ ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับท่าบริหารที่ควบคู่กันไป
  •  ท่ากายบริหาร เพื่อป้องกันอาการหลังค่อม หรือกระดูกเกิดการยุบตัว การบริหารส่วนของกล้ามเนื้อหลัง ด้วยการนอนคว่ำ ให้ใช้หมอนรองหน้าท้องเอาไว้ แอ่นหลังขึ้นเท่าที่จะทำได้ (ห้ามแอ่นหลังมากจนมีอาการเจ็บ เพราะว่าผู้ที่มีอายุมากๆจะมีอาการของกระดูกสันหลังเสื่อมได้) การบริหารส่วนของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ด้วยการนอนหงายแล้วยกขาขึ้นทั้ง 2 ข้าง ประมาณ 15 – 20 องศา จากนั้นควรนอนหงายชันเข่า ผงกศีรษะขึ้นในขณะที่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อ(ห้ามยกหลัง) การบริหารด้วยการยืดกล้ามเนื้ออก ควรที่จะยืดหลังให้ตรงหลีกเลี่ยงการก้มหรือการบริหารที่ต้องโค้งตัวหลังงอ เพราะว่ากระดูกหลังที่บางจะมีการยุบตัวด้านหน้าในบางรายอาจจะต้องใส่อุปกรณ์เสริมหลังเพื่อไม่ให้หลังค่อมโค้งลง การบริหารด้านความสามารถในการทรงตัว เนื่องจากผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุนจะมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะทำให้เกิดอาการกระดูกหักได้ จึงจำเป็นจะต้องมีการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความทรงตัวได้ดีเป็นการลดความเสี่ยงได้อย่างหนึ่ง

ท่าในการบริหารที่เหมาะสำหรับอาการกระดูกบาง
  • ท่าสวนสนามเป็นการยืนย่ำเท้าอยู่กับที่ร่วมกับการแกว่งแขนสลับกันซ้าย – ขวา นับประมาณ 20 ครั้งต่อชุด
  • ท่ายืนเขย่ง ด้วยการนำมือมาจับพนักเก้าอี้ทั้ง 2 ข้าง ยืนเขย่งด้วยปลายเท้าประมาณ 10 ครั้งต่อชุด
  • ท่ายืนขาเดียว ด้วยการยืนตรงมือซ้ายจับพนักเก้าอี้ ยกขาขวาขึ้นค้างไว้วประมาณ 5 วินาที แล้ววางขาลง ทำซ้ำจนครบทั้ง 5 ครั้ง แล้วทำสลับไปอีกด้านแต่ถ้าปัญหาปวดข้อเข่าให้งดท่านี้
  • ท่าก้าวไปข้างหน้า ด้วยการยืนตรงก้าวขาขวาพร้อมกับการถ่ายน้ำหนักไปทางข้างหน้า ก้าวกลับทำซ้ำประมาณ 5 ครั้งแล้วสลับทำอีกข้าง
  • ท่าถอยไปข้างหลัง ด้วยการยืนตรงถอยขวาพร้อมกัน ถ่ายน้ำหนักไปทางข้างหลัง ก้าวกลับทำซ้ำประมาณ 5 ครั้งแล้วทำสลับทำซ้ำอีกข้าง
  • ท่าก้าวหน้ายกแขน ด้วยการยืนตรง ก้าวขาขวาไปทางด้านหน้าพร้อมกับการยกแขนขวาให้ขึ้นเหนือศีรษะแล้วก้าวกลับทำซ้ำประมาณ 5 ครั้งต่อข้าง
  •  ท่าก้าวหน้ากางแขน ควรยืนตรง ก้าวขาไปด้านหน้าพร้อมกับการกางแขนออกไปด้านข้าง ก้าวกลับมาพร้อมกับการลดแขนลงทำซ้ำประมาณ 5 ครั้งต่อข้าง ถ้ามีอาการปวดเข่าให้งดทำท่านี้ทันที

อ้างอิงข้อมูลจาก : โรงพยาบาลรามคำแหง http://www.ram-hosp.co.th/Exercise_patients.htm

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อาการปวดหลังที่มีอันตรายและต้องรีบพบแพทย์




อาการปวดหลังที่มีอันตรายและต้องรีบพบแพทย์
หากพบว่าตนเองมีอาการปวดหลังดังกล่าวต่อไปนี้ ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อการรักษาที่ทันท่วงทีก่อนที่จะเกิดผลร้ายแรงตามมาภายหลังได้

1.ผู้ป่วยมีอาการอ่อนแรง หรือชาร่วมกับอาการปวดหลัง หรือสูญเสียสมดุลของร่างกาย สาเหตุเกิดมาจากเส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของอวัยวะนั้น ถูกกดทับ ทำให้ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของระยางค์นั้น ๆ ได้

2.ผู้ที่มีอาการปวดหลังทั้งๆที่อยู่ในขณะพักหรือไม่มีกิจกรรมใดๆ อาจจะมีหรือไม่มีเหงื่อออกในตอนกลางคืน  ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะการติดเชื้อของกระดูกสันหลัง หรือมีการกระจายของมะเร็งทำให้มีอาการปวดมากแม้เวลาอยู่ในขณะนอนพักก็ตาม

3.ผู้ที่มีอาการปวดที่หลังพร้อมทั้งชาบริเวณรอบๆทวารหนัก หรือสูญเสียความรู้สึกรอบ ทวารหนัก เกิด จากมีการกดทับของเส้นประสาทที่ควบคุม และรับความรู้สึกในบริเวณรอบทวารหนัก

4.ผู้ที่มีอาการปวดหลังพร้อมทั้งมีน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว อาจมีสาเหตุจากภาวะมะเร็งแพร่กระจายมาที่กระดูก เพราะการที่กระดูกสันหลังติดเชื้อ ทำให้มีอาการเบื่ออาหาร ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายและน้ำหนักลด

5.ผู้ที่มีอาการไข้ไม่ว่าระดับสูงหรือต่ำ ร่วมกับอาการปวดหลัง สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการติดเชื้อในร่างกาย บางครั้งติดเชื้อที่บริเวณกระดูกสันหลัง โดยอาจจะมีการติดเชื้อในบริเวณอื่นของร่างกายก่อน เช่น ระบบทางเดินปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โดยเฉพาะในหญิงวัยหลังหมดประจำเดือน ทำให้มีการแพร่กระจายเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด และเกิดการติดเชื้อบริเวณกระดูกสันหลัง กระดูกและเนื้อเยื่ออ่อนบริเวณรอบ ๆถูกทำลาย ผู้ป่วยมีอาการปวดหลังอย่างรุนแรงร่วมกับอาการไข้ พบว่าส่วนใหญ่มักเป็นเชื้อแบคทีเรีย หรือในบางครั้งอาจจะพบมีการติดเชื้อวัณโรคของกระดูกสันหลังก็เป็นได้

6.ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรงก่อนจะปวดหลัง  ร่วมกับมีอาการปวดหลังแบบเฉียบพลันนั้นอาจจะทำให้เกิดกระดูกสันหลังหัก ยุบได้

7.ผู้ที่ปวดหลังที่มีประวัติตนเองเคยเจ็บป่วยเป็นโรคมะเร็ง เพราะมีโอกาสที่มะเร็งจะกระจายมาที่บริเวณกระดูกสันหลังได้ มะเร็งที่พบ ได้แก่ มะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก ปอด ระบบทางเดินอาหาร ต่อมไทรอยด์ ซึ่งบริเวณกระดูกสันหลังจะถูกกระตุ้นให้เกิดการทำลายกระดูกเป็นอย่างมาก ทำให้โครงสร้างกระดูกที่ปกติถูกทำลายลงจากการที่กระดูกสันหลังยุบตัวลง ก่อให้เกิดอาการปวดหลังมาก ถ้ามะเร็งแพร่กระจายไปกดทับเส้นประสาทและไขสันหลังก็จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการชา อาการอ่อนแรงของขา เคลื่อน ไหวไม่ได้ อาจจะไม่สามารถกลั้นอุจจาระและปัสสาวะได้ ทำให้เป็นอัมพาต

8.ผู้ที่มีอาการปวดหลังและสังเกตพบว่าความสูงลดลง อาจเนื่องมาจาก ความผิดรูปของหลังหรือหลังคด โรคกระดูกพรุนร่วมกับการเกิดกระดูกสันหลังยุบตัวลง ทำให้เกิดหลังโก่งค่อม และส่วนสูงลดลง ทำให้เกิดมีอาการปวดมาก มักจะเกิดในผู้สูงอายุ

ขอบคุณข้อมูลจาก
นพ.ภัทร โฆสานันท์  ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ-โรคกระดูกสันหลัง  โรงพยาบาลเวชธานีวินิจฉัยสาเหตุของโรคปวดหลัง
http://www.thairath.co.th/content/449771
http://www.thaihealth.or.th/Content/26978

ปวดหลัง

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน


วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การรักษาอาการของข้อไหล่ติด ได้อย่างไร



การรักษาอาการของข้อไหล่ติด ได้อย่างไร
การดูแลและการรักษาอาการของข้อไหล่ติด จะประกอบไปด้วยการช่วยในเรื่องของการบรรเทาอาการเจ็บปวดและการทำกายภาพบำบัด ผู้ที่มีอาการของข้อไหล่ติดส่วนมากจะมีความเจ็บปวดน้อยลงเมื่อได้ทำตามขั้นตอนด้านล่างนี้ แต่จะใช้เวลาในการทำกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการเจ็บปวด และการรักษาอาการข้อไหล่ติดอาจจะต้องมีการรักษากันหลายเดือนกว่าอาการข้อไหล่ติดจะดีขึ้น

การทำกายภาพบำบัดอาการของข้อไหล่ติด
1   1.การออกกำลังกายด้วยการเหยียดแขน เป็นการช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ และสามารถช่วยลดอาการกล้ามเนื้อเกิดการลีบ ผู้ที่เริ่มมีอาการเจ็บปวดบริเวณข้อไหล่ควรที่จะทำการบริหารทุกๆ วันอย่างสม่ำเสมอ ทำหลายๆ ครั้งต่อวันด้วย มิใช่แค่ทำเฉพาะนักกายภาพมาช่วยในการบำบัดเท่านั้น

     2. การประคบด้วยน้ำอุ่นอย่างน้อยควรทำประมาณ 3 ครั้งต่อวัน อย่างน้อยประมาณ 10 นาทีต่อครั้ง เพื่อช่วยในการบรรเทาอาการเจ็บปวดบริเวณข้อไหล่ได้ ควรที่จะทำประคบอุ่นก่อนที่จะเริ่มทำการบริหารข้อไหล่

     3.การทำกายภาพบำบัด เป็นการช่วยในเรื่องของการยืดเยื่อหุ้มข้อไหล่ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ ให้สามารถเหยียดไหลได้ดีมากขึ้น ภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัด

     4.รับประทานยาสำหรับช่วยลดอาการบวมบริเวณส่วนข้อไหล่ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ผู้ที่มีอาการปวดจะหายจากโรคของข้อไหล่ติดได้ เพียงแต่ช่วยในการบรรเทาอาการปวด และอาการบวมเท่านั้น

     5.การฉีดยาคอทีโซน ทั่วๆไปจะใช้เพื่อช่วยให้อาการปวดบวมของข้อไหล่ลดลง แต่จะไม่เป็นผลที่มีความแน่ชัดว่าจะให้ผลการรักษาที่ดีเพียงใด แต่สามารถช่วยในการบรรเทาอาการเจ็บปวด และอาการบวมบริเวณข้อไหล่เท่านั้น

     6.หากผู้ที่มีอาการของข้อไหล่ติด รับการรักษาข้างต้นไม่เป็นผล ผู้ที่มีอาการของข้อไหล่ติดแพทย์จะมีการพิจารณาเกี่ยวกับการรักษาอาการด้วยการผ่าตัด ด้วยทางแพทย์จะให้ยาสลบกับผู้ที่มีอาการข้อไหล่ติดและจัดการกระดูกให้เข้าที่ (Manipulation Under Anesthesia)   ในกรณีที่แพทย์ทำการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องเพื่อไปตัดพังผืดหรือเนื้อเยื่อที่มีการยึดข้อไหล่ ทำให้ไหล่เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น นอกจากนี้ วิธีการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องยังทำให้แพทย์สามารถหาสาเหตุอื่นๆ ในบริเวณข้อไหล่เพิ่มขึ้นได้อีกด้วย ทำให้การรักษาเป็นไปได้ด้วยดี อย่างเช่น การเย็บซ่อมเอ็นบริเวณกางไหล่ หลังจากการผ่าตัดผู้ที่ได้รับการผ่าตัดจะต้องเชื่อฟัง คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และควรพยายาม ขยับบริเวณข้อไหล่ให้ได้เร็วที่สุด เนื่องจากอาจจะไม่ได้ผลรวมถึงผู้ที่มีอาการต้องได้รับการทำกายภาพบำบัดหลังจากการผ่าตัดด้วย เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะว่า ถ้าไม่ทำกายภาพบำบัดหลังจากการผ่าตัดนั้น ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดอาจจะมีโอกาสกลับมาเป็นอาการข้อไหล่ติดได้

หลังจากผู้ที่มีอาการไหล่ติดได้รับการดูแลรักษาตามวิธีข้างต้นนี้แล้ว ส่วนมากผู้ที่มีอาการไหล่ติด มีอาการติดขัดในการเคลื่อนไหวของข้อไหล่จะลดลง สามารถทำกายภาพบำบัดตัวเองเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดอาการของไหล่ติดอีก ด้วย ใช้บันได ฝาห้อง คานโหน เพื่อช่วยในการทำกายภาพบำบัดบริหาร ถ้าทำแล้วมีอาการเจ็บมากควรที่จะรีบปรึกษาแพทย์ เป็นการป้องกันไม่ให้อาการกลับมารุนแรงได้

อ้างอิงข้อมูลจาก : บทความจาก Vejthani Hospital http://www.vejthani.com/web-thailand/Shoulder-contact.php


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน


วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เมื่อรองเท้าก่อปัญหา ตอนที่ 2



เมื่อรองเท้าก่อปัญหา ตอนที่ 2
 การเลือกซื้อรองเท้าที่เหมาะสมเพื่อป้องกันปัญหาปวดเท้าตามมา
1. เลือกคู่ที่มีขนาดเหมาะสม ความยาวรองเท้าที่เหมาะสม นั่นก็คือ ส้นเท้าจะต้องชิดส้นรองเท้าพอดี และหัวรองเท้าเหลือพื้นที่เท่ากับความกว้างนิ้วหัวแม่มือ เมื่อทำการวัดจากนิ้วเท้าที่ยาวที่สุด โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นนิ้วหัวแม่เท้าเสมอไป หัวรองเท้าลึกและกว้างพอจนไม่สามารถกดและเสียดสีกับนิ้วเท้าได้ ทั้งนี้ส่วนที่กว้างที่สุดของรองเท้าควรที่จะตรงและพอดีกับตำแหน่งที่กว้างที่สุดของเท้าของเรา
2.ควรเลือกซื้อรองเท้าในช่วงบ่าย หากต้องเดินในช่วงกลางวัน ควรที่จะเลือกซื้อรองเท้าในช่วงบ่าย เพราะเท้าของเราจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเมื่อผ่านการเดินตลอดทั้งวัน ทั้งนี้เนื่องจากเลือดไหลเวียนลงสู่บริเวณเท้ามากขึ้น จึงเหมาะที่จะเลือกรองเท้าในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อที่จะป้องกันปัญหารองเท้าคับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมและชีวิตประจำวันของผู้สวมใส่ด้วย
3.ควรลองรองเท้าทั้งสองข้างเสมอ เท้าของคนเราสองข้างจะไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงควรลองรองเท้าทั้งสองข้างและลองเดินไปเดินมาด้วย เพื่อตรวจสอบว่าสบายเท้าหรือไม่
4. ต้องเผื่อที่กันคับ ทั้งนี้หากผู้ที่สวมใส่รองเท้าจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เสริมในรองเท้าต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น แผ่นกันรองเท้ากัด แผ่นรองเท้า ฯลฯ ซึ่งจะทำให้รองเท้าคับขึ้น ก็ควรที่จะเลือกรองเท้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อย
5.รองเท้าไม่แบนจนเกินไป  พื้นรองเท้าที่แบนราบจนกินไป จะไม่เหมาะกับสรีระของเท้าต่อการรับน้ำหนัก ดังนั้นควรเลือกรองเท้าที่มีพื้นที่นิ่มและเสริมบริเวณอุ้งเท้าจึงจะดีกว่า

วิธีการเลือกซื้อรองเท้าให้เหมาะสมกับรูปแบบชีวิต ลักษณะและรูปแบบเท้าของแต่ละคน
1.นักกีฬา ควรที่จะเลือกรองเท้าที่มีพื้นที่นิ่มและมีความยืดหยุ่นเพื่อที่จะรองรับกับแรงกระแทกได้ดี  หากนักกีฬาใช้ปลายเท้าเป็นส่วนมาก ตัวอย่างเช่น นักวิ่ง ควรที่จะเลือกรองเท้าที่ออกแบบให้รองรับกับแรงกระแทกส่วนหน้าโดยเฉพาะ
2.ผู้ที่มีอาการปวดฝ่าเท้าด้านหน้า มักพบกับผู้ที่สวมใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ  ดังนั้นจึงควรเลือกรองเท้าส้นเตี้ย ที่มีพื้นนิ่ม และมีหน้ารองเท้าที่กว้าง เพื่อลดการเสียดสีและการบีบของเท้า
3.ผู้ที่มีเท้าแบน ฝ่าเท้าที่แบนจะทำให้ปวดบริเวณกลางฝ่าเท้าได้ เนื่องจากเอ็นที่ทำหน้าที่ยกอุ้งเท้าจะถูกดึงยืด  ดังนั้นจึงควรสวมรองเท้าที่เสริมอุ้งเท้า (พื้นรองเท้าที่นูนขึ้นตรงอุ้งเท้า) เพื่อช่วยเส้นเอ็นพยุงอุ้งเท้าได้ 
4.ผู้ที่มีอุ้งเท้าสูง จะปวดฝ่าเท้าด้านหน้าและส้นเท้า เพราะการรับน้ำหนักของบริเวณอุ้งเท้าส่วนกลางได้หายไป  รองเท้าจึงควรที่จะมีลักษณะเสริมอุ้งเท้า เพื่อจะช่วยกระจายน้ำหนักจากบริเวณฝ่าเท้าด้านหน้าและส้นเท้ามายังอุ้งเท้า ทั้งนี้จึงควรเลือกรองเท้าที่มีพื้นที่นิ่มและมีความยืดหยุ่น
5.ผู้ที่ปวดส้นเท้า การปวดส้นเท้ามักเกิดจากจุดยึดพังผืดส้นเท้าอักเสบ ทำให้ปวดมากเมื่อเดินก้าวแรกหลังจากตื่นนอน เพราะว่าพังผืดถูกยืดแบบทันทีทันใด รองเท้าที่เหมาะ ควรที่จะมีพื้นที่นิ่ม มีส้นเล็กน้อยเพื่อที่ถ่ายน้ำหนักไปยังเท้าส่วนหน้าได้ การที่ใส่รองเท้าที่มีการเสริมอุ้งเท้า และนวดฝ่าเท้าก่อนการลุกจากเตียงรวมทั้งการบริหารยืดเอ็นร้อยหวาย ที่ทำได้โดยการนั่งเหยียดขาข้างที่ต้องการยืดไปยังด้านหน้า แล้วใช้ผ้าคล้องที่ปลายเท้าเอาไว้ ขาอีกข้างหนึ่งชันเข่าขึ้น และออกแรงดึงปลายผ้าสองข้างเข้าหาตัว จนรู้สึกว่าส่วนน่องตึง ค้างไว้ที่ 10 วินาทีนับเป็น 1 ครั้ง ทำวันละ 10 ถึง 15 ครั้ง จะสามารถช่วยลดการปวดเท้าและลดการช้ำได้ 
6.ผู้ที่เป็นเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานมักมีปลายประสาททำงานผิดปกติ ทำให้เท้าชา มีนิ้วเท้าหงิกงอ ทำให้ฝ่าเท้าด้านหน้ารับน้ำหนักมากและนิ้วเท้าเสียดสีกับหัวรองเท้า จึงควรเลือกใส่รองเท้าพื้นนิ่ม มีหัวลึกและกว้าง ห้ามใช้รองเท้าคีบ เพราะอาจทำให้เกิดแผลบริเวณร่องนิ้วเท้าได้โดยไม่รู้ตัว

จะเห็นได้ว่ารองเท้าเป็นได้ทั้งตัวก่อปัญหาและตัวแก้ปัญหา ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับเท้าของเราหรือไม่

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เมื่อรองเท้าก่อปัญหา ตอนที่ 1




เมื่อรองเท้าก่อปัญหา ตอนที่ 1

รองเท้าเป็นสิ่งที่จำเป็นที่เราต้องสวมใส่เกือบตลอดเวลา เพื่อที่จะช่วยรับน้ำหนักและป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นกับเท้าได้ แต่ถ้าหากรองเท้าที่เราสวมใส่ไม่เหมาะสมกับเท้าแล้ว  รองเท้านั้นอาจกลายเป็นตัวก่อปัญหาให้กับเราได้

ปัญหาที่เกิดจากการใส่รองเท้าไม่เหมาะสม
1.เกิดนิ้วหัวแม่เท้าเก นื้วหัวแม่เท้าคต  พบในผู้ที่ใส่รองเท้าหน้าแคบ ทำให้นิ้วหัวแม่เท้าบิดหรือเกเข้าสู่นิ้วชี้ ผู้สวมใส่จะมีอาการปวดข้อนิ้วหัวแม่เท้าที่นูนออกมาเพราะว่าเสียดสีกับรองเท้า นอกจากนั้นยังอาจเกิดหนังด้านและถุงน้ำบริเวณนี้อักเสบได้  ในบางครั้งนิ้วหัวแม่เท้าจะเบียดนิ้วเท้าอื่นๆ ทำให้นิ้วนั้นเกยกัน หากเป็นมากจะพบว่านิ้วชี้ของเท้าถูกเบียดลอยขึ้นอยู่บนส่วนนิ้วหัวแม่เท้า ผิวด้านบนนิ้วเท้าที่เกยกันอาจจะมีการเสียดสีกับรองเท้า จนทำให้เกิดหนังด้านได้ ในบางรายอาจจะมีอาการปวดเนื่องมาจากเยื่อหุ้มข้อด้านในถูกยืดดึงและเส้นประสาทด้านในถูกกดและดึงรั้งอีกด้วยด้วย นอกจากนี้แล้วการมีนิ้วหัวแม่ของเท้าเก จะทำให้นิ้วหัวแม่ของเท้าไม่สามารถที่จะรับน้ำหนักได้ ฝ่าเท้าบริเวณนิ้วชี้ถึงนิ้วก้อยจะเจ็บปวดได้และมีหนังด้านเกิดขึ้นอีกด้วย
2.เกิดการปวดฝ่าเท้าด้านหน้า พบในผู้ที่ใส่รองเท้าส้นสูงอยู่เป็นประจำ โดยฝ่าเท้าจะต้องรับน้ำหนักมาก ผู้สวมใส่จะปวดเวลาเดินบนพื้นแข็งหรือเมื่อกำลังใส่รองเท้าส้นสูง และมักเจ็บลดลงเมื่อเดินบนพื้นที่นุ่ม หรือใส่รองเท้าที่มีพื้นนิ่มและใส่รองเท้าที่มีส้นเตี้ย ในบางครั้งอาจพบอาการปวดร้าวที่นิ้วเท้าและข้อเท้าได้ ทั้งนี่มักพบหนังบริเวณฝ่าเท้าด้านอีกด้วย
3.มีตาปลาที่ฝ่าเท้า หรือหนังด้านเกิดขึ้น หนังด้านที่บริเวณฝ่าเท้าจะเกิดจากการกดทับที่มากกว่าปกติ และมาจากการเสียดสี หนังด้านที่บริเวณด้านข้างของนิ้วหัวแม่เท้าและนิ้วก้อยนั้น มักเกิดจากการที่ใส่รองเท้าหน้าแคบทำให้รองเท้าเบียดและเสียดสีกับนิ้วเท้า ส่วนหนังด้านที่บริเวณฝ่าเท้า มักจะเกิดจากการใส่รองเท้าส้นสูง ทำให้ฝ่าเท้าต้องรับน้ำหนักมากกว่าบริเวณส้นเท้า ทั้งนี้มักพบว่ามีการปวดฝ่าเท้าด้านหน้าร่วมด้วย
4.เกิดการปวดล้าบริเวณส่วนนิ้วเท้า น่อง และหลัง  มาจากการใส่รองเท้าส้นสูง ทำให้กล้ามเนื้อในเท้า กล้ามเนื้อน่องและส่วนของหลังต้องทำงานหนักมากขึ้น

เลือกรองเท้าอย่างไรจึงไม่มีปัญหา
ควรเลือกใส่รองเท้าที่เหมาะสมทั้งส่วนของรูปแบบและขนาดรองเท้า หากเท้ามีปัญหาต้องเลือกรองเท้าที่มีรูปแบบพิเศษเพื่อป้องกันอาการเจ็บปวดหรือบาดเจ็บเท้ามากยิ่งขึ้นได้

ที่มา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์แพทย์หญิงนวพร  ชัชวาลพาณิชย์ คลินิกสุขภาพเท้า ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู  Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ลิงค์ http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=557
เพิ่มเพื่อน



วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558




อาการปวดไหล่กับการเป็นอัมพาตครึ่งซีก

           คนที่ป่วยเป็นอัมพาตครึ่งซึกในเดือนแรก ๆ มักจะร่างกายอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว และพอนานกว่านั้นกล้าวเนื้อในร่างกายก็จะเริ่มยึดและเกร็งแล้ว ยิ่งเวลาที่เราหลับอยู่กล้ามเนื้อจะหดสั้นลงมากเป็นพิเศษ ทำให้มีอาการเจ็บปวดอื่น ๆ ตามมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการปวดข้อไหล่ เรามาดูกันว่าวงจรการปวดข้อไหล่ของผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกนั้นจะเป็นอย่างไร

อาการเส้นยึดทำให้ปวดตามข้อไหล่และส่วนข้ออื่น ๆ ในร่างกายจะเริ่มปวดดังนี้
•ผู้ป่วยจะปฎิเสธการเคลื่อนไหวหรือทำให้ร่างกายนั้นเคลื่อนไหวได้น้อยลง
•บริเวณแขนจะมีเลือดไหลเวียนอยู่น้อยลงและเคลื่อนไหวน้อยลงด้วย
•จะเกิดอาการเจ็บบริเวณข้อไหล่และส่วนข้ออื่น ๆ ทันทีเมื่อมาการขยับแขน
•เกิดเป็นเลือดคั่งอยู่บริเวณของมือ และมือเริ่มบวม เห็นได้ชัดจากด้านหลังมือเลย
•จากนั้นก็เริ่มจากข้อแรกใหม่

อาการเจ็บปวดจะเป็นวงจรวนไปมาอยู่อย่างนี้ไม่หายไปไหน สำหรับใครที่ป่วยเป็นโรคอำพาตครึ่งซีกแรก ๆ อยู่นั้นควรจะต้องหาวิธีการรักษาโดยเร็วก่อนที่จะรักษาไม่ทันการ  สำหรับใครที่เป็นนานและเริ่มปวดตรงข้อต่าง ๆ มากแล้วให้ลองทำแบบนี้

การป้องกันการปวดข้อไหล่และข้อมือ จะต้องเลี่ยงการกระทำดังนี้
ห้ามนอนทับแขนตัวเองเด็ดขาด พยายามนอนหงายให้ได้ เพราะหากทับแขนจะยิ่งทำให้แขนเราไม่มีแรง
พยายามอย่าดึกและกระชากแขนแรง ๆ กับด้านที่เป็นอัมพาตอยู่ รวมไปถึงการห้อยแขนลงข้างลงตัวด้วย

       ยังไงก็ต้องเลี่ยงให้ได้เพื่อประโยชน์ต่อร่างกายของตัวผู้ป่วยเอง การรักษาทำกายภาพบำบัดผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกก็มีอยู่ โดยคนใกล้ชิดสามารถช่วยทำกายภาพบำบัดให้ได้ ดังนี้

1.ให้นอนหงายยกแขนขึ้นเหนือหัว  ให้คนจับตรงศอก ข้อมือและนิ้วมือให้ ออกมาเหยียดตรง ๆ เอาแขนขึ้นเหนือหัวแล้วเอาลงสลับกันไปมา
2.ให้นอนหงายกางแขนออกพร้อมหมุนออก เช่นกันให้จับข้อศอกและนิ้วมืออยู่ในแนวตรง และกางแขนออกไปจากลำตัวและทำการหมุนแขนออก และให้หงายฝ่ามือขึ้นด้วย และทำการหุบเข้า สลับกันไปมา
3.นอนตะแคงยึดสะบักไปด้านหน้าและหลัง ให้วางแขนของผู้ป่วยไว้บนแขนท่อนล่างเรา ทำให้ศอกผู้ป่วยตรง มืออีกข้างจับสะบักเอาไว้ ออกแรงหน่อยทำการขยับสะบักไปด้านหน้าและหลังสลับกันไปมา
4.นอนตะแคง ในท่าเหยียดแขนไปด้านหลัง ให้เอามือข้างหนึ่งจับศอกไว้ อีกด้านจับนิ้วเหยียดให้ตรง เราช่วยเขาขยับแขนไปด้านหลัง และกลับมาหาลำตัว ทำแบบนี้สลับกันไป
5.นอนหงาย ท่างอและเหยียดข้อมือและนิ้ว เราจะจับมือผู้ป่วยเอาไว้และขยับข้อมืองอและสลับกับเหยียด และนิ้วมือให้จับและกำเอาไว้ แต่ถ้าหลังมือบวมให้เน้นการแบบมือแทน
6.ท่านั่ง  ท่านี้ให้เราจัดผู้ป่วยทำการนั่งเท้าแขนกับเก้าอี้ หรือหาหมอนมารองก็ได้

         การทำกายภาพบำบัดช่วยได้ดีอย่างหนึ่งสำหรับผู้ป่วยอำพาตครึ่งซีก และในทางเดียวกันตัวผู้ป่วยเองก็จะต้องให้ความร่วมมือกับผู้ที่ทำการรักษาด้วย จะได้หายเจ็บเร็ว ๆ

ข้อมูลจาก http://www.pt.mahidol.ac.th/knowledge/?p=127

ปวดไหล่

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน




สาเหตุ การบำบัด และข้อแนะนำสำหรับอาการปวดคอ
สาเหตุของอาการปวดคอมี สาเหตุหลักๆ ดังนี้ต่อไปนี้
1.     เกิดการปวดเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อคอ
พบมากในวัยหนุ่มสาวจนถึงผู้สูงวัย นอกจากอาการปวดคอ  ยังอาจมีอาการปวดมึนหัวหรือปวดชาร้าวไปทีไหล่ รวมทั้งมือและแขนร่วมด้วย โดยจะ มีอาการปวดกล้ามเนื้อมากขึ้นได้ เมื่อใช้งานกล้ามเนื้อบริเวณคอ มีจุดที่กดเจ็บเมื่อคลำจะพบว่ามีลักษณะเป็นก้อน หรือมีแถบแข็ง
2.     เกิดจากของภาวะข้อเสื่อม
เนื่องจากการเสื่อมสภาพตามวัย และการใช้งานอย่างหนัก จะทำให้มีอาการปวดต้นคอ และไม่สามารถเคลื่อนไหวคอได้อย่างเต็มที่ ในบางรายพบว่ามีอาการปวดร้าวไปที่ท้ายทอย หัวไหล่และแขน โดยมีการชาและมีอาการอ่อนแรงด้วย หากพบมีอาการเช่นนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์
3.     แนวกระดูกคอผิดปกติ เพราะการอยู่ในอิริยาบถที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน เช่น การก้มมองโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ
4.     กระดูกต้นคอเสื่อม ทำให้มีหินปูนมาเกาะบริเวณรอบขอบกระดูก เกิดการระคายเคืองต่อเส้นประสาทของคอ จึงมีอาการปวดคอตามมาได้
5.     อุบัติเหตุต่างๆที่เกิดขึ้น  เช่น รถชนทำให้มีอาการคอเคล็ด พบอาการกระดูกหักหรือเคลื่อนจนเกิดเป็นอัมพาตได้
6.     สาเหตุจากความเครียด และสาเหตุอื่นๆ เช่น มีการติดเชื้อของกระดูก หรือมีกระดูกคอที่ผิดปกติมาแต่กำเนิด

การบำบัดเมื่อมีอาการปวดคอ

กรณีปวดใน 48 ชั่วโมงแรกอย่างเฉียบพลัน
ประคบด้วยแผ่นประคบเย็นหรือถุงน้ำแข็ง 20 นาที ทุก 2-3 ชั่วโมง
พักกล้ามเนื้อบริเวณนั้น อย่ากดหรือยึดอย่างแรงจนเกิดการเจ็บซ้ำ

กรณีปวดเรื้อรังภายหลัง  48 ชั่วโมง
ประคบด้วยกระเป๋าน้ำร้อนหรือผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นๆประมาณ  20 นาที
ยืดกล้ามเนื้อค้างไว้ประมาณ 15 วินาที ให้ทำ 10 ครั้งทุกวัน เพื่อกล้ามเนื้อคอมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
เกร็งกล้ามเนื้อรอบคอค้างไว้ประมาณ 5 วินาที ให้ทำ 10 ครั้งทุกวัน  เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอ
ทําท่าเก็บคาง เกร็งค้างไว้ประมาณ  5 วินาที ให้ทำ 10 ครั้งทุกวัน  เพื่อเพิ่มความมั่นคงของกล้ามเนื้อคอ

หากมีอาการปวดคอรุนแรง เรื้อรัง ชาร้าวขึ้นศีรษะ กระบอกตา หรือร้าวลงสะบัก แขน มือชาหรือ ควรปรึกษาแพทย์ ซึ่งแพทย์จะปฏิบัติตามลำดับ ดังนี้
ใช้ยารับประทานหรือยาฉีดเพื่อลดการอักเสบ
รักษาด้วยการทำกายภาพบำบัด โดยนิยมใช้ร่วมกับการรับประทานยา
ใช้การผ่าตัด กรณีที่การทำภาพบำบัดไม่ได้ผล
มีข้อแนะนาสำหรับผู้มีอาการปวดคอ ดังนี้
1. ไม่ควรนอนหมอนที่สูงเกินไป หรือนอนลักษณะที่ผิดแนวของกระดูคอ เช่น นอนพาดต้นคอกับที่ส่วนที่เท้าแขนของโซฟา ถ้ายังรู้สึกปวดคอ อาจเปลี่ยนมาใช้หมอนเพื่อสุขภาพมารองที่ต้นคอในเวลานอน
2. ผู้ที่มีอาการปวดคอไม่สมควรสะบัดต้นคอแรงๆ เพราะอาจจะทำให้เอ็นและกล้ามเนื้อของต้นคออักเสบมากขึ้นได้
3. ให้ประคบด้วยกระเป๋าน้ำร้อน ครั้งละ30 นาที ทั้ง เช้าและเย็น
4. เมื่อนั่งทำงานไม่ควรให้ศีรษะอยู่ในท่าเดียวเป็นเวลานานๆ  ควรที่จะพักหรือบริหารต้นคอสลับไปมาบ้าง เพื่อจะลดการตึงเครียดของกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ และเก้าอี้ที่นั่งควรมีพนักพิงหลังด้วย
5. ควรใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับสภาพการทำงาน เช่น  ความสูงของโต๊ะ  เก้าอี้ ควรให้พอดีกับร่างกาย
6. เมื่อจำเป็นต้องยกของหนัก หรือเดินแบกของเป็นเวลานานๆ ควรรักษาท่าทางให้ตัวตรงเสมอ 
ข้อมูลจาก
http://forums.thaisafetywork.com/index.php?topic=1531.0

http://www.nkp-hospital.go.th/institute/physicalmed_56/pFile/k_04.pdf

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558


มาดูแลเท้าให้ดีกันเถอะ 
         การดูแลรักษาเท้านั้นเป็นเรื่องสำคัญมากใครว่าเท้าไม่สำคัญคิดใหม่ได้เลย หากเราไม่มีเท้าเราจะทำอะไรตามที่อยากทำไม่ได้หลายอย่าง จะเดินทางไปไหนก็ได้  จะวิ่ง จะเดิน ก็ต้องใช้เท้าทั้งนั้น ในเท้าของเรามีอะไรน่าสนใจที่วิเศษมาก ๆ มีกระดูกขนาดเล็ก 26 ชิ้น 2 ข้างก็เป็น 52 ชิ้นซึ่งเยอะมากถือเป็น 1 ใน 4 ของกระดูกทั้งหมดในตัวของเราเลย ส่วนเส้นเอ็นเท้าก็มีถึง 107 เส้นด้วยกัน ไม่ธรรมดาจริง ๆ 

วิธีการดูแลเท้าอย่างถูกต้อง 
หากเท้าของเราเป็นอะไรขึ้นมาก็คงจะไม่เป็นที่น่าพอใจแน่ ๆ วันนี้เรามาดูแลเท้าให้ถูกวิธีการเถอะ 
1.ทุกวันจะต้องล้างเท้าให้สะอาด ทำความสะอาดให้ดี ล้างเท้าด้วยน้ำอุ่นและสบู่ที่ไม่กัดเท้า 
2.หลังจากที่ล้างแล้วต้องเช็ดเท้าให้แห้งในทันที ทุกซอกของเท้าจะต้องแห้ง 
3.ถ้าหากรู้สึกว่าผิวเท้าแห้งก็ให้ทาโลชั่นบาง ๆ ที่ฝ่าเท้าและหลังเท้าแต่อย่าทาในซอกนิ้ว 
4.เล็บเท้าถ้ายาวแล้วให้ตัดที่ขอบเล็กอย่าตัดซอกด้านข้าง 
5.ช่วงไหนอากาศหนาวก่อนนอนให้สวมถุงเท้าทุกครั้ง 
6.ให้ใส่รองเท้าตลอดแม้ว่าจะอยู่บ้าน 
7.เลือกรองเท้าให้เข้ากับลักษณะของเท้าตัวเอง 
8.หมั่นออกกำลังกายและบริหารกล้ามเนื้อส่วนเท้า 

        เท้าถ้าเราดูแลไม่ถูกวิธีก็จะทำให้ได้รับอันตรายได้ แม้ว่าเท้าจะไม่ใช่จุดโดดเด่นของร่างกายแต่มันก็เป็นสิ่งสำคัญเท่าเทียมกับส่วนอื่น ๆ ของร่างกายเหมือนกัน หากวันนี้คุณละเลยการดูแลทำความสะอาดเท้า ไม่บริหารเท้าอาจจะทำให้เป็นโรคต่าง ๆ เกี่ยวกับเท้าตามมาภายหลังได้ ตอนนี้เท้ายังสบายดีอยู่จะต้องหมั่นรักษาให้ดี
ท่าการบริหารเท้าให้มีสุขภาพดี 

เท้าเราสามารถบริหารได้ โดยทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 
1.เริ่มจากการกระดกส่วนของข้อเท้าขึ้นและกระดกลงสลับกันไปมาอย่างช้า ๆ 
2.จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นหมุนข้อเท้าเข้าและหมุนออกกลับกันไปมาช้า ๆ 
3.หาผ้ามาวางบนพื้นและใช้นิ้วเท้าจิกลงเพื่อให้กล้ามเนื้อเล็ก ๆ ได้บริหารด้วย 
4.จากนั่นให้นั่งและยกขั้น เหยียดเข่าให้ตึงไปข้างหน้า แล้วกระดกข้อเท้าขึ้นและค้างเอาไว้ขับ 6 วิ 1 ครั้ง 

อย่าละเลยการเอาใจใส่ดูแลสุขภาพเท้าเพราะหากเกิดอะไรขึ้นมาแล้วจะรักษาลำบาก ถ้าจะให้ดีจะต้องรู้จักดูแลตั้งแต่ตอนที่เท้ายังคงสุขภาพดีอยู่ ให้มีสุขภาพดีต่อไปเรื่อย ๆ เพราะเท้าอ่อนโยนและบอบบางกว่าที่คุณคิด ต้องได้รับการดูแลทำความสะอาดเป็นประจำทุกวัน หากวันนี้เท้ายังสุขภาพดีเราก็ควรจะดูแลให้ดีเรื่อย ๆ จะได้มีเท้าใช้งานไปนาน ๆ 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=356 

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558



โรคกระดูกสันหลังคดคืออะไร
           เป็นอีกโรคที่ไม่มีใครอยากจะเป็นอีกเหมือนกันสำหรับโรคกระดูกสันหลังคด สาเหตุที่ทำให้เกิดเป็นกระดูกสันหลังเปลี่ยนรูปคดงอได้นั้นมีหลายสาเหตุ การผิดรูปของลักษณะกระดูกสันหลังส่วนมากจะเห็นมันคดออกไปทางด้านข้าง โรคนี้อาจจะเป็นได้ทุกคนแต่ส่วนมากจะเป็นช่วงของวัยเด็กประมาณ 10 -15 ปีจะพบว่าเป็นโรคกระดูกสันหลัดคดกันเยอะกว่าช่วงวัยอื่น ๆ 
สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคกระดูกสันหลังคด
         มีหลายปัจจัยมาก ๆ ที่ทำให้เป็นโรคกระดูกสันหลังคดได้ก็จะมีเพราะว่าร่างกายของเราได้สร้างกระดูกและกระดูกนั้นมีการเจริญเติบโตที่ไม่ปกติ โดยอาจจะเป็นมาทั้งแต่เกิดเลย  แต่บางคนก็อาจจะเกิดเพราะว่ากล้ามเนื้อส่วนหลังนั้นเกิดความผิดปกติขึ้นมา หรือไม่ก็มีโรคท้าวแสนปมเพิ่มด้วยโดยจะป่วยทั้งสองอย่างเลยคือ เป็นทั้งโรคท้าวแสนปมและเป็นทั้งโรคกระดูกสันหลังคนพร้อมกัน
ลักษณะอาการของผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังคด
       กระดูกสันหลังคนก็คือมันไม่ตรงเหมือนกับกระดูกสันหลังของคนปกติทั่วไปโดยจะคดงอไปทางด้านใดด้านหนึ่ง แนวของกระดูกสันหลังจะไม่ตรงกันไม่พอดีกันระหว่างหัวไหล่ทั้งสองข้างเลย และในส่วนของเอวก็ไม่เท่ากันอีกด้วย มองด้วยตัวเปล่าจะเห็นว่าเหมือนกับหลังจะค่อมและนูน เหมือนกับหลังโก่ง บางคนก็ไม่มีอาการปวดอะไรส่วนมากก็จะคิดมากเรื่องรูปร่างที่ทำให้บุคลิกภาพไม่ดีมากกว่าที่รักษาอาการปวดหลัง
การรักษาโรคกระดูกสันหลังคด
          วิธีการรักษาโรคกระดูกสันหลังคดนั้นมีหลายวิธีตามแต่แพทย์จะวินิจฉัยว่าควรจะต้องรักษายังไง เพราะว่าอาการและความคดของกระดูกสันหลังผู้ป่วยแต่ละคนมันไม่เหมือนกันโดยวิธีการรักษามีดังนี้
·         ตรวจเช็คความคดของกระดูกสันหลังทั้งหมด
·         ตรวจเช็คระบบประสาททุกส่วนในร่างกาย
·         ใส่เสื้อเกราะเพื่อเป็นการพยุงและช่วยให้กระดูกสันหลังลดการเจริญเติบโต โดยผู้ที่จะใส่เสื้อเกราะนั้นส่วนมากจะเป็นคนที่ความคดประมาณ 30 องศา
·         ถ้ากระดูกสันหลังคดไม่มากแพทย์จะนัดตรวจอาการเป็นประจำ
·         สำหรับคนที่กระดูกสันหลังคดมากกว่า 45 องศาแล้วก็ต้องผ่าตัด
·         การดามกระดูกสันหลัง
           ซึ่งการเลือกวิธีการรักษาโรคกระดูกสันหลังคดนั้นขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ ผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ใครที่กำลังอยู่ในช่วงของการรักษาโรคจะต้องงดการออกกำลังกายไว้ก่อนประมาณ 9 เดือนเพื่อให้กระดูกสันหลังกลับมาเป็นเหมือนเดิม ผู้ป่วยโรคนี้ก็อย่าพึ่งท้อใจไปเพราะว่ามีทางรักษาให้หายได้แต่ต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ป่วยไปพร้อมกับการรักษาของแพทย์จะได้หายจากโรคโดยเร็ว


ขอบคุณข้อมูลจาก www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=981
สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน