ปวดเข่า ปวดเสียวแปล๊บหัวเข่า

โรคเข่าเสื่อมนั้นสามารถวินิจฉัยได้ชัดเจนจากอาการและอาการแสดงดังต่อไปนี้
จากการประมวลอาการของแต่ละเคส
เริ่มต้นจะรู้สึกเมื่อยๆ ที่ก้นทั้งสองข้างเมื่อนั่งนานๆ
และความเมื่อยจะเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในระยะ4-6 เดือน
หลังจากนั้นก็รุนแรงขึ้นจนกลายเป็นอาการปวดก้นทั้งสองข้าง
และความปวดก็ลุกลามมาต้นขาด้านหลัง บางเคสก็ปวดตรงบั้นเอวและกระเบนเหน็บมาก
และจะรู้สึกขัดๆ ในขาหนีบด้านหน้า ท่านที่เป็นมานานจะมีอาการขัดๆ เสียวๆ
ที่เข่าด้านนอกด้วย จากที่เคยนั่งได้เป็นชั่วโมงแล้วจึงรู้สึกปวด
ก็กลายเป็นนั่งเพียง 5 – 10 นาทีก็มีอาการปวดขึ้นมา แม้จะพลิกก้นไปมาก็ไม่สบายขึ้น
หลายเคสมีการทานยา แรกๆ ก็ดีขึ้น แต่หลัง ๆ เคสพูดเหมือนกันว่า
“ตอนนี้ทานยาไปก็ไม่ได้ทำให้อาการดีขึ้นและก็ทำให้มีปัญหามากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน”
มีท่านหนึ่งเป็นผู้บริหารต้องนั่งประชุมทั้งวัน จะลุกเปลี่ยนท่า
จะขยับตัวก็เกรงใจที่ประชุม ยอมทนนั่งปวดจนชาลงขาเลยค่ะ ฟังแล้วน่าเห็นใจมากนะคะ
แต่ละเคสก็ผ่านการรักษามามากค่ะ บางรายไปนวดจนช้ำเป็นจ้ำเขียวๆ เต็มก้น
เขาบอกว่านวดแล้วสบาย แต่หลังจากนวดวันสองวันก็เป็นอีก จึงไปนวดซ้ำๆ บ่อยๆ
เคสพูดแบบขำๆ ให้ฟังว่า จากอาการปวดกลายเป็นอาการบอบช้ำระบมรึเปล่าจึงรู้สึกดีขึ้น
(แต่ก็ยอมเจ็บจนตัวเขียวนะคะ) มีบางเคสไปทำ MRI เพื่อหาความผิดปกติเนื่องจากถูกสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท
แต่ก็ไม่พบว่ามีปัญหาการกดทับเส้นประสาทที่หลังแต่อย่างใด
·
มีอาการปวดเข่า
เมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือมีการเดินลงน้ำหนัก
แต่เมื่อพักจะดีขึ้นและหากเป็นมากจะปวดตลอดเวลา
·
ข้อติดแข็ง
ส่วนมากจะพบในตอนเช้าหลังตื่นนอนใหม่ๆ หรือเมื่ออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ
ต่อเนื่องโดยไม่ได้ขยับ
·
รอบข้อเข่าบวม
อาจพบอาการแดงและร้อนเมื่อลองคลำบริเวณรอบเข่า
·
มีการผิดรูปของข้อเข่า ซึ่งเกิดจากผิวข้อ (Cartilage) บางลง แล้วกระดูกมีการเสียดสีกัน
จนเกิดกระดูกงอก ทำให้เข่าผิดรูปและขยาย จึงพบว่าผู้ที่มีเข่าเสื่อมรุนแรง
รอบข้อเข่าจะใหญ่ขึ้น
·
มีเสียงดังภายในข้อเข่า
ซึ่งอาจเกิดจากการเสียดสีของผิวข้อภายในข้อเข่า
หากมีการ X-Ray จะพบว่าช่องว่างระหว่างกระดูกข้อเข่าจะแคบลง
กระดูกผิวข้อบางลง และอาจพบกระดูกงอกได้ การวินิจฉัยอาจต้องร่วมกับปัจจัยเหล่านี้เช่น
อายุเกิน 50 ปี มีน้ำหนักตัวหรืออ้วนมากกว่าปกติ
ประวัติการทำงานหรืออุบัติเหตุที่อาจทำให้มีความเสื่อมของข้อได้ง่าย ฯลฯ
ท่านผู้อ่านได้ทราบถึงอาการและอาการแสดงของข้อเข่าเสื่อมแล้วนะคะ
เรามาดูกันต่อค่ะว่าหลายๆ ท่านที่ปวดเข่า เสียวเข่า หรือแปล๊บๆ เข่า เมื่อยๆ ล้าๆ
ในข้อเข่าแต่ไม่ใช่เข่าเสื่อมนั้น เกิดจากปัญหาใดกันแน่
จากบทความฉบับที่แล้วเราพูดถึงภาวะกล้ามเนื้อทำงานไม่สมดุลกัน (Muscle Imbalance) ซึ่งได้กล่าวถึงภาวะปวดหลัง
ปวดก้น ที่เกิดจากกลุ่มกล้ามเนื้อก้นอ่อนแรง (Gluteal Muscles) แล้วทำให้กล้ามเนื้อด้านข้างต้นขาเกิดการตึงตัวมากกว่าปกติ
(Iliotibialband) ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมากเพราะส่วนนี้จะเป็นตัวที่ให้ความมั่นคงต่อข้อเข่าด้านนอก
ซึ่ง band นี้จะทอดยาวตั้งแต่ขอบนอกของกระดูกเชิงกรานข้ามข้อสะโพกแผ่ไปเกาะที่ด้านข้างกระดูกสะบ้า
(Patella bone) ข้ามเข่า
ไปเกาะที่ขอบนอกด้านบนกระดูกหน้าแข้ง (Gerdy’s tubercle) แผ่ไปรวมกับเส้นเอ็นของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง
(Biceps femoris tendon) จากจุดเกาะดังกล่าวจึงทำให้เมื่อต้องมีการงอ-เหยียดเข่าซ้ำๆ
บ่อยๆ จะเกิดการเสียดสีที่เยื่อนี้ทำให้เยื่อหนาตัวขึ้น
กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้มีอาการเจ็บแปล๊บที่ด้านนอกของข้อเข่า
ซึ่งกลุ่มอาการนี้จะเรียกว่า “Iliotibial
Band Syndrome” จะพบมากในกลุ่มผู้ออกกำลังกายเช่น วิ่ง ฟุตบอล
บาสเก็ตบอล ฯลฯ
อาการปวดเสียวที่เข่าจากสาเหตุนี้มักพบร่วมกับอาการตึงเจ็บที่ต้นขาด้านนอก ซึ่งอาจปวดตึงร้าวจากด้านข้างของข้อสะโพก
หรือมีจุดกดเจ็บเหนือข้อพับด้านหลัง กลุ่มนี้กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังจะตึงมาก
อาการจะเป็นมากหากต้องเดินนานๆ หรือหลังจากออกกำลังกายดังที่กล่าว
แยกได้ง่ายมากค่ะกับโรคเข่าเสื่อมเพราะกลุ่มนี้มักพบในนักกีฬาวัยกลางคน
ซึ่งอาจยังดูแข็งแรงดีอยู่ แต่ก็มีจุดอ่อนในส่วนที่ละเลย จนทำให้มีอาการเรื้อรัง
มีหลายเคสที่มาสถาบันอริยะ อายุเพียง 30 ต้นๆ มาด้วยอาการปวดเสียวที่เข่าด้านนอก
และเริ่มมีอาการเข่าบิดเข้าด้านใน เป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลมาตั้งแต่อายุสิบกว่าปี
เล่นบาสฯ และวิ่งไม่ได้มาสาม-สี่ปีแล้ว ดูแลกันไม่ถึงเดือนค่ะก็สามารถกลับไปวิ่ง
ไปเล่นบาสฯได้เหมือนเดิม เพราะกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่กล้ามเนื้อแข็งแรงดีอยู่แล้ว
สร้างง่าย เพียงให้เขารู้ว่าสิ่งที่เป็นเกิดจากสาเหตุไหน
มีวิธีการในการดูแลรักษาตัวเองอย่างไร อาการก็พัฒนาได้อย่างรวดเร็วค่ะ
เราพูดถึงอาการปวดเสียวเข่าด้านนอกไปแล้ว
ยังมีอีกกลุ่มค่ะคือกลุ่มที่มีอาการปวดเสียวเข่าด้านใน
ซึ่งอาการที่กล่าวมาบางท่านอาจปวดเสียวทั้งด้านนอกและด้านในเข่า
นั่นก็เพราะกล้ามเนื้อที่ให้ความมั่นคงของข้อเข่าไม่ว่าจะเป็นด้านนอก ด้านใน
ด้านบนหรือด้านล่างทำงานไม่สมดุลนั่นเองค่ะ
ที่พบส่วนใหญ่จะมาจากกล้ามเนื้อด้านข้าง (Iliotibialband) และกลุ่มที่จะกล่าวต่อไปคือ
การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อต้นขาด้านใน (Vastus Medialis Oblique) ซึ่งมัดนี้เป็นมัดที่ให้ความมั่นคงของลูกสะบ้าด้านใน
กลุ่มนี้จะพบมากในวัยกลางคน เนื่องจากกล้ามเนื้อ มัดนี้มีแนวโน้มอ่อนแรงอยู่แล้ว
จากท่าทางการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งในรายละเอียดคงต้องอธิบายกันอีกมากค่ะ
เอาเป็นว่าเราทำความรู้จักกับกล้ามเนื้อมัดนี้ในฉบับหน้าแล้วกันนะคะ
อย่าลืมนะคะ
หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่ร่างกายกำลังส่งเสียงเตือนบางสิ่งอยู่ อย่าละเลยนะคะ
เพราะจากที่เป็นเพียงเล็กน้อยอาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ได้โดยท่านคาดไม่ถึง
โรคเข่าเสื่อมก็เหมือนกันค่ะ หากอาการปวดเสียวเข่าที่ท่านกำลังรู้สึกอยู่
ไม่ได้รับการดูแลหรือออกกำลังกายให้ถูกกับต้นตอของปัญหา
ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เป็นโรคเข่าเสื่อมได้ค่ะ ซึ่งถ้าเป็นแล้วไหนจะต้องทนกับอาการเจ็บปวด
แล้วยังไม่สามารถรักษาให้คืนกลับเหมือนเดิมได้
ตรงกันข้ามหากท่านฟังเสียงของร่างกายแต่ต้น รักษาให้ถูกทางแต่เนิ่น
ก็จะทำให้ท่านสามารถดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุขจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตค่ะ
แล้วมาทำความรู้จักกับร่างกายเราต่อฉบับหน้านะคะ ฉบับนี้สวัสดีค่ะ…
อาการปวดเข่าที่เกิดจากความไม่สมดุลของลูกสะบ้าต้องสืบค้นหาข้อเท็จจริงว่าความไม่สมดุลนั้นเกิดจากโครงสร้างไหน?
จึงจะออกแบบการรักษาและการออกกำลังกายเฉพาะบุคคลได้
เป็นเรื่องที่ไม่สามารถปรับหมุนอะไหล่ให้ได้เหมือนเครื่องจักร การออกกำลังกายเข่า
การสร้างกล้ามเนื้อขาในความเข้าใจที่ผิด
ทำให้เกิดอาการปวดและบาดเจ็บเรื้อรังพบกันอีกแล้วนะคะ
เมื่อฉบับที่แล้วได้พูดถึงอาการปวดเข่าจากสาเหตุของกล้ามเนื้อด้านนอกต้นขาที่มีความตึงตัวมากเกินไป
(Iliotibial band ) ขอกล่าวทวนเล็กน้อยนะคะว่า
เข่าของคนเราประกอบด้วยข้อต่อ 2 ข้อ ซึ่งประกอบด้วยข้อต่อจากขาท่อนบน (Femur
bone) เชื่อมกับกระดูกขาท่อนล่าง (Tibia bone)
และอีกข้อหนึ่งที่มักจะเป็นปัญหาทำให้ปวดเข่าก็คือข้อต่อที่เป็นส่วนของกระดูกต้นขา
(Femur bone) กับกระดูกสะบ้า (Patellar bone) ตรงนี้ล่ะค่ะที่มักจะเป็นปัญหาทำให้มีอาการปวดเสียวในข้อเข่า
กระดูกสะบ้าเป็นกระดูกที่ลอยตัวอยู่บนด้านหน้าข้อเข่า
ซึ่งจะอยู่ตรงกลางร่องของกระดูกต้นขาพอดี
กระดูกชิ้นนี้ทรงอยู่ได้ด้วยมีเนื้อเยื่อต่างๆ พยุงไว้รอบด้าน
เสมือนมีเชือกขึงเอาไว้ด้วยความตึงเท่าๆ กันทั้งด้านบน ด้านล่าง ด้านในและด้านนอก
ซึ่งฉบับก่อนเราได้ทราบแล้วว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เข่ามีปัญหาคือกล้ามเนื้อ
ด้านนอกต้นขาตึงมากเกินไป ฉบับนี้เรามาทำความรู้จักกล้ามเนื้อด้านใน
ด้านบนและด้านล่าง กันต่อเลยนะคะ
กล้ามเนื้อที่ค่อนข้างเป็นปัญหาและพบบ่อยคือมัดที่พยุงไว้ด้านใน
มีชื่อเรียกว่า vastus medialis oblique muscle เป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่อยู่ด้านในต้นขา
กล้ามเนื้อมัดนี้จะเป็นเหมือนเชือกที่ดึงอยู่ด้านในของลูกสะบ้าเพื่อความมั่นคงแข็งแรงของลูกสะบ้าด้านใน
กล้ามเนื้อมัดนี้จะวางทอดยาวตลอดแนวต้นขาด้านในและแผ่มาเกาะที่ขอบในของสะบ้าจากด้านบนจนถึงด้านล่าง
เยื่อเอ็นของกล้ามเนื้อมัดนี้จะแผ่ผสานไปกับเอ็นที่ขึงลูกสะบ้าด้านบน
ซึ่งเป็นเอ็นที่ทอดมาจากกล้ามเนื้อที่ให้ความมั่นคงของสะบ้าด้านบน
คือกล้ามเนื้อที่ชื่อ Quadriceps muscle ส่วนด้านล่างจะเป็นเอ็นที่ค่อนข้างหนาและแข็งแรงให้ความมั่นคงกับสะบ้าด้านล่าง
มีชื่อว่า Patellar tendon ซึ่งจะแผ่ผสานรวมเช่นเดียวกัน
เมื่อเทียบความมั่นคงแข็งแรงรอบด้านแล้ว ด้านบนและด้านล่างจะค่อนข้างแข็งแรง
มักไม่เกิดปัญหาการบาดเจ็บเท่าไหร่
เห็นไหมคะว่า
เยื่อเอ็นที่แผ่มาจากด้านในมีผลต่อความมั่นคงของกระดูกสะบ้ามากเพียงใด
เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าถ้ากล้ามเนื้อมัดนี้ไม่มีความแข็งแรงพอก็จะส่งผลให้แนวการวางตัวของกระดูกสะบ้าบิดออกจากแนวสมดุลค่ะ
จากภาพที่แสดงจะเห็นลูกสะบ้าขณะมีการเคลื่อนไหวเข่า
ก็จะเคลื่อนขึ้น-ลงอยู่ในร่องของกระดูกต้นขา หากกระดูกชิ้นนี้มีการบิดซ้าย-ขวาหรือไม่สมดุล
จะทำให้เวลาเคลื่อนไหวโดยเฉพาะการงอ-เหยียดเข่าจะทำให้เกิดอาการขึ้นมาได้
อาการปวดจะเสียวๆ เจ็บด้านในเข่าหรืออาจเจ็บด้านหน้าหัวเข่า
ทั้งนี้เกิดจากการเสียดสีของผิวข้อและ เกิดการอักเสบขึ้นมา
แต่เนื่องจากข้อเข่าเป็นข้อที่ต้องถูกใช้งานตลอดเวลาที่เราขยับขา
เมื่อเดิน-ยืนก็ยิ่งเกิดแรงอัดไปที่ข้อมากขึ้น
ดังนั้นเมื่อมีการอักเสบหรือบาดเจ็บจึงทำให้เป็นเรื้อรังได้ง่ายหากรักษาไม่ถูกวิธีหรือไม่ได้รักษาตรงจุดที่เป็น
ท่านที่มีปัญหาจากกรณีนี้มักจะบ่นว่าปวดเสียวๆ ในเข่าด้านหน้า
บางรายระบุได้ชัดเจนว่าปวดเสียวใต้ลูกสะบ้า
กลุ่มที่เห็นได้ชัดเจนจากอาการปวดเข่าด้วยกรณีนี้
มักเป็นกลุ่มวัยรุ่นหรือกลุ่มที่อายุน้อยอยู่ นักกีฬาบางชนิดเช่น บาสเกตบอล ฟุตบอล
วอลเล่ย์บอล เทนนิส วิ่ง ปั่นจักรยาน ฯลฯ
อาการที่พบบ่อยๆ ได้แก่
•
ปวดเสียวเวลาวิ่งหรือกระโดด
•
นั่งยองๆ หรือนั่งในท่าที่เข่างอมากๆ เช่น นั่งขัดสมาธิ หรือนั่งพับเพียบจะเสียวๆ
ที่หน้าเข่าหรือด้านในเข่า
•
เวลาขึ้น-ลงบันได โดยเฉพาะท่าที่เดินลงจะเป็นท่าที่เจ็บมากกว่า
•
การเอี้ยวตัวที่ต้องบิดและหมุนเข่าไปด้านที่มีปัญหา
•
ท่าที่ต้องลงน้ำหนัก หรือยืนด้วยขาข้างเดียว ฯลฯ
เป็นอย่างไรบ้างคะ? ท่านเป็นอีกคนที่มีเสียงเตือนจากร่างกายอยู่หรือเปล่า?
หลายเคสที่เล่าให้ผู้เขียนฟัง
เคยคิดว่าการออกกำลังกายเข่าหรือการสร้างกล้ามเนื้อขาคือการวิ่ง การกระโดด
การปั่นจักรยาน แต่ถ้าอาการปวดเข่ามาจากกรณีนี้ การวิ่ง การกระโดดหรือการปั่นจักรยานอาจทำให้เกิดอาการปวดและบาดเจ็บเรื้อรังได้
เพราะจะทำให้เกิดการเสียดสีทุกครั้งที่เล่นกีฬาดังกล่าว
แล้วการบริหารให้ลูกสะบ้าสมดุลนั้นต้องทำอย่างไร? ถ้าร่างกายของคนเราเหมือนเครื่องยนต์หรือเครื่องจักรกล
ก็คงสามารถบอกได้ว่าต้องหมุนอะไหล่ส่วนไหนให้แน่นหรือให้ปรับตรงนั้นตรงนี้
แต่เพราะร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
บางครั้งอาการปวดที่จุดเดียวกันแต่ต้นตอของปัญหามาจากคนละทาง
การออกแบบการรักษาหรือการออกแบบท่าออกกำลังกายก็แตกต่างกันออกไป เช่นเดียวกัน
หากการปวดเข่าที่เป็นอยู่เกิดจากความไม่สมดุลของลูกสะบ้า และความไม่สมดุลนั้นเกิดจากโครงสร้างไหน
สิ่งที่สถาบันอริยะให้ความสำคัญมากที่สุดคือการสืบค้นและวิเคราะห์หาต้นตอที่แท้จริงของความไม่สมดุลที่เกิดขึ้น
เมื่อพบแล้วจึงสามารถออกแบบการรักษาและการออกกำลังกายให้ได้
ซึ่งถือเป็นการดูแลเฉพาะบุคคลค่ะ
เราได้รู้จักข้อเข่าและเข้าใจอาการปวดของเข่าโดยค่อนข้างละเอียด
คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองแล้วล่ะค่ะหากร่างกายกำลังส่งเสียงเตือนสิ่งใดอยู่
ท่านก็น่าจะสามารถแยกแยะและดูแลได้ถูกต้องถูกทางมากขึ้นนะคะ
แต่หากลองพยายามจัดการหรือรักษาด้วยตัวเองสักพักแล้วอาการไม่หายขาด ไม่ดีขึ้น
ยังรบกวนการใช้ชีวิตของท่านอยู่ ก็แวะมาสอบถามที่สถาบันอริยะได้นะคะ
พบกันใหม่ฉบับหน้าค่ะ