disable right click

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2562

เข่าเสื่อม!!! คู่มือดูแล โรคข้อเข่าเสื่อม




เพื่อคนทุกวัย  (1)
โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากกระดูกอ่อนสึกหรอและบางลง  โดยปกติข้อเข่าของคนเรามีกระดูกอ่อนหุ้มอยู่  เพื่อทำหน้าที่รับแรงกระแทกและทำให้ข้อเคลื่อนไหวสะดวกขึ้น  ดังนั้นหากกระดูกอ่อนสึกหรอหรือบางลง  จะทำให้กระดูกเสียดสีกันเวลาเคลื่อนไหวจึงมีอาการปวด
ถึงอย่างนั้น  ร่างกายก็พยายามซ่อมแซมตัวเองโดยการสร้างกระดูกขึ้นมาใหม่  จึงมีเศษกระดูกและหินปูนงอกเข้าไปในข้อ  ทำให้เกิดอาการปวดข้อ ข้อขัด และเคลื่อนไหวลำบากตามมา



สาเหตุโรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร
ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้ชัดเจน  สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากหลาย ๆ ปัจจัยร่วมกัน การศึกษามากมายพบปัจจัยเสี่ยงก่อโรค  ดังเช่น


1.   อายุ   โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคของผู้สูงอายุ  โดยทั่วไปมักพบในผู้มีอายุ  40  ปีขึ้นไป  แต่อาจพบในผู้มีอายุน้อยที่เป็นนักกีฬา  หรือผู้ประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บที่เอ็นรอบข้อก็อาจทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้

2.    เพศ   พบโรคนี้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย  เพราะกล้ามเนื้อและโครงสร้างของผู้หญิงไม่แข็งแรงเท่าผู้ชายด้วย

3.    โรคอ้วน  น้ำหนักที่มากขึ้นจะไปลงที่ข้อเข่า  ดังนั้น  ยิ่งน้ำหนักมากเท่าไร ยิ่งทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นเท่านั้น  และอาการจะรุนแรงมากขึ้น  ในทางตรงกันข้าม  การลดน้ำหนักจึงมีส่วนช่วยรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมได้ด้วย

4.    ประวัติสุขภาพของครอบครัว  ถ้าพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม  พบว่าเราจะมีความเสี่ยงเป็นโรคนี้เพิ่มขึ้น  ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม  คือการมีโครงสร้างร่ายกายที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคคล้ายกัน  นอกจากนี้  การอยู่ในครอบครัวเดียวกันอาจต้องทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคเหมือนกันก็ได้

5.     ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเข่า  พบว่านักกีฬา  เช่น  นักฟุตบอล  นักบาสเกตบอล  หรือผู้ประสบอุบัติเหตุจนเอ็นฉีกขาด  ต้องเข้ารับการผ่าตัดประสานเส้นเอ็น  จะทำให้โครงสร้างในข้อเข่าเปลี่ยนแปลงได้  จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ในอนาคต

6.     เป็นโรคข้ออื่น ๆ ร่วมด้วย  เช่น  โรคข้ออักเสบรูมาทอยด์  โรคเกาต์  โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน  โรคเหล่านี้ทำให้เกิดการทำลายของข้อและกระดูกอ่อนซึ่งเป็นสาเหตุของโรคข้อเข่าเสื่อม
เช็กอาการโรคข้อเข่าเสื่อม
โรคนี้มีอาการหลากหลายขึ้นอยู่กับระยะโรคและสุขภาพของแต่ละบุคคล
ในระยะแรกจะปรากฏอาการไม่ชัดเจน  อาจแค่รู้สึกว่าเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว  เช่น  เดินขัด ๆ นั่งไหว้พระหรือนั่งพับเพียบแล้วลุกขึ้นไม่สะดวก  หากทิ้งไว้ไม่เข้ารับการรักษาจะทำให้อาการปรากฏชัดเจนขึ้น  ดังนี้
1.     มีอาการปวด  โดยเฉพาะเมื่อลงน้ำหนักที่ข้อเข่า  เช่น  เวลายืนหรือเดินนาน ๆ  ยิ่งใช้ข้อมากเท่าไรก็ยิ่งมีอาการมากเท่านั้น แต่เมื่อพักการใช้ข้อเข่า  อาการจะบรรเทาลง  คนไข้จึงบอกว่าบางวันปวดน้อย  บางวันปวดมาก  ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้งานและท่าทางในชีวิตประจำวันนั่นเอง
นอกจากนี้ในตอนกลางคืนอาการปวดจะน้อยลง  แต่จะมีอาการตึงข้อเข่าในช่วงตื่นนอนตอนเช้า  หากมีอาการปวดมากในตอนกลางคืนต้องระวังเป็นโรคอื่น ๆ  เช่น  โรคเกาต์  โรคมะเร็งกระดูก
โรคข้อเข่าเสื่อมมีอาการปวดลึก ๆ ในข้อเข่า  หากปวดเป็นจุด ๆ อาจเกิดจากการอักเสบเฉพาะที่   เช่น  บริเวณเอ็นหัวเข่า  หรือเยื่อหุ้มข้อ
2.     ข้อเข่าผิดรูป  เช่น  ขาโก่งหรือขาเอียงเข้าหากัน  ทำให้พิสัยการเคลื่อนที่ของข้อลดลง  เช่นไม่สามารถเหยียดหรืองอเข่าได้สุด  มักพบอาการนี้ในระยะท้าย ๆ เมื่อมีการสูญเสียกระดูกอ่อนไปมากแล้ว
3.     ข้อตึง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากอยู่นิ่ง ๆ เป็นเวลานาน  เช่น  นั่งนาน ๆ หรือหลังตื่นนอน
4.     ข้อเข่าบวม  อาการบวมแบ่งได้  2  ลักษณะ  คือ บวมเนื้อนิ่ม  เพราะมีน้ำจากการอักเสบซึมออกมา  และบวมเนื้อแข็งเกิดจากมีกระดูกงอกอยู่ภายใน
5.     มีอาการเข่าอ่อนหรือล้มไปเฉย ๆ   มักเกิดจากโครงสร้างข้อหลวมและกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อไม่แข็งแรง
การวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อม
แพทย์ต้องซักประวัติและตรวจร่างกายคนไข้อย่างละเอียดโดยเฉพาะตำแหน่งที่เจ็บ  มีการตรวจโดยให้คนไข้หมุนข้อเข่าหลาย ๆ ทิศทาง  เพื่อฟังว่ามีเสียงกร๊อบแกร๊บในข้อหรือไม่ ตรวจหาการอักเสบ  ปริมาณน้ำภายในข้อ  และมวลกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อเข่า
นอกจากนี้อาจตรวจโดยใช้การถ่ายภาพทางรังสีเพิ่มเติมเพื่อประเมินว่าช่องว่างภายในข้อแคบลงหรือไม่  หรือมีกระดูกและหินปูนมาเกาะที่ข้อหรือไม่  อย่างไรก็ตาม  ภาพถ่ายทางรังสีไม่สามารถบอกความรุนแรงของโรคได้  เช่น  คนไข้ที่มีอาการปวดไม่รุนแรง  แต่ภาพถ่ายรังสีอาจแสดงว่าข้อเข่าผิดปกติมาก  หรือบางคนที่มีอาการปวดรุนแรงมาก  แต่ภาพถ่ายรังสีกลับแสดงว่าข้อเข่าเป็นปกติดี
ที่เป็นอย่างนี้เพราะอาการปวดอาจเกิดจากโครงสร้างที่อยู่รอบ ๆ ข้อ  เช่น  กล้ามเนื้อ  เส้นเอ็น  เกิดการอักเสบ  เกร็ง  หรือยึดติด  ซึ่งภาพทางรังสีไม่สามารถแสดงให้เห็นได้
หากอาการปวดรุนแรงหรือมีการอักเสบมาก  จำเป็นต้องตรวจโดยถ่ายภาพด้วยรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  ซึ่งแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม
การวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อมนั้นไม่สามารถทำได้โดยการเจาะเลือด  แต่แพทย์อาจเจาะเลือดเพื่อดูการทำงานของตับและไตเพื่อเป็นข้อมูลในการรักษาผู้ป่วยที่เหมาะสมต่อไป


อ้างอิงจาก   ชีวจิต   เล่มที่  384    1 ตุลาคม 2557