เพื่อคนทุกวัย (1)
โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากกระดูกอ่อนสึกหรอและบางลง
โดยปกติข้อเข่าของคนเรามีกระดูกอ่อนหุ้มอยู่
เพื่อทำหน้าที่รับแรงกระแทกและทำให้ข้อเคลื่อนไหวสะดวกขึ้น ดังนั้นหากกระดูกอ่อนสึกหรอหรือบางลง จะทำให้กระดูกเสียดสีกันเวลาเคลื่อนไหวจึงมีอาการปวด
ถึงอย่างนั้น ร่างกายก็พยายามซ่อมแซมตัวเองโดยการสร้างกระดูกขึ้นมาใหม่ จึงมีเศษกระดูกและหินปูนงอกเข้าไปในข้อ ทำให้เกิดอาการปวดข้อ ข้อขัด
และเคลื่อนไหวลำบากตามมา
สาเหตุโรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร
ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้ชัดเจน สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากหลาย ๆ ปัจจัยร่วมกัน
การศึกษามากมายพบปัจจัยเสี่ยงก่อโรค
ดังเช่น
1. อายุ
โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคของผู้สูงอายุ
โดยทั่วไปมักพบในผู้มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
แต่อาจพบในผู้มีอายุน้อยที่เป็นนักกีฬา
หรือผู้ประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บที่เอ็นรอบข้อก็อาจทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้
2. เพศ
พบโรคนี้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
เพราะกล้ามเนื้อและโครงสร้างของผู้หญิงไม่แข็งแรงเท่าผู้ชายด้วย
3. โรคอ้วน
น้ำหนักที่มากขึ้นจะไปลงที่ข้อเข่า
ดังนั้น ยิ่งน้ำหนักมากเท่าไร
ยิ่งทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นเท่านั้น
และอาการจะรุนแรงมากขึ้น
ในทางตรงกันข้าม
การลดน้ำหนักจึงมีส่วนช่วยรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมได้ด้วย
4. ประวัติสุขภาพของครอบครัว ถ้าพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม พบว่าเราจะมีความเสี่ยงเป็นโรคนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม คือการมีโครงสร้างร่ายกายที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคคล้ายกัน นอกจากนี้
การอยู่ในครอบครัวเดียวกันอาจต้องทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคเหมือนกันก็ได้
5. ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเข่า พบว่านักกีฬา
เช่น นักฟุตบอล นักบาสเกตบอล
หรือผู้ประสบอุบัติเหตุจนเอ็นฉีกขาด
ต้องเข้ารับการผ่าตัดประสานเส้นเอ็น
จะทำให้โครงสร้างในข้อเข่าเปลี่ยนแปลงได้
จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ในอนาคต
6. เป็นโรคข้ออื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น
โรคข้ออักเสบรูมาทอยด์
โรคเกาต์ โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน โรคเหล่านี้ทำให้เกิดการทำลายของข้อและกระดูกอ่อนซึ่งเป็นสาเหตุของโรคข้อเข่าเสื่อม
เช็กอาการโรคข้อเข่าเสื่อม
โรคนี้มีอาการหลากหลายขึ้นอยู่กับระยะโรคและสุขภาพของแต่ละบุคคล
ในระยะแรกจะปรากฏอาการไม่ชัดเจน
อาจแค่รู้สึกว่าเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว
เช่น เดินขัด ๆ นั่งไหว้พระหรือนั่งพับเพียบแล้วลุกขึ้นไม่สะดวก
หากทิ้งไว้ไม่เข้ารับการรักษาจะทำให้อาการปรากฏชัดเจนขึ้น ดังนี้
1. มีอาการปวด
โดยเฉพาะเมื่อลงน้ำหนักที่ข้อเข่า
เช่น เวลายืนหรือเดินนาน ๆ ยิ่งใช้ข้อมากเท่าไรก็ยิ่งมีอาการมากเท่านั้น
แต่เมื่อพักการใช้ข้อเข่า
อาการจะบรรเทาลง คนไข้จึงบอกว่าบางวันปวดน้อย บางวันปวดมาก
ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้งานและท่าทางในชีวิตประจำวันนั่นเอง
นอกจากนี้ในตอนกลางคืนอาการปวดจะน้อยลง
แต่จะมีอาการตึงข้อเข่าในช่วงตื่นนอนตอนเช้า
หากมีอาการปวดมากในตอนกลางคืนต้องระวังเป็นโรคอื่น ๆ เช่น
โรคเกาต์ โรคมะเร็งกระดูก
โรคข้อเข่าเสื่อมมีอาการปวดลึก ๆ ในข้อเข่า หากปวดเป็นจุด ๆ อาจเกิดจากการอักเสบเฉพาะที่ เช่น
บริเวณเอ็นหัวเข่า
หรือเยื่อหุ้มข้อ
2. ข้อเข่าผิดรูป เช่น
ขาโก่งหรือขาเอียงเข้าหากัน
ทำให้พิสัยการเคลื่อนที่ของข้อลดลง
เช่นไม่สามารถเหยียดหรืองอเข่าได้สุด
มักพบอาการนี้ในระยะท้าย ๆ เมื่อมีการสูญเสียกระดูกอ่อนไปมากแล้ว
3. ข้อตึง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากอยู่นิ่ง ๆ เป็นเวลานาน เช่น
นั่งนาน ๆ หรือหลังตื่นนอน
4. ข้อเข่าบวม
อาการบวมแบ่งได้ 2 ลักษณะ
คือ บวมเนื้อนิ่ม
เพราะมีน้ำจากการอักเสบซึมออกมา
และบวมเนื้อแข็งเกิดจากมีกระดูกงอกอยู่ภายใน
5. มีอาการเข่าอ่อนหรือล้มไปเฉย ๆ มักเกิดจากโครงสร้างข้อหลวมและกล้ามเนื้อรอบ ๆ
ข้อไม่แข็งแรง
การวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อม
แพทย์ต้องซักประวัติและตรวจร่างกายคนไข้อย่างละเอียดโดยเฉพาะตำแหน่งที่เจ็บ มีการตรวจโดยให้คนไข้หมุนข้อเข่าหลาย ๆ
ทิศทาง
เพื่อฟังว่ามีเสียงกร๊อบแกร๊บในข้อหรือไม่ ตรวจหาการอักเสบ ปริมาณน้ำภายในข้อ และมวลกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อเข่า
นอกจากนี้อาจตรวจโดยใช้การถ่ายภาพทางรังสีเพิ่มเติมเพื่อประเมินว่าช่องว่างภายในข้อแคบลงหรือไม่ หรือมีกระดูกและหินปูนมาเกาะที่ข้อหรือไม่ อย่างไรก็ตาม
ภาพถ่ายทางรังสีไม่สามารถบอกความรุนแรงของโรคได้ เช่น คนไข้ที่มีอาการปวดไม่รุนแรง
แต่ภาพถ่ายรังสีอาจแสดงว่าข้อเข่าผิดปกติมาก หรือบางคนที่มีอาการปวดรุนแรงมาก แต่ภาพถ่ายรังสีกลับแสดงว่าข้อเข่าเป็นปกติดี
ที่เป็นอย่างนี้เพราะอาการปวดอาจเกิดจากโครงสร้างที่อยู่รอบ ๆ
ข้อ เช่น
กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เกิดการอักเสบ
เกร็ง หรือยึดติด ซึ่งภาพทางรังสีไม่สามารถแสดงให้เห็นได้
หากอาการปวดรุนแรงหรือมีการอักเสบมาก
จำเป็นต้องตรวจโดยถ่ายภาพด้วยรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม
การวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อมนั้นไม่สามารถทำได้โดยการเจาะเลือด แต่แพทย์อาจเจาะเลือดเพื่อดูการทำงานของตับและไตเพื่อเป็นข้อมูลในการรักษาผู้ป่วยที่เหมาะสมต่อไป
อ้างอิงจาก ชีวจิต เล่มที่
384 1 ตุลาคม 2557