disable right click

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2562

ปวดเข่า !!!

ปวดเข่า ปวดเสียวแปล๊บหัวเข่า


สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน พบกันเช่นเคยกับการทำความรู้จักร่างกายตนเอง ท้าวความจากฉบับที่แล้วมีหลายท่านที่มีความสงสัยจากการอ่านบทความได้โทรมาสอบถามเพิ่มเติมมาก ซึ่งฉบับก่อนนั้นผู้เขียนได้กล่าวถึงอาการปวดหลัง ปวดก้น ลุกลามจนทำให้เกิดอาการที่เข่า แต่ไม่ได้เจาะลึกถึงรายละเอียดของอาการปวดเข่า จึงทำให้หลายท่านเกิดความสงสัยว่า อาการปวดเข่าที่เป็นนั้นใช่สาเหตุจากกล้ามเนื้อก้นอ่อนแรง กล้ามเนื้อไม่สมดุล หรือเป็นเข่าเสื่อมกันแน่ อันดับแรกเรามาทำความรู้จักกับอาการปวดเข่าจากกล้ามเนื้อไม่สมดุล และอาการเข่าเสื่อมว่าแตกต่างกันอย่างไรก่อนนะคะ เพราะอาการปวดเข่าไม่จำเป็นต้องเป็นเข่าเสื่อมเสมอไปค่ะ แต่ถ้าดูแลไม่ถูกต้องเรื้อรัง จากอาการปวดเข่าธรรมดาอาจเลื่อนขั้นไปเป็น “เข่าเสื่อม”
โรคเข่าเสื่อมนั้นสามารถวินิจฉัยได้ชัดเจนจากอาการและอาการแสดงดังต่อไปนี้

จากการประมวลอาการของแต่ละเคส เริ่มต้นจะรู้สึกเมื่อยๆ ที่ก้นทั้งสองข้างเมื่อนั่งนานๆ และความเมื่อยจะเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในระยะ4-6 เดือน หลังจากนั้นก็รุนแรงขึ้นจนกลายเป็นอาการปวดก้นทั้งสองข้าง และความปวดก็ลุกลามมาต้นขาด้านหลัง บางเคสก็ปวดตรงบั้นเอวและกระเบนเหน็บมาก และจะรู้สึกขัดๆ ในขาหนีบด้านหน้า ท่านที่เป็นมานานจะมีอาการขัดๆ เสียวๆ ที่เข่าด้านนอกด้วย จากที่เคยนั่งได้เป็นชั่วโมงแล้วจึงรู้สึกปวด ก็กลายเป็นนั่งเพียง 5 – 10 นาทีก็มีอาการปวดขึ้นมา แม้จะพลิกก้นไปมาก็ไม่สบายขึ้น หลายเคสมีการทานยา แรกๆ ก็ดีขึ้น แต่หลัง ๆ เคสพูดเหมือนกันว่า “ตอนนี้ทานยาไปก็ไม่ได้ทำให้อาการดีขึ้นและก็ทำให้มีปัญหามากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน” มีท่านหนึ่งเป็นผู้บริหารต้องนั่งประชุมทั้งวัน จะลุกเปลี่ยนท่า จะขยับตัวก็เกรงใจที่ประชุม ยอมทนนั่งปวดจนชาลงขาเลยค่ะ ฟังแล้วน่าเห็นใจมากนะคะ แต่ละเคสก็ผ่านการรักษามามากค่ะ บางรายไปนวดจนช้ำเป็นจ้ำเขียวๆ เต็มก้น เขาบอกว่านวดแล้วสบาย แต่หลังจากนวดวันสองวันก็เป็นอีก จึงไปนวดซ้ำๆ บ่อยๆ เคสพูดแบบขำๆ ให้ฟังว่า จากอาการปวดกลายเป็นอาการบอบช้ำระบมรึเปล่าจึงรู้สึกดีขึ้น (แต่ก็ยอมเจ็บจนตัวเขียวนะคะ) มีบางเคสไปทำ MRI เพื่อหาความผิดปกติเนื่องจากถูกสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท แต่ก็ไม่พบว่ามีปัญหาการกดทับเส้นประสาทที่หลังแต่อย่างใด
·         มีอาการปวดเข่า เมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือมีการเดินลงน้ำหนัก แต่เมื่อพักจะดีขึ้นและหากเป็นมากจะปวดตลอดเวลา
·         ข้อติดแข็ง ส่วนมากจะพบในตอนเช้าหลังตื่นนอนใหม่ๆ หรือเมื่ออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ ต่อเนื่องโดยไม่ได้ขยับ
·         รอบข้อเข่าบวม อาจพบอาการแดงและร้อนเมื่อลองคลำบริเวณรอบเข่า
·         มีการผิดรูปของข้อเข่า ซึ่งเกิดจากผิวข้อ (Cartilage) บางลง แล้วกระดูกมีการเสียดสีกัน จนเกิดกระดูกงอก ทำให้เข่าผิดรูปและขยาย จึงพบว่าผู้ที่มีเข่าเสื่อมรุนแรง รอบข้อเข่าจะใหญ่ขึ้น
·         มีเสียงดังภายในข้อเข่า ซึ่งอาจเกิดจากการเสียดสีของผิวข้อภายในข้อเข่า


หากมีการ X-Ray จะพบว่าช่องว่างระหว่างกระดูกข้อเข่าจะแคบลง กระดูกผิวข้อบางลง และอาจพบกระดูกงอกได้ การวินิจฉัยอาจต้องร่วมกับปัจจัยเหล่านี้เช่น อายุเกิน 50 ปี มีน้ำหนักตัวหรืออ้วนมากกว่าปกติ ประวัติการทำงานหรืออุบัติเหตุที่อาจทำให้มีความเสื่อมของข้อได้ง่าย ฯลฯ
ท่านผู้อ่านได้ทราบถึงอาการและอาการแสดงของข้อเข่าเสื่อมแล้วนะคะ เรามาดูกันต่อค่ะว่าหลายๆ ท่านที่ปวดเข่า เสียวเข่า หรือแปล๊บๆ เข่า เมื่อยๆ ล้าๆ ในข้อเข่าแต่ไม่ใช่เข่าเสื่อมนั้น เกิดจากปัญหาใดกันแน่ จากบทความฉบับที่แล้วเราพูดถึงภาวะกล้ามเนื้อทำงานไม่สมดุลกัน (Muscle Imbalance) ซึ่งได้กล่าวถึงภาวะปวดหลัง ปวดก้น ที่เกิดจากกลุ่มกล้ามเนื้อก้นอ่อนแรง (Gluteal Muscles) แล้วทำให้กล้ามเนื้อด้านข้างต้นขาเกิดการตึงตัวมากกว่าปกติ (Iliotibialband) ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมากเพราะส่วนนี้จะเป็นตัวที่ให้ความมั่นคงต่อข้อเข่าด้านนอก ซึ่ง band นี้จะทอดยาวตั้งแต่ขอบนอกของกระดูกเชิงกรานข้ามข้อสะโพกแผ่ไปเกาะที่ด้านข้างกระดูกสะบ้า (Patella bone) ข้ามเข่า ไปเกาะที่ขอบนอกด้านบนกระดูกหน้าแข้ง (Gerdy’s tubercle) แผ่ไปรวมกับเส้นเอ็นของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Biceps femoris tendon) จากจุดเกาะดังกล่าวจึงทำให้เมื่อต้องมีการงอ-เหยียดเข่าซ้ำๆ บ่อยๆ จะเกิดการเสียดสีที่เยื่อนี้ทำให้เยื่อหนาตัวขึ้น กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้มีอาการเจ็บแปล๊บที่ด้านนอกของข้อเข่า ซึ่งกลุ่มอาการนี้จะเรียกว่า “Iliotibial Band Syndrome” จะพบมากในกลุ่มผู้ออกกำลังกายเช่น วิ่ง ฟุตบอล บาสเก็ตบอล ฯลฯ อาการปวดเสียวที่เข่าจากสาเหตุนี้มักพบร่วมกับอาการตึงเจ็บที่ต้นขาด้านนอก ซึ่งอาจปวดตึงร้าวจากด้านข้างของข้อสะโพก หรือมีจุดกดเจ็บเหนือข้อพับด้านหลัง กลุ่มนี้กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังจะตึงมาก อาการจะเป็นมากหากต้องเดินนานๆ หรือหลังจากออกกำลังกายดังที่กล่าว แยกได้ง่ายมากค่ะกับโรคเข่าเสื่อมเพราะกลุ่มนี้มักพบในนักกีฬาวัยกลางคน ซึ่งอาจยังดูแข็งแรงดีอยู่ แต่ก็มีจุดอ่อนในส่วนที่ละเลย จนทำให้มีอาการเรื้อรัง มีหลายเคสที่มาสถาบันอริยะ อายุเพียง 30 ต้นๆ มาด้วยอาการปวดเสียวที่เข่าด้านนอก และเริ่มมีอาการเข่าบิดเข้าด้านใน เป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลมาตั้งแต่อายุสิบกว่าปี เล่นบาสฯ และวิ่งไม่ได้มาสาม-สี่ปีแล้ว ดูแลกันไม่ถึงเดือนค่ะก็สามารถกลับไปวิ่ง ไปเล่นบาสฯได้เหมือนเดิม เพราะกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่กล้ามเนื้อแข็งแรงดีอยู่แล้ว สร้างง่าย เพียงให้เขารู้ว่าสิ่งที่เป็นเกิดจากสาเหตุไหน มีวิธีการในการดูแลรักษาตัวเองอย่างไร อาการก็พัฒนาได้อย่างรวดเร็วค่ะ
เราพูดถึงอาการปวดเสียวเข่าด้านนอกไปแล้ว ยังมีอีกกลุ่มค่ะคือกลุ่มที่มีอาการปวดเสียวเข่าด้านใน ซึ่งอาการที่กล่าวมาบางท่านอาจปวดเสียวทั้งด้านนอกและด้านในเข่า นั่นก็เพราะกล้ามเนื้อที่ให้ความมั่นคงของข้อเข่าไม่ว่าจะเป็นด้านนอก ด้านใน ด้านบนหรือด้านล่างทำงานไม่สมดุลนั่นเองค่ะ ที่พบส่วนใหญ่จะมาจากกล้ามเนื้อด้านข้าง (Iliotibialband) และกลุ่มที่จะกล่าวต่อไปคือ การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อต้นขาด้านใน (Vastus Medialis Oblique) ซึ่งมัดนี้เป็นมัดที่ให้ความมั่นคงของลูกสะบ้าด้านใน กลุ่มนี้จะพบมากในวัยกลางคน เนื่องจากกล้ามเนื้อ มัดนี้มีแนวโน้มอ่อนแรงอยู่แล้ว จากท่าทางการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งในรายละเอียดคงต้องอธิบายกันอีกมากค่ะ เอาเป็นว่าเราทำความรู้จักกับกล้ามเนื้อมัดนี้ในฉบับหน้าแล้วกันนะคะ
อย่าลืมนะคะ หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่ร่างกายกำลังส่งเสียงเตือนบางสิ่งอยู่ อย่าละเลยนะคะ เพราะจากที่เป็นเพียงเล็กน้อยอาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ได้โดยท่านคาดไม่ถึง โรคเข่าเสื่อมก็เหมือนกันค่ะ หากอาการปวดเสียวเข่าที่ท่านกำลังรู้สึกอยู่ ไม่ได้รับการดูแลหรือออกกำลังกายให้ถูกกับต้นตอของปัญหา ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เป็นโรคเข่าเสื่อมได้ค่ะ ซึ่งถ้าเป็นแล้วไหนจะต้องทนกับอาการเจ็บปวด แล้วยังไม่สามารถรักษาให้คืนกลับเหมือนเดิมได้ ตรงกันข้ามหากท่านฟังเสียงของร่างกายแต่ต้น รักษาให้ถูกทางแต่เนิ่น ก็จะทำให้ท่านสามารถดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุขจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตค่ะ แล้วมาทำความรู้จักกับร่างกายเราต่อฉบับหน้านะคะ ฉบับนี้สวัสดีค่ะ…





อาการปวดเข่าที่เกิดจากความไม่สมดุลของลูกสะบ้าต้องสืบค้นหาข้อเท็จจริงว่าความไม่สมดุลนั้นเกิดจากโครงสร้างไหน? จึงจะออกแบบการรักษาและการออกกำลังกายเฉพาะบุคคลได้ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถปรับหมุนอะไหล่ให้ได้เหมือนเครื่องจักร การออกกำลังกายเข่า การสร้างกล้ามเนื้อขาในความเข้าใจที่ผิด ทำให้เกิดอาการปวดและบาดเจ็บเรื้อรังพบกันอีกแล้วนะคะ เมื่อฉบับที่แล้วได้พูดถึงอาการปวดเข่าจากสาเหตุของกล้ามเนื้อด้านนอกต้นขาที่มีความตึงตัวมากเกินไป (Iliotibial band ) ขอกล่าวทวนเล็กน้อยนะคะว่า เข่าของคนเราประกอบด้วยข้อต่อ 2 ข้อ ซึ่งประกอบด้วยข้อต่อจากขาท่อนบน (Femur bone) เชื่อมกับกระดูกขาท่อนล่าง (Tibia bone) และอีกข้อหนึ่งที่มักจะเป็นปัญหาทำให้ปวดเข่าก็คือข้อต่อที่เป็นส่วนของกระดูกต้นขา (Femur bone) กับกระดูกสะบ้า (Patellar bone) ตรงนี้ล่ะค่ะที่มักจะเป็นปัญหาทำให้มีอาการปวดเสียวในข้อเข่า กระดูกสะบ้าเป็นกระดูกที่ลอยตัวอยู่บนด้านหน้าข้อเข่า ซึ่งจะอยู่ตรงกลางร่องของกระดูกต้นขาพอดี กระดูกชิ้นนี้ทรงอยู่ได้ด้วยมีเนื้อเยื่อต่างๆ พยุงไว้รอบด้าน เสมือนมีเชือกขึงเอาไว้ด้วยความตึงเท่าๆ กันทั้งด้านบน ด้านล่าง ด้านในและด้านนอก ซึ่งฉบับก่อนเราได้ทราบแล้วว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เข่ามีปัญหาคือกล้ามเนื้อ ด้านนอกต้นขาตึงมากเกินไป ฉบับนี้เรามาทำความรู้จักกล้ามเนื้อด้านใน ด้านบนและด้านล่าง กันต่อเลยนะคะ



กล้ามเนื้อที่ค่อนข้างเป็นปัญหาและพบบ่อยคือมัดที่พยุงไว้ด้านใน มีชื่อเรียกว่า vastus medialis oblique muscle เป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่อยู่ด้านในต้นขา กล้ามเนื้อมัดนี้จะเป็นเหมือนเชือกที่ดึงอยู่ด้านในของลูกสะบ้าเพื่อความมั่นคงแข็งแรงของลูกสะบ้าด้านใน กล้ามเนื้อมัดนี้จะวางทอดยาวตลอดแนวต้นขาด้านในและแผ่มาเกาะที่ขอบในของสะบ้าจากด้านบนจนถึงด้านล่าง เยื่อเอ็นของกล้ามเนื้อมัดนี้จะแผ่ผสานไปกับเอ็นที่ขึงลูกสะบ้าด้านบน ซึ่งเป็นเอ็นที่ทอดมาจากกล้ามเนื้อที่ให้ความมั่นคงของสะบ้าด้านบน คือกล้ามเนื้อที่ชื่อ Quadriceps muscle ส่วนด้านล่างจะเป็นเอ็นที่ค่อนข้างหนาและแข็งแรงให้ความมั่นคงกับสะบ้าด้านล่าง มีชื่อว่า Patellar tendon ซึ่งจะแผ่ผสานรวมเช่นเดียวกัน เมื่อเทียบความมั่นคงแข็งแรงรอบด้านแล้ว ด้านบนและด้านล่างจะค่อนข้างแข็งแรง มักไม่เกิดปัญหาการบาดเจ็บเท่าไหร่
เห็นไหมคะว่า เยื่อเอ็นที่แผ่มาจากด้านในมีผลต่อความมั่นคงของกระดูกสะบ้ามากเพียงใด เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าถ้ากล้ามเนื้อมัดนี้ไม่มีความแข็งแรงพอก็จะส่งผลให้แนวการวางตัวของกระดูกสะบ้าบิดออกจากแนวสมดุลค่ะ จากภาพที่แสดงจะเห็นลูกสะบ้าขณะมีการเคลื่อนไหวเข่า ก็จะเคลื่อนขึ้น-ลงอยู่ในร่องของกระดูกต้นขา หากกระดูกชิ้นนี้มีการบิดซ้าย-ขวาหรือไม่สมดุล จะทำให้เวลาเคลื่อนไหวโดยเฉพาะการงอ-เหยียดเข่าจะทำให้เกิดอาการขึ้นมาได้ อาการปวดจะเสียวๆ เจ็บด้านในเข่าหรืออาจเจ็บด้านหน้าหัวเข่า ทั้งนี้เกิดจากการเสียดสีของผิวข้อและ เกิดการอักเสบขึ้นมา แต่เนื่องจากข้อเข่าเป็นข้อที่ต้องถูกใช้งานตลอดเวลาที่เราขยับขา เมื่อเดิน-ยืนก็ยิ่งเกิดแรงอัดไปที่ข้อมากขึ้น ดังนั้นเมื่อมีการอักเสบหรือบาดเจ็บจึงทำให้เป็นเรื้อรังได้ง่ายหากรักษาไม่ถูกวิธีหรือไม่ได้รักษาตรงจุดที่เป็น ท่านที่มีปัญหาจากกรณีนี้มักจะบ่นว่าปวดเสียวๆ ในเข่าด้านหน้า บางรายระบุได้ชัดเจนว่าปวดเสียวใต้ลูกสะบ้า กลุ่มที่เห็นได้ชัดเจนจากอาการปวดเข่าด้วยกรณีนี้ มักเป็นกลุ่มวัยรุ่นหรือกลุ่มที่อายุน้อยอยู่ นักกีฬาบางชนิดเช่น บาสเกตบอล ฟุตบอล วอลเล่ย์บอล เทนนิส วิ่ง ปั่นจักรยาน ฯลฯ
อาการที่พบบ่อยๆ ได้แก่



• ปวดเสียวเวลาวิ่งหรือกระโดด
• นั่งยองๆ หรือนั่งในท่าที่เข่างอมากๆ เช่น นั่งขัดสมาธิ หรือนั่งพับเพียบจะเสียวๆ
ที่หน้าเข่าหรือด้านในเข่า
• เวลาขึ้น-ลงบันได โดยเฉพาะท่าที่เดินลงจะเป็นท่าที่เจ็บมากกว่า
• การเอี้ยวตัวที่ต้องบิดและหมุนเข่าไปด้านที่มีปัญหา
• ท่าที่ต้องลงน้ำหนัก หรือยืนด้วยขาข้างเดียว ฯลฯ

เป็นอย่างไรบ้างคะ? ท่านเป็นอีกคนที่มีเสียงเตือนจากร่างกายอยู่หรือเปล่า? หลายเคสที่เล่าให้ผู้เขียนฟัง เคยคิดว่าการออกกำลังกายเข่าหรือการสร้างกล้ามเนื้อขาคือการวิ่ง การกระโดด การปั่นจักรยาน แต่ถ้าอาการปวดเข่ามาจากกรณีนี้ การวิ่ง การกระโดดหรือการปั่นจักรยานอาจทำให้เกิดอาการปวดและบาดเจ็บเรื้อรังได้ เพราะจะทำให้เกิดการเสียดสีทุกครั้งที่เล่นกีฬาดังกล่าว แล้วการบริหารให้ลูกสะบ้าสมดุลนั้นต้องทำอย่างไร? ถ้าร่างกายของคนเราเหมือนเครื่องยนต์หรือเครื่องจักรกล ก็คงสามารถบอกได้ว่าต้องหมุนอะไหล่ส่วนไหนให้แน่นหรือให้ปรับตรงนั้นตรงนี้ แต่เพราะร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางครั้งอาการปวดที่จุดเดียวกันแต่ต้นตอของปัญหามาจากคนละทาง การออกแบบการรักษาหรือการออกแบบท่าออกกำลังกายก็แตกต่างกันออกไป เช่นเดียวกัน หากการปวดเข่าที่เป็นอยู่เกิดจากความไม่สมดุลของลูกสะบ้า และความไม่สมดุลนั้นเกิดจากโครงสร้างไหน สิ่งที่สถาบันอริยะให้ความสำคัญมากที่สุดคือการสืบค้นและวิเคราะห์หาต้นตอที่แท้จริงของความไม่สมดุลที่เกิดขึ้น เมื่อพบแล้วจึงสามารถออกแบบการรักษาและการออกกำลังกายให้ได้ ซึ่งถือเป็นการดูแลเฉพาะบุคคลค่ะ
เราได้รู้จักข้อเข่าและเข้าใจอาการปวดของเข่าโดยค่อนข้างละเอียด คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองแล้วล่ะค่ะหากร่างกายกำลังส่งเสียงเตือนสิ่งใดอยู่ ท่านก็น่าจะสามารถแยกแยะและดูแลได้ถูกต้องถูกทางมากขึ้นนะคะ แต่หากลองพยายามจัดการหรือรักษาด้วยตัวเองสักพักแล้วอาการไม่หายขาด ไม่ดีขึ้น ยังรบกวนการใช้ชีวิตของท่านอยู่ ก็แวะมาสอบถามที่สถาบันอริยะได้นะคะ พบกันใหม่ฉบับหน้าค่ะ

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2562

ข้อเข่าบาดเจ็บ !!!


เส้นเอ็นด้านข้างข้อเข่าบาดเจ็บ (Collateral ligament injuries)


เข่าถือเป็นข้อต่อที่สำคัญในการเคลื่อนไหวร่างกาย ในการเดิน วิ่ง สปริงตัว ย่อตัว  และเป็นข้อต่อที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย และแบกรับน้ำหนักของร่างกายด้วย
ข้อเข่า ประกอบด้วย กระดูกที่สำคัญ  3  ชิ้นคือ
1.    กระดูกต้นขา(thighbone) ,
2.    กระดูกแข้ง(shinbone)
3.    สะบ้า (kneecap) กระดูกสะบ้าจะอยู่ด้านหน้าของข้อเข่าจะยึดติดกระดูกต่างๆ โดยมีเอ็นหุ้ม ลักษณะคล้ายเกราะป้องกัน

กระดูกเชื่อมต่อกับกระดูกอื่นด้วยเส้นเอ็น มีเส้นเอ็นหลักๆอยู่4เส้นที่ทำหน้าที่เหมือนเชือกที่แข็งแรงที่จะยึดกระดูกไว้ด้วยกันและทำให้เข่ามั่นคง
-       เส้นเอ็นไขว้ (Cruciate ligaments) เส้นเอ็นประเภทนี้จะพบภายในข้อเข่าซึ่งจะวางตัวไขว้กันเป็นรูปตัวx ของเส้นเอ็นไขว้หน้าในด้านหน้าและเส้นเอ็นไขว้หลังในด้านหลัง ทำหน้าที่ในยึดกระดูก เพื่อให้เกิดการยึดหยุ่น ควบคุมการเคลื่อนที่ไปด้านหน้า-ด้านหลังของเข่า
-       เส้นเอ็นด้านข้าง (Collateral ligaments) เส้นเอ็นประเภทนี้จะพบที่ด้านข้างของเข่า โดยมี medial collateral ligament(MCL)อยู่ด้านข้างด้านใน เชื่อมกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้ง และ lateral collateral ligament(LCL) อยู่ด้านข้างด้านนอกจะเชื่อมกระดูกต้นขาและกระดูกน่อง   เส้นเอ็นเหล่าเหล่านี้จะควบคุมการเคลื่อนไหวไปด้านข้างของเข่า
นักกีฬาที่เล่นกีฬาที่มีการปะทะโดยตรงเช่น ฟุตบอลมีแนวโน้มที่จะได้รับการบาดเจ็บเส้นเอ็นด้านข้างข้อเข่าฉีดขาด หรือเกิดการอักเสบได้ เส้นเอ็น MCL มักจะได้รับการบาดเจ็บบ่อยกว่า เส้นเอ็น LCL เนื่องจากโครงสร้างของเข่าด้านนอกของด้านข้างจะซับซ้อนกว่า ดังนั้นถ้าLCLได้รับการบาดเจ็บ โครงสร้างส่วนอื่นๆในเข่าอาจได้รับการบาดเจ็บตามไปด้วย
เพราะความแข็งแรงมั่นคงของข้อเข่าจะขึ้นอยู่กับเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบๆ มันจึงบาดเจ็บได้ง่าย การปะทะเข่าโดยตรงหรือกล้ามเนื้อมีการหดตัวอย่างรุนแรง เช่นจากการเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็วขณะวิ่งจะทำให้เส้นเอ็นบาดเจ็บได้
1.    เส้นเอ็นบาดเจ็บอาจหมายถึงการ”อักเสบ” และมีการวัดระดับความรุนแรง
1.1 การบาดเจ็บระดับ 1 (Grade 1 sprains) เส้นเอ็นที่ได้รับบาดเจ็บในระดับ1จะมีการยืดออกเล็กน้อยแต่ยังคงสามารถที่จะช่วยให้ข้อเข่าคงตัวไว้ได้
1.2 การบาดเจ็บระดับ2 (Grade 2 sprains) การบาดเจ็บระดับ2จะทำให้เส้นเอ็นยืดจนถึงจุดที่มันหลวม ซึ่งมักจะหมายถึงเส้นเอ็นฉีกขาดบางส่วน
1.3 การบาดเจ็บระดับ3 (Grade 3 sprains) การบาดเจ็บระดับนี้ส่วนใหญ่มักจะหมายถึงเส้นเอ็นฉีกขาดจากกันออกเป็น2ส่วนและข้อเข่าจะไม่มั่นคง

สาเหตุ (Cause)
การบาดเจ็บเส้นเอ็นด้านข้างมักมีสาเหตุมาจากโดนแรงกระแทกเข่าด้านข้าง
MCLฉีกขาดจากการกระแทกเข่าด้านข้างด้านนอกเข้าไปข้างในไปชนเข่าอีกข้าง ส่วนกระกระแทกเข่าด้างข้างด้านในขาหนีบออกไปด้านนอกจะทำให้LCLบาดเจ็บ
อาการ (Symptoms)
-ปวดตรงด้านข้างเข่า ถ้าMCLบาดเจ็บจะปวดด้านข้างด้านในขาหนีบ ถ้าLCLบาดเจ็บจะปวดด้านข้างด้านนอกเข่า
-เข่าบวม
-ไม่มั่นคง รู้สึกเหมือนเดินแล้วจะล้ม เคลื่อนหลุด
 การตรวจทางแพทย์ (Doctor examination)
กรตรวจทางร่างกายและประวัติผู้ป่วย(Physical examination and patient history)
เมื่อมาพบแพทย์ครั้งแรก แพทย์จะถามถึงอาการและประวัติการรักษา
 เมื่อแพทย์ได้ตรวจร่างกาย แพทย์จะเช็คโครงสร้างเข่าทั้งหมดและเปรียบเทียบกับข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ การบาดเจ็บของเส้นเอ็นส่วนใหญ่สามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจร่างกาย
การตรวจถ่ายภาพ(Imaging tests)
การตรวจอื่นๆอาจช่วยยืนยันการวินิจฉัยของแพทย์ รวมถึง
X-rays ถึงแม้ว่าภาพX-raysจะไม่แสดงการบาดเจ็บของเส้นเอ็นแต่มันจะแสดงให้เห็นว่ามีการบาดเจ็บอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับกระดูกหักหรือไม่
MRI ภาพMRIจะทำให้เห็นลักษณะของเนื้อเยื่ออ่อนเช่นเส้นเอ็นด้านข้างชัดเจนขึ้น


การรักษา(Treatment)
คนไข้ที่MCLหรือLCLอย่างเดียวบาดเจ็บมักจะไม่ต้องผ่าตัด แต่ถ้าLCLบาดเจ็บแล้วมีส่วนอื่นบาดเจ็บด้วยก็จะต้องรักษาโดยการผ่าตัด
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด(Nonsurgical treatment)
ประคบเย็น(Ice) การประคบเย็นเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้อาการดีขึ้น วิธีการประคบที่เหมาะสมคือใช้นำแข็งทุบประคบโดยตรงบริเวณที่บาดเจ็บประมาณ15-20นาทีในทุก1ชั่วโมง ไม่ควรใช้ถุงประคบเย็น(“Blue” ice)วางบนผิวหนังโดยตรงและยังได้ผลดีไม่เท่ากับน้ำแข็งประคบ
ใส่Knee Brace(Bracing) คนไข้ต้องปกป้องเข่าตัวเองจากการโดนกระแทกด้านข้างที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำ และอาจต้องเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงกิจกรรมเสี่ยงต่างๆ แพทย์อาจแนะนำให้คนไข้ใส่Knee braceเพื่อที่ป้องกันแรงกดหรือแรงstresss  และอาจแนะนำให้ใช้ไม้ค้ำยันเพื่อเลี่ยงการลงน้ำหนักไปที่ขา
กายภาพบำบัด(Physical therapy) แพทย์อาจแนะนำให้ออกกำลังกายฝึกความแข็งแรง โดยท่าเฉพาะที่แพทย์แนะนำจะช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาให้เข่ากลับมาทำหน้าที่ได้ตามปกติ
การรักษาแบบผ่าตัด(Surgical treatment)
การบาดเจ็บของเส้นเอ็นด้านข้างส่วนใหญ่สามารถรักษาให้หายได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ถ้าเส้นเอ็นด้านข้างฉีกขาดแบบที่ไม่สามารถสมานเองได้ หรือมีเส้นเอ็นอื่นๆขาดร่วมด้วย แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อเย็บซ่อมเส้นเอ็น
การกลับมาเล่นกีฬา(Return to sports)
เมื่อคนไข้กลับมาเคลื่อนไหวได้ตามปกติ  และเดินไม่กะโผลกกะเผลก แพทย์จะอนุญาตให้ค่อยๆเพิ่มกิจกรรมตามลำดับจนกลับไปเล่นกีฬาได้
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนไข้เล่นฟุตบอล กิจกรรมที่เริ่มต้นคือวิ่งจ้อกกิ้ง ตามมาด้วยวิ่งเร็วระยะสั้น วิ่งอย่างเต็มที่ และเตะลูกบอล
แพทย์อาจแนะนำให้ใส่ผ้าพันข้อขณะเล่นกีฬาด้วย ขึ้นอยู่กับระดับความอักเสบที่จะเกิด


โครงสร้าง (Anatomy)
โครงสร้างเข่าปกติ ด้านหน้า
กระดูก3ส่วนมาประกอบกันเป็นข้อเข่า : กระดูกต้นขา(thighbone) , กระดูกแข้ง(shinbone) และสะบ้า (kneecap) โดยสะบ้าจะอยู่ด้านหน้าของข้อเข่าเพื่อเป็นเหมือนเกราะป้องกัน
กระดูกเชื่อมต่อกับกระดูกอื่นด้วยเส้นเอ็น มีเส้นเอ็นหลักๆอยู่4เส้นที่ทำหน้าที่เหมือนเชือกที่แข็งแรงที่จะยึดกระดูกไว้ด้วยกันและทำให้เข่ามั่นคง
เส้นเอ็นไขว้ (Cruciate ligaments)
เส้นเอ็นประเภทนี้จะพบภายในข้อเข่าซึ่งจะวางตัวไขว้กันเป็นรูปตัวx ของเส้นเอ็นไขว้หน้าในด้านหน้าและเส้นเอ็นไขว้หลังในด้านหลัง เส้นเอ็นเหล่านี้จะควบคุมการเคลื่อนที่ไปหน้า-หลังของเข่า
เส้นเอ็นด้านข้าง (Collateral ligaments)
เส้นเอ็นประเภทนี้จะพบที่ด้านข้างของเข่า โดยมี medial collateral ligament(MCL)อยู่ด้านข้างด้านใน เชื่อมกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้ง และ lateral collateral ligament(LCL) อยู่ด้านข้างด้านนอกจะเชื่อมกระดูกต้นขาและกระดูกน่อง   เส้นเหล่าเหล่านี้จะควบคุมการเคลื่อนไหวไปด้านข้างของเข่าและคุมต้านการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ

จาก website jointdee.info/knee/เส้นเอ็นด้านข้างข้อเข่/



วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2562

ข้อเข่าเสื่อม !!!


สาเหตุ อาการและการวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อม ตอนที่ 2


            เช็กอาการโรคข้อเข่าเสื่อม
โรคนี้มีอาการหลากหลายขึ้นอยู่กับระยะโรค และสุขภาพแต่ละบุคคล
ในระยะแรกจะปรากฏอาการไม่ชัดเจน อาจแค่รู้สึกว่าเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว เช่น เดินขัดๆ นั่งไหว้พระหรือนั่งพับเพียบแล้วลุกขึ้นไม่สะดวก หากทิ้งไว้ไม่เข้ารับการรักษาจะทำให้เกิดอาการปรากฏชัดเจนขึ้น ดังนี้

1.    มีอาการปวด โดยเฉพาะเมื่อลงน้ำหนักที่ข้อเข่า เช่น เวลายืนหรือเดินนานๆ ยิ่งใช้ข้อเข่ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีอาการมากเท่านั้น แต่เมื่อพักการใช้ข้อเข่า อาการจะบรรเทาลง คนไข้จึงบอกว่า บางวันปวดน้อย บางวันปวดมาก ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้งานและท่าทางในชีวิตประจำวันนั่นเอง
     นอกจากนี้ในตอนกลางคืนอาการปวดจะน้อยลง แต่จะมีอาการตึงข้อเข่าในช่วงตื่นนอนตอนเช้าๆ หากมีอาการปวดมากในตอนกลางคืนต้องระวังเป็นโรคอื่นๆ เช่น โรคเกาต์ โรคมะเร็งกระดูก
     โรคข้อเข่าเสื่อมมีอาการปวดลึกๆในข้อเข่า หากมีอาการปวดเป็นจุดๆ อาจมีสาเหตุมาจากการอักเสบเฉพาะที่ เช่นบริเวณเอ็นหัวเข่า หรือเยื่อหุ้มข้อ
2.    ข้อเข่าผิดรูป เช่น ขาโก่งหรือขาเอียงเข้าหากัน ทำให้พิสัยของการเคลื่อนที่ลดลง เช่น ไม่สามารถเหยียดหรืองอเข่าได้สุด มักพบอาการนี้ในระยะท้าย เมื่อมีการสูญเสียกระดูกอ่อนไปมากแล้ว
3.    ข้อตึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากอยู่นิ่งๆเป็นเวลานาน นั่งนานๆหรือหลังจากตื่นนอน
4.    ข้อเข่าบวม อาการบวมแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ บวมเนื้อนิ่ม เพราะมีน้ำจากการอักเสบซึมออกมา และบวมเนื้อแข็ง เกิดจากมีกระดูกงอกอยู่ภายใน
5.    มีอาการเข่าอ่อนหรือล้มไปเฉยๆ มักเกิดจากโครงสร้างข้อหลวมและกล้ามเนื้อรอบๆข้อไม่แข็งแรง

การวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อม

แพทย์ต้องซักประวัติและตรวจร่างกายคนไข้อย่างละเอียด โดยเฉพาะตำแหน่งที้เจ็บ มีการตรวจโดยให้คนไข้หมุนข้อเข่าหลายๆทิศทาง เพื่อฟังว่ามีเสียงกร๊อบแกร๊บในข้อหรือไม่ ตรวจหาการอักเสบ ปริมาณน้ำภายในข้อ และมวลกล้ามเนื้อรอบๆข้อเข่า
นอกจากนี้อาจตรวจโดยใช้การถ่ายภาพทางรังสีเพิ่มเติม เพื่อประเมินว่าช่องว่างภายในข้อแคบลงหรือไม่ หรือมีกระดูกและหินปูนมาเกาะที่ข้อหรือไม่ อย่างไรก็ตามภาพถ่ายทางรังสี ไม่สามารถบอกความรุนแรงของโรคได้ เช่น คนไข้มีอาการปวดไม่รุนแรง แต่ภาพถ่ายรังสีอาจแสดงว่าข้อเข่าผิดปกติมาก หรือบางคนมีอาการรุนแรงมาก แต่ภาพถ่ายทางรังสีกลับแสดงว่าข้อเข่าเป็นปกติ
ที่เป็นอย่างนี้เพราะอาการปวดอาจเกิดจากโครงสร้างที่อยู่รอบๆข้อ เช่น กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เกิดการอักเสบ เกร็งหรือยึดติด ซึ่งภาพทางรังสีไม่สามารถแสดงให้เห็นได้
หากอาการปวดรุนแรงหรือมีการอักเสบมาก จำเป็นต้องตรวจโดยภาพะถ่ายด้วยรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม
การวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อมนั้นไม่สามารถทำได้โดยการเจาะเลือด แต่แพทย์อาจเจาะเลือดเพื่อดูการทำงานของตับและไต เพื่อเป็นข้อมูลในการรักษาผู้ป่วยที่เหมาะสมต่อไป

ที่มา  ชีวจิต  เล่มที่ 384 ปีที่ 16 : 1 ตุลาคม 2557


วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2562

ข้อเข่าเสื่อม !!!


สาเหตุ อาการและการวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อม ตอนที่ 1

               โรคข้อเข่าเสื่อเกิดจากกระดูกอ่อนสึกหรอและบางลง โดยปกติข้อเข่าของเรามีกระดูกอ่อนหุ้มอยู่ เพื่อทำหน้าที่รับแรงกระแทกและทำให้ข้อเคลื่อนไหวสะดวกขึ้น ดังนั้นหากกระดูกอ่อนสึกหรอหรือบางลง จะทำให้กระดูกเสียดสีกัน เวลาเคลื่อนไหวจงมีอาการปวด
                ถึงอย่างนั้นร่างกายก็พยายามซ่อมแซมตัวเองโดยพยายามสร้างกระดูกขึ้นมาใหม่ จึงมีเศษกระดูกหรือหินปูนงอกเข้าไปในข้อ ทำให้เกิดอาการปวดข้อ ข้อขัด และเคลื่อนไหวลำบากตามมา
คุณหมอสุมาภา ชัยอำนวย หรือคุณหมอยุ้ย เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้อ ซึ่งความผิดปกติของกระดูกและข้อ อาจไม่ได้ส่งผลต่อความเป็นความตายของคน แต่มีผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก นอกจากนี้การรักษาความผิดปกติเกี่ยวกับกระดูกและข้อ    จำเป็นต้องใช้เวลา  ดังนั้น เรามาทำความรู้จักกับสาเหตุ อาการและการวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อม ดังนี้


                สาเหตุโรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร
ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้ชัดเจน สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากหลายๆปัจจัยร่วมกัน การศึกษามากมายพบปัจจัยเสี่ยงก่อโรค ดังเช่น
1.  อายุ โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคของผู้สูงอายุ โดยทั่วไปมักพบในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่อาจพบในผู้ที่มีอายุน้อยที่เป็นนักกีฬา หรือผู้ประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บที่เอ็นรอบข้อ ก็อาจทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้
2. เพศ  พบโรคนี้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เพราะกล้ามเนื้อและโครงสร้างของผู้หญิงไม่แข็งแรงเท่าผู้ชาย นอกจากนี้ยังมีอาการรุนแรงกว่าในเพศชายอีกด้วย
3. โรคอ้วน น้ำหนักที่มากขึ้นจะไปลงที่ข้อเข่า ดังนั้น ยิ่งน้ำหนักมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นเท่านั้น และอาการจะรุนแรงมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม การลดน้ำหนักจึงมีส่วนช่วยรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมได้ด้วย
4.ประวัติสุขภาพของครอบครัว ถ้าพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม พบว่าเราจะมีความเสี่ยงเป็นโรคนี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม คือการมีโครงสร้างร่างกายที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคที่คล้ายกัน นอกจากนี้ การอยู่ในครอบครัวเดียวกัน อาจต้องทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคเหมือนกันก็ได้
5.ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเข่า พบว่า นักกีฬา เช่น นักฟุตบอล นักบาสเก็ตบอล หรือผู้ประสบอุบัติเหตุจนเอ็นฉีกขาด ต้องได้รับการผ่าตัดประสานเส้นเอ็น จำทำให้โครงสร้างในข้อเข่าเปลี่ยนแปลงไป จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ในอนาคต
6. เป็นโรคข้ออื่นๆร่วมด้วย เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเกาต์ โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน โรคเหกล่านี้ทำให้เกิดการทำลายของข้อและกระดูอ่อนซึ่งเป็นสาเหตุของโรคข้อเข่าเสื่อม