disable right click

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ปวดข้อเข่า เคล็ดลับการเรียนรู้การรักษาอาการปวดข้อเข่า

เคล็ดลับการเรียนรู้การรักษาอาการปวดข้อเข่า


เชื่อว่าอาจจะมีอีกหลายๆ คนที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกสดชื่น หลังจากที่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างพอเพียง แต่เมื่อถึงเวลาที่จะต้องลุกออกจากเตียง อาจจะรู้สึกปวดข้อเข่า ปวดเข่า หรือแม้แต่ข้อสะโพกก็ปวดแบบแปลบๆ เข้ามาแบบเฉียบพลัน ซึ่งเมื่อรู้สึกปวดข้อเข่า ปวดเข่าขึ้น คนส่วนใหญ่มักจะปลอบใจตัวเองว่า ที่เกิดอาการปวดข้อเข่า ปวดเข่า อาจจะเป็นเพราะอายุมากขึ้น เรื่องปวดตามข้อต่างๆ ก็น่าจะเกิดขึ้นบ้างเป็นธรรมดา แต่ไม่น่าเชื่อว่าหากคุณปล่อยไว้โดยไม่ได้รักษาปวดข้อเข่า ปวดเข่า อาจ จะทำให้อาการปวดข้อได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทำให้ต้องหายาบรรเทาส่วนกิจกรรมอะไรที่ทำแล้วปวดจนทนไม่ไหวก็งดไป

ต้นตอแห่งของความปวดข้อเข่า ปวดเข่า

เมื่อมีอาการปวดข้อเข่า ปวดเข่า หรือบวมบริเวณข้อต่างๆ อาจจะคิดไปเองว่าเป็นเพราะอายุที่มากขึ้นหรือเปล่าหรือสงสัยว่าข้อจะเสื่อมหรือไม่ ซึ่งหากเอาแต่เดาหรือสงสัย คงจะไม่ถูกแน่นอนเพราะในความเป็นจริง อาการปวดข้อเข่า,ปวดเข่า นั้นส่วนหนึ่งที่มีสาเหตุอันเนื่องมาจากข้อเสื่อม ซึ่งยังเป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ สาเหตุ ของอาการปวดข้อเท่านั้น และที่สำคัญสำเหตุส่วนมากไม่เกี่ยวข้องกับวัยหรืออายุ

อาการของปวดข้อเข่า ปวดเข่า


การปวดข้อเข่า หรือปวดเข่าโดยมากจะเป็นผลมาจากภาวะแห่งการอักเสบของข้อ ที่อาจจะไม่ได้หมายถึงเฉพาะกระดูกเพียงแค่สองหรือสามชิ้น แต่ยังหมายถึงส่วนประกอบของข้อทั้งหมดในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นผิวของข้อซึ่งเป็นกระดูกอ่อน และหมอนรองข้อ หรือเส้นเอ็นบริเวณข้อ โดยการวินิจฉัยหาสาเหตุที่ทำให้ข้ออักเสบจึงไม่ง่ายนัก และสาเหตุของข้ออักเสบนั้นมีความเป็นไปได้ที่มีอยู่มากกว่าร้อยชนิด ส่วนสาเหตุปวดข้อเข่า ปวดเข่าที่คุ้นเคยกันมากที่สุดน่าเห็นจะเป็นข้ออักเสบเนื่องจากอุบัติเหตุ หรือจากภาวะข้อเสื่อมอย่างรูมาตอยด์และข้ออักเสบจากโรคเกาต์

สาเหตุของการปวดข้อเข่า ปวดเข่า


สาเหตุของข้ออักเสบที่อยู่ในอาการปวดข้อเข่า ปวดเข่าแม้จะมีนับร้อย แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากการติดเชื้อ หรือโรคภูมิแพ้บางชนิด โรคผิวหนัง ฯลฯ ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมอาจจะทำให้มีการอักเสบบวม และปวดข้อเข่า ปวดเข่าเรื้อรังเป็นเวลานาน จะทำให้กลายเป็นสาเหตุของภาวะข้อเสื่อมซึ่งเรียกได้ว่าเป็นภาวะที่บั่นทอนประสิทธิภาพการใช้งานของข้อต่างๆ ในร่างกายลงอย่างน่าเสียดาย

เป็นเรื่องสำคัญมากต่อสุขภาพและการใส่ใจดูแลข้อต่างๆ ในร่างกาย เมื่อเกิดความผิดปกติ หรือเมื่อมีการอักเสบของข้อ โดยมีอาการปวดที่อาจจะแตกต่างกันออกไป สิ่งที่หลายคนมักทำก็คือรอดูอาการหรือรอให้หายไปเอง

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สะโพกและข้อเข่า รู้จักการเคลื่อนไหวของสะโพกและข้อเข่า

รู้จักการเคลื่อนไหวของสะโพกและข้อเข่า

             สะโพกของเรามีข้อต่อเหมือนกันรวมไปถึงข้อเข่าด้วย ทุกคนย่อมมีเหมือนกันการเคลื่อนไหวร่างกายที่แทบจะเคลื่อนไปทั้งตัวนั้นข้อสะโพกและเข่ามักจะมีส่วนเกี่ยวข้องเพราะเป็นตัวช่วยในการเคลื่อนที่เป็นอย่างดี บทความนี้เรามาหยั่งลงไปในรายละเอียดของการใช้งานของข้อเข่าและข้อสะโพกกัน การทำงานของทั้งสองจุดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเพราะว่าหน้าที่ของแต่ละจุดนั้นไม่เหมือนกัน
การเคลื่อนไหวสะโพกใช้งานอย่างไร
             สำหรับการเคลื่อนตัวของสะโพกนั้นจะเหมือนกับส่วนของไหล่เลยเพียงแต่ว่าความแข็งแรงไม่เท่ากัน ส่วนสะโพกจะมีความแข็งแรงมากกว่าส่วนไหล่โอกาสที่จะโดนแยกออกมา หลุดออกมาจึงมีน้อยกว่ากัน ส่วนใหญ่แล้วสะโพกจะถูกใช้งานเมื่อเรามีการยกแข้ง ขา ขึ้นมาสำหรับการใช้งาน เช่น การเล่นกีฬา ตะกร้อ ฟุตบอล  การกระโดดไกล กระโดดข้ามรั้ว กรีฑา รวมไปถึงกีฬาชนิดอื่น ๆ ที่จะต้องมีการใช้ส่วนขาและเท้าร่วมกันด้วย ซึ่งการทำกิจกรรมเหล่านี้เสี่ยงต่อการส่งผลทำให้สะโพกนั้นได้รับบาดเจ็บอย่างง่ายดาย

การบริหารสะโพกที่ถูกต้องควรทำอย่างไร


           สำหรับผู้ที่ต้องใช้งานส่วนกระดูกข้อต่อสะโพกบ่อยจะต้องมีการทำกายบริหารส่วนนี้ด้วย อาจจะเป็นการงอ เริ่มเหยียด เพื่อให้สะโพกได้เหมือนยืดเส้นยืดสาย แต่ว่าหากเรางอเข่าในส่วนของเข่าเองนั้นจะไม่ค่อยมีความมั่นคงมากนัก จึงต้องระมัดระวังในท่ากายบริหารสะโพกด้วย การว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน กระโดดเชื่อ เหล่านี้ก็เป็นการบริหารสะโพกให้แข็งแรงเช่นกัน

การเคลื่อนไหวของข้อเข่าเกิดจากอะไร

           ข้อเข่าของเรานั้นมีการเคลื่อนไหวอยู่ทุกวันไม่ว่าจะอิริยาบถไหนของการเคลื่อนที่ของร่างกายส่วนมากจะมีการใช้งานในส่วนนี้อยู่เป็นประจำ โดยหัวข้อเข่านั้นจะเคลื่อนไหวจากการงอหรือการเหยียดออกมา แต่ว่าหากงอแล้วตามที่ทราบกันดีกว่าเข่าจะไม่ค่อยมั่นคงเท่าไรนัก ที่เป็นแบบนี้เพราะว่าหากเข่ามีการเหยียดตรงเมื่อไหร่จะหมายถึงกระดูกตรงบริเวณหน้าแข้งนั้นจะมีการหมุนเอาตัวเองมาให้ตรงล็อค และเพื่อส่งผลให้กล้ามเนื้อไม่ค่อยทำงานแล้วสร้างความมั่นคงให้กับข้อเข่าได้ดีกว่าเดิม
         ระวังสักหน่อยสำหรับการงอเข่าเพราะว่าจะทำให้เช่านั้นได้รับบาดเจ็บแบบง่าย ๆ เลย โดยเฉพาะกับกิจกรรมกีฬาต่าง ๆ ที่จะต้องมีการใช้ข้อเข่าร่วมด้วย อะไรที่ต้องมีการปล่อยน้ำหนักตัวเองลงมาที่เข่ามากแบบนั้นยิ่งเสี่ยงหากร่างกายไม่แข็งแรงมากพอ เวลาจะเล่นกีฬาสนับเข่าเป็นสิ่งที่ควรจะมีเพราะป้องกันเอาไว้ไม่ให้เข่างอ และพยายามอย่าบิดเข่ามากหากพลาดเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาเข่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก
           กล้ามเนื้อในร่างกายของเรารวมไปถึงกล้ามเนื้อส่วนหลัง และ กล้ามเนื้อส่วนหน้าจะทำหน้าที่ในการรับมือเมื่อเข่าได้รับการบาดเจ็บ ฉะนั้นเราเองก็ควรที่จะออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อส่วนดังกล่าวด้วย กล้ามเนื้อต้นขา กล้ามเนื้อแขน โดยเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตัวเอง
           การดูแลสุขภาพกระดูกข้อเข่าและสะโพกรวมถึงข้อต่ออื่น ๆ ในร่างกายเป็นอย่างดีจะเป็นการยืดอายุการใช้งานร่างกายของเราได้นานและสามารถที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ การเล่นกีฬาที่จะต้องมีการใช้ขา ใช้สะโพก จะสามารถทำได้โดยไม่ต้องกลัวกระดูกหัก กระดูกเลื่อนเลย การออกกำลังกายยังคงเป็นยาวิเศษอยู่เสมอสำหรับมนุษย์เราทุกคน

ที่มา https://www.doctor.or.th/article/detail/5934

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

โรคปวดกล้ามเนื้อหลัง

โรคปวดกล้ามเนื้อหลัง

อาการ ปวดเมื่อยหลัง  ปวดเมื่อยคอ อาจปวดมากตรงสะบัก มักจะไม่มีอาการชา ไม่มีอาการปวดร้าวไปที่แขน อาจเกิดขี้นเฉีบบพลันหลังทำงานหนักหรือเกิดเพราะทำงานซ้ำซากโดยไม่ได้ออกกำลังกายก็ได้
ผู้ที่มีอาการปวดหลังร้อยละ 50  จะหายภายใน 2 สัปดาห์ ซี่งมักมีปัญหาของกล้ามเนื้อหลังแข็งเกร็ง ไม่ปลดปล่อยกรดแลกติกที่เป็นของเสียในมัดกล้ามเนื้อออกมา หากไม่แก้ไข ยังคงทำงานในลักษณะเดิม ๆ จะทำให้ปวดกล้ามเนื้อหลังอย่างเรื้อรังได้ และพบผู้ป่วยร้อยละ 5 ที่เป็นโรคปวดหลังเรื้อรัง
สาเหตุ
1.การนั่งผิดท่า เช่น การนั่งหลังโก่ง นั่งบิด ๆ นั่งขับรถหลังโก่ง เป็นต้น
2.การยืนที่ผิดท่า
3.การยกของผิดท่า
4.การนอนบนที่นอนนุ่มหรืแข็งเกินไป
5.ทำงานมากเกินไป
6.การไม่ออกกำลังจะทำให้กล้ามเนื้อไม่มีพละกำลังที่จะทำให้หลังอยู่ในท่าที่ถูกต้อง

หากมีอาการปวดหลังร่วมกับอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์
ปัสสาวะลำบาก
มีอาการชาและอ่อนแรงขาข้างหนึ่ง
มีอาการปวดแปลบที่ขาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
เดินเซ

การรักษา  กรณีปวดกล้ามเนื้อหลังมักไม่ต้องไปพบแพทย์ ยกเว้นแต่ปวดเรื้อรัง แก้ปัญหาด้วยตนเองไม่หายจึงต้องพบแพทย์ แพทย์จะซักประวัติอาการปวดหลัง หากมีอาการป่วยอื่น ๆ เช่น อาการกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่อยู่ ควรแจ้งแพทย์
อาการปวดหลังที่ปวดไม่มากแพทย์จะแนะนำให้บริหารแผ่นหลังให้มีความแข็งแรง ปฎิบัติกิจวัตรประจำวันอยู่ในท่ายืน เดิน นั่ง นอน และการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องทุกอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการปวดอีก รวมทั้งควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และให้ทานยาแก้ปวด แก้อักเสบ เพื่อลดความเจ็บปวด
ผู้ป่วยควรสำรวจอิริยาบถของตนเองว่าเหมาะสมหรือยัง (ดูในหัวข้อการบริหารแก้ปวดคอร่วมด้วย)

อิริยาบถที่ไม่ทำให้ปวดหลัง




การนอนที่ดี ควรที่นอนลักษณะเรีบบ ตึง และแน่น ไม่นุ่มจนยุบตัวลงเป็นแอ่ง มีหมอนรองศีรษะที่รองรับส่วนโค้งของคอได้หมด และสามารถกระจายน้ำหนักได้ ควรมีหมอนหนุนอื่นๆ ของร่างกายด้วย เช่น หนุนใต้เข่า หนุนขา หนุนลำตัว เป็นต้น
การนอนคว่ำ จะทำให้กระดูกหลังแอ่นขึ้น ท่านอนคว่ำเป็นท่าที่ทำให้หายใจติดขัดด้วย ทั้งยังทำให้ปวดต้นคอ เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลังหรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน
ท่านอนตะแคง ก่ายหมอนข้าง ท่านี้หลังตรงดีและไม่ปวดหลัง ที่สำคัญควรมีหมอนข้างขนาดพอเหมาะ ไม่แข็งตึงหรือใหญ่เกินตัว จะทำให้ปวดเมื่อยได้
นอนตะแครงขวาช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก เบาเทาอาการปวดหลัง
นอนตะแครงซ้าย อาจทำให้เกิดลมจุกเสียดที่ลิ้นปี่
การกอดหมอนข้างพร้อมพาดขา  ช่วยป้องกันขาชาจากการนอนทับเป็นเวลานาน
ท่านอนหงาย  ควรมีหมอนบางหนุนใต้เข่า ทำให้แผ่นหลังตรงดี ไม่ควรนอนหงายโดยไม่มีหมอนรองเข่า
การนั่งให้ถูกท่า  การนั่งจะเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อกระดูกหลังมากที่สุดควรจะมีพนักพิงหลังมาถึงบริเวณเอว  ควรจะเป็นเก้าอี้ที่หมุนได้เพื่อป้องกันการบิดของเอว มีที่พักของแขนขณะที่นั่งพักหัวเข่าควรอยู่สูงกว่าระดับข้อสะโพกเล็กน้อย  ควรจะมีหมอนรองเล็ก ๆ รองบริเวณเอว และเลือกเก้าอี้ที่มีขนาดและความสูงพอเหมาะให้เท้าวางราบกับพื้นพอดี  ระดับหัวเข่าควรจะอยู่สูงกว่าระดับสะโพก หากเก้าอี้สูงเกินไป ควรหาเก้าอี้เล็กรองเท้าเวลานั่ง ควรนั่งให้สุดรองก้น หลังพิงกับพนักพิง เท้าวางกับพื้นได้เต็มเท้า
การยืนหรือเดิน  การยืนควรจะยืนตัวตรงหลังไม่โก่งหรือคด  แนวติ่งหูไหล่ และข้อสะโพกควรเป็นแนวเส้นตรง อย่ายืนหลังค่อม อย่าห่อไหล่ เพราจะเมื่อยคอ ไม่ควรยืนนานเกินไป ไม่ควรใส่รองเท้าที่มีส้นสูงเกินไป หากต้องยืนนานควรมีที่พักเพื่อสลับเท้าพัก  เวลาเดินอย่าบิดไปข้างใดข้างหนึ่ง
การนั่งขับรถ  ควรเลือกที่นั่งให้ใกล้พวงมาลัย เมื่อเวลาเหยียบเบรกเข่าจะอยู่สูงกว่าสะโพก โดยเฉพาะการขับรถทางไกล ควรเลื่อนเบาะนั่งให้ใกล้เพื่อป้องกันการงอหลัง หลังส่วนล่างควรจะพิงกับเบาะ  เบาะควรจะยกด้านหน้าให้สูงกว่าด้านหลังเล็กน้อย
การยกของ อย่าก้มหลังลงโก้งโค้งยกของ ให้ย่อเข่าลงแล้วจับของ แล้วค่อยยืนขึ้นมาเพื่อรักษาแผ่นหลังให้ตรง  ถ้าหนักไปอย่ายก ให้หาคนช่วย
และยังมีข้อปฎิบัติอื่น ๆ เพื่อป้องกันโรคปวดหลัง  อาทิเช่น
1.ในการยกและหยิบจับสิ่งของหนัก   ควรหลีกเลี่ยงจากการยกของหนักโดยเฉพาะที่อยู่สูงเกินเอว  ให้ใช้การผลักหรือดึงแทน และหันหน้าเข้าสิ่งของทุกครั้งที่จะยกของและถือของหนักให้ชิดตัว  อย่าถือไกลตัวหลีกเลี่ยงการยกของที่มีน้ำหนักไม่เท่ากัน ให้หิ้วมือซ้ายขวาเท่า ๆ กันรวมทั้งเมื่อหิ้วของให้หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
2.การถูพื้น ดูดฝุ่น การขุดดิน  ควรจะถือเครื่องมือไว้ใกล้ตัว  ไม่ก้าวยาว ๆ หรือเอื้อมมือหยิบของ  และการกวาดบ้านหรือถูบ้าน ไม่ควรก้มหลังงอให้ใช้ไม้ถูพื้นแทนการเช็ดถูด้วยมือ  และควรใช้ไม้กวาดด้ามยาวเพื่อที่จะไม่ต้องก้ม
3.ควรสวมรองเท้าส้นเตี้ย  เพื่อให้แผ่นหลังอยู่ในท่าที่ดี ขณะสวมใส่รองเท้าส้นสูง เกิดการเปลี่ยนแปลงของจุดรับน้ำหนักของร่างกาย  น้ำหนักจะตกลงที่ปลายเท้ามากกว่าปกติ กล้ามเนื้อฝ่าเท้า กล้ามเนื้อขาและลำตัวต้องทำงานมากกว่าเดิม เพื่อที่จะพยายามรักษาสมดุลการทรงตัวให้ได้ที่สำคัญบริเวณหลังจะเกิดการแอ่นมาก และเป็นสาเหตุของการปวดหลังในอนาคตได้ อีกทั้งกล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวายจะหดสั้นตลอดเวลาที่ใส่รองเท้าส้นสูง ทำให้บริเวณน่องเกิดความตึงตัว หดเกร็งการไหลเวียนของเลือดไม่ดี หากจำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูงด้วยหน้าที่อย่างเช่น นางแบบ  ควรปล่อยให้เท้าได้พักอยู่ในรองเท้าแตะบ้าง บริหารเท้าด้วยในวันนั้น เพื่อช่วยให้เลือดบริเวณน่องและเท้าไหลเวียนเป็นปกติ
4.เมื่อไอหรือจาม  ให้กระชับหลังและงอหัวเข่า หรือใช้มือข้างหนึ่งปิดปาก มืออีกข้างหนึ่งกดบริเวณหลัง อย่าก้มขณะไอหรือจาม เพราะจะทำให้หมอนกระดูกเลื่อนได้
ท่าบริหารแก้ปวดหลัง
ท่าที่1  ยืนหลังชิดกำแพง แยกเท้าออกกว้างเท่ากับของช่วงไหล่ แล้วค่อย ๆ ย่อตัวลงมาจนเข่างอประมาณ 90 องศา ค้างเอาไว้นับ 1-5 แล้วจึงค่อย  ๆ เหยียดเข่ายืดตัวขึ้นไปอยู่ในท่ายืน  ทำ   5-10 ครั้ง
ท่าที่2  ยืนตัวตรง  เท้าเอวให้มืออยู่ค่อนมาทางด้านหลัง แยกขาออกเล็กน้อย เข่าเหยียดตรงแล้วแอ่นตัวมาทางด้านหลังให้มากเท่าที่จะทำได้ค้างไว้  1-2  วินาที  แล้วจึงกลับมายืนตัวตรง ทำซ้ำ  10  ครั้ง
ท่าที่3  ยืนอยู่หลังเก้าอี้พร้อมกับใช้มือทั้งสองจับพนักเก้าอี้ไว้  แล้วยกขาข้างหนึ่งขึ้นไปทางด้านหลัง โดยพยายามให้ขาเหยียดตรง  ค้างไว้ นับ   1-5  แล้วจึงวางลงช้า ๆ  ทำซ้ำข้างละ  5-10 ครั้ง
ท่าที่4  บริหารกล้ามเนื้อหลังส่วนบน โดยนั่งบนเก้าอี้ งอศอกข้างลำตัวแล้วดึงแขนทั้งสองข้างมาทางด้านหลังค้างไว้สักครู่ แล้วทำซ้ำ  5-10  ครั้ง
ท่าที่5  อยู่ในท่าคลาน  จากนั้นเลื่อนสะโพกไปทางข้างหลังและก้มส่วนคอและศีรษะลงต่ำ  ใบหน้ามองที่พื้น ค้างไว้สักครู่ หายใจออกพร้อมกับยกแผ่นหลังขึ้นคืนมาสู่ท่าเริ่มต้น  ทำ 5 ครั้ง
ท่าที่6   นอนคว่ำ แล้วยกขาข้างใดข้างหนึ่งขึ้นสูงจากพื้น 1 ฟุต  ยกค้างเอาไว้นับ   1-10  แล้วจึงวางลง ทำ 5 ครั้ง สลับไปทำกับขาอีกข้าง 5 ครั้ง
ท่าที่7  นอนคว่ำ  จากนั้นหายใจเข้าพร้อมกับใช้มือยันพื้นแล้วค่อยดันตัวขึ้น  และหายใจออกขณะลดตัวลงข้อศอกยังงออยู่เพื่อป้องกันอาการปวดหลัง (หากไม่ปวดหลังก็สามารถยกตัวขึ้นให้สูงที่สุด)  ทำ 5-10 ครั้ง
ท่าที่8  นอนราบ ตั้งเข่าขึ้น  บริหารโดยการเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องกดหลังแนบกับพื้น และยกสะโพกขึ้น  ทำ 5 ครั้ง
ท่าที่9  นอนหงาย วางแขนไว้ข้างลำตัว งอเข่าข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งวางราบ แล้วยกขาข้างที่เหยียดขึ้น ค้างไว้ให้ขาตึง นับ 1-10 ค่อย ๆ วางขาลง ทำ 5 ครั้ง จากนั้นสลับข้าง และควรหาตุ้มน้ำหนักมามัดใว้ที่ขาข้างที่จะยกเพื่อเพิ่มพละกำลังให้แก่ขาด้วยจะดียิ่งขึ้น
ท่าที่10  นอนหงาย งอเข่า วางเท้าราบบนพื้น แล้วเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ค่อย ๆ ยกศีรษะและไหล่ขึ้นจากพื้นจนสามารถเอื้อมมือไปแตะหัวเข่าทั้งสองข้างได้ ค้างเอาไว้ นับ 1-10 แล้วจึงค่อย ๆ เอาศีรษะลงมานอนท่าเดิม ทำซ้ำ 5 ครั้ง
ท่าที่11  นอนหงาย งอเข่า เท้าวางราบกับพื้น สอดมือไว้ใต้ข้อเข่าทั้งสองข้างแล้วงอสะโพก เอาเข่าเข้ามาชิดหน้าอกให้มากเท่าที่จะทำได้โดยใช้มือช่วยดึง พยายามไม่ยกศีรษะขึ้น ทำซ้ำ 5 ครั้ง
การบริหารร่างกายเหล่านี้ควรทำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ผู้ป่วยควรเลือกทำท่าบริหารเฉพาะที่ทำได้หรือตามที่แพทย์แนะนำ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของร่างกายและปัญหาของผู้ป่วยแต่ละราย





   

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

การบำบัดเท้า เพื่อป้องกันโรค

การบำบัดเท้า เพื่อป้องกันโรค



เมื่อเท้าของเราต้องทำงานหนักในตลอดทั้งวัน อย่างการเดิน การยืน การวิ่ง เป็นการเคลื่อนไหวที่ต้องมีอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน และเมื่อเท้าของเราเกิดอาการเหมื่อยล้า จะเริ่มมีอาการปวดเท้า ปวดนิ้วเท้า แต่บางครั้งก็จะเจ็บส้นเท้าไปจนถึงทั่วทั้งฝ่าเท้า อาการแบบนี้จะสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เราตื่นนอน ไปจนตลอดทั้งวัน อาการปวดเท้าเหล่านี้กำลังจะเป็นสัญญาเตือนของโรคต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อเท้าของเราอย่างมากเมื่อมีอาการปวดมากๆ ควรที่จะรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง

โรคพังผืด หรือโรครองช้ำ คืออะไร


โรคพังผืดเป็นโรคที่เกิดมาจากใต่ฝ่าเท้าเกิดการอักเสบ หรือเรียวกันว่า โรครองช้ำ สาเหตุของโรคนั้น เกิดได้จากการที่เท้าของเราเกิดรับน้ำหนักเป็นเวลานาน โดยเฉพาะผู้ที่ยื่นตลอดเวลา ประกอบกับการที่มีน้ำหนักตัวที่มาเกินไป หรือมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น การที่ใส่รองเท้าที่ไม่สบายเท้า เนื่องจากไม่มีพื้นบุบริเวณส้นเท้า การที่เท้าต้องสัมผัสกับพื้นซีเมนต์ หรือ พื้นคอนกรีต ที่ทำกิจกรรมในระหว่างวัน ทำให้เกิดอาการของเอ็นร้อยหวายยึด ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ การใช้ชีวิตประจำวันในลักษณะนี้ จะทำให้เกิดอาการของเท้าอักเสบได้ ถึงแม้ว่าอาการของโรคที่เกี่ยวกับเท้าจะสามารถพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับเท้าในทุกเพศ ทุกวัยหรือ ทุกช่วงอายุเช่นกัน

ปัจจัยของการเกิดโรคเกี่ยวกับเท้า

อาการของโรคเท้า เกิดจากลักษณะของโครงสร้างทางร่างกาย เส้นเอ็นยึดบริเวณน่อง เท้าโก่ง เท้าแบนจนเกินไป โรคข้อสันหลังอัดเสบ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการเกี่ยวกับเท้า
อาการของโรคพังผืด เป็นอาการที่เจ็บส้นเท้าลุกลามไปทั่วฝ่าเท้า จนถึงอุ้งเท้า มีลักษณะของอาการปวดแสบ ปวดจี๊ด ซึ่งอาการเหล่านี้ทำให้หลายๆ คนคิดว่าเป็นอาการปวดเท้าแบบธรรมดา เป็นไม่นานเดียวก็หาย แต่รู้หรือไม่ว่า เป็นอาการที่รุนแรงที่สุดเมื่อ มีอาการลงน้ำหนักที่ส้นเท้า เฉพาะช่วงเวลาตื่นนอน หรือการนั่งพักเป็นเวลานาน ทุกครั้งเมื่อมีการเคลื่อนไหวเพิ่มมากขึ้น จะทำให้เกิดอาการปวดบริเวณส้นเท้ามากขึ้น

วิธีการรักษาอาการของโรคพังผืด

การรักษาด้วยการใช้ยาเพื่อต้านการอักเสบของเท้าที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
การรักษาด้วยการใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อช่วยประคองอุ้งเท้าภายใน และอุปกรณ์ที่ช่วยรองรับส้นเท้า
การทำกายภาพบำบัดเท้า นิ้วเท้า และการฝึกยืดเอ็นร้อยหวาย เป็นที่ยอมรับกันว่า เป็นวิธีการรักษาเกี่ยวกับอาการของโรคที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด สามารถทำการบำบัดได้ด้วยตัวเองที่บ้านและสามารถหายได้

วิธีการบำบัดเท้า เพื่อป้องกันโรค

วิธีการบำบัดเท้า นิ้วเท้า ด้วยการแช่น้ำด้วยน้ำอุ่นอย่างน้อยประมาณ 10 นาทีต่อวัน เพื่อเป็นการผ่อนคลายเส้นเอ็นบริเวณเท้าให้มีความยืดหยุ่นขึ้น
การนวดเท้า นิ้วเท้า ด้วยการใช้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ ทำการขยี้ให้ครบทุกนิ้วเท้า แล้วดันนิ้วเท้าแต่ละนิ้ว ลงด้านล่างจนเริ่มรู้สึกตรึงๆ จากนี้ก็ปล่อยนิ้วเท้าให้เป็นปกติ ทำอย่างต่อเนื่องเป็นการบริหารนิ้วเท้าให้คลายความเหมื่อยล้าจากการที่เราใช้งานมาตลอดทั้งวัน
การเลือกรองเท้าให้มีความเหมาะสมกับเท้า ด้วยเลือกจากที่บริเวณพื้นรองเท้าควรที่จะมีปุ่มรองรับส้นเท้า เมื่อใส่รองเท้าจะทำให้เท้าของเรารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
การเดินเท้าเปล่าบนหญ้า เพื่อเป็นการกระตุ้นจุดต่างๆ และระบบประสาท เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อฝ่าเท้า เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปสู่เท้าได้ดีขึ้น
หลังจากการที่เราอาบน้ำเสร็จ ควรที่จะมีการนวดบริเวณฝ่าเท้าเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดเพื่อไปหล่อเลี้ยงฝ่าเท้า และบริเวณปลายได้เท้าดีขึ้น
การบำบัดเท้าในทุกวันเป็นการป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับเท้าได้เป็นอย่างดี ยังช่วยในการบำบัดอาการปวดของเท้าให้บรรเทาลงได้อีกด้วย ควรทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่เกิดมีอาการเกี่ยวกับเท้าของเราได้
อ้างอิงข้อมูลจาก : บทความเท้ากับการบำบัด https://frienddoctor1.wordpress.com/2015/09/30/เท้ากับการบำบัด/

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

นิ้วโป้งเท้าเก แนวทางการรักษาอาการนิ้วโป้งเท้าเก

แนวทางการรักษาอาการนิ้วโป้งเท้าเก

การรักษาสามารถทำได้ทั้งรักษาที่ต้นเหตุ และการรักษาที่ปลายเหตุ การรักษาที่ต้นเหตุจะสามารถรักษาควบคู่กับปลายเหตุได้ ควรที่จะมีการปรึกษาแพทย์ เพื่อจะได้รู้ถึงข้อดี และข้อเสียของการรักษาแต่ละแบบ
วิธีการรักษาอาการมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ


การรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด สำหรับผู้ที่มีอาการไม่มากนัก ข้อผิดรูปไม่มาก สามารถดึงหรือดันแก้ไขได้ ไม่มีข้อเสื่อม แต่สำหรับผู้ที่มีอาการมาก แต่การผ่าตัดอาจจะเป็นความเสี่ยง จะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายเพิ่มมากขึ้นได้ การพักฟื้นตัวหลังจากการผ่าตัดนั้น จะต้องใช้เวลานาน จนเป็นผลเสียต่อผู้ที่มีอาการ และที่จะพบอาการมากก็จะเป็นผู้ที่มีอายุมาก หรือผู้สูงอายุ การรักษา ด้วยวิธีนี้ ก็คือ การทำแผ่นรองในรองเท้าเฉพาะที่ บริเวณเท้าของผู้ที่มีอาการ การใส่รองเท้าที่มีความเหมาะสมกับเท้า และการใส่อุปกรณ์เพื่อช่วยในการประคบข้อนิ้วโป้งเท้า ถือเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ เนื่องจากสามารถสือหาต้นเหตุและความเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะของนิ้วโป้งเท้าเกได้
แผ่นรองเท้าเฉพาะบุคคล (Custom-made Insole) เป็นอุปกรณ์ที่สามารถช่วยในการจัดโครงสร้างของเท้าให้มีความเหมาะสมให้กลับมาอยู่ในรูปแนวที่ปกติ เพื่อไม่ให้อุ้งเท้าแบนล้ม ไม่ให้กระดูกของส้นเท้าบิดล้มเข้าทางฝั่งด้านในเท้า หรือเอ็นร้อยหวายบิดโค้งเข้าทางฝั่งด้านในได้ เนื่องจากเป็นความเสี่ยงต่ออาการของนิ้วโป้งเท้าเก

การใส่รองเท้าที่มีความเหมาะสม ก็คือการสวนรองเท้าที่มีขนาดพอดี ไม่คับจนเกินไป หัวของรองเท้ามีความกว้าง (Wide Toe Box) เมื่อเวลาสวมใส่แล้วสามารถขยับนิ้วเท้าได้ ไม่บีบรัดนิ้วเท้ามากไป พื้นรองเท้าจะต้องมีความนุ่ม ควรหลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าที่มีหัวส่วนปลายแหลมและบริเวณส้นเท้าสูงมากกว่าประมาณ 2 นิ้ว
การใส่อุปกรณ์เพื่อช่วยในการประคับประคองนิ้วโป้งเท้า ก็คือ เจลคั่นนิ้วเท้า (Gel Toe Separator) อุปกรณ์กันนิ้วโป้งเบน (Hullux Valgus Splint) จะสามารถช่วยให้อาการนิ้วโป้งเท้าเกไม่เป็นมากกว่าเดิม ทำให้เอ็นรอบข้อของนิ้วโป้งเท้ามีความหย่อน ช่วยบรรเทา ช่วยลดอาการปวดบริเวณโคนนิ้วโป้งเท้าได้ดีอีกด้วย
การบริหารเท้าสำหรับการป้องกันอาการและเป็นช่วยบรรเทาอาการเจ็บบริเวณนิ้วโป้งเท้าเก (Foot Exercise For Prevent and Relief Bunion)
การทำการบริหารเท้าจะสามารถช่วยให้มุมของนิ้วโป้งเท้า ที่เกิดอาการเกได้ช้าลง เพื่อลดอัตราความจำเป็นต่อการผ่าตัดได้ควรทำเป็นประจำทุกวัน อย่างสม่ำเสมอ หลังจากเวลาที่ถอดรองเท้าแล้ว
การเหยียดนิ้วโป้งเท้า ด้วยการใช้มือดันนิ้วโป้งเท้า ให้อยู่ในแนวตรงเรียงตัวแนวเดียวกับนิ้วอื่นๆ
การเหนียดนิ้วเท้าทั้งหมดที่เกร็งแล้วชี้ไปในทิศทางเดียวกันเป็นเวลาประมาณ 10 วินาที จากนั้นก็สลับด้วยการงอนิ้วเท้าทั้งหมดค้างไว้ประมาณ 10 วินาที ทำสลับกันไปมา ซ้ำๆหลายๆ ครั้ง
การงอนิ้วเท้าทั้งหมด กดนิ้วเท้าที่งอกับพื้นค้างไว้ประมาณ 10 วินาที จากนั้นก็ปล่อยยกเท้าขึ้น ทำแบบเดิมซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง
ฝึกการหยิดด้วยนิ้วเท้า ด้วยการใช้นิ้วเท้าหยิบสิ่งของต่างๆ วางลง และหยิบขึ้นมา ทำหลายๆ ครั้งซ้ำๆ ใช้ผ้าพันนิ้วโป้งเท้าให้อยู่ในมุมที่เป็นปกติเหมือนนิ้วอื่นๆ เป็นการปรับตำแหน่งของนิ้วเท้า ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์

การรักษาด้วยการผ่าตัด การรักษาด้วยวิธีนี้ เฉพาะกับผู้ที่มีอาการปวดข้อผิดรูปมาก มีภาวะของกระดูกเสื่อมร่วมด้วย ผู้ที่มีอายุน้อย และมีการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดได้อย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงหลังจากการผ่าตัดแล้ว ผู้ที่มีอายุมากๆ ไม่ควรที่จะรับการผ่าตัด ควรที่จะรักษาแบบการทำกายภาพบำบัดเท้า นิ้วเท้าก่อน จะได้ไม่ต้องมีความเสี่ยงที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้
อ้างอิงข้อมูลจาก : http://www.icfoot.com/index.php?lite=article&qid=42107695

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

โรคภาวะนิ้วโป้งเท้าเก อาการของโรคภาวะนิ้วโป้งเท้าเก (Hallux Valgus)

อาการของโรคภาวะนิ้วโป้งเท้าเก (Hallux Valgus)

อาการที่เกิดบริเวณนิ้วโป้งเท้า ที่เป็นนิ้วหลักของเท้าที่คงเป็นทางในการลงน้ำหนักของเท้า และเป็นแรงส่งก่อนที่เท้าจะได้ก้าวพ้นพื้น หากมีอาการบริเวณของนิ้วโป้งเริ่มเก หรือมีอาการบิดโค้งเข้าหานิ้วชี้ จะสามารถพบได้ในแนวทางการเดินของเท้าที่เริ่มมีความผิดปกติ ตาปลาหรือหนังแข็งมักเกิดขึ้นในบริเวณด้านข้างของขอบนิ้วโป้งที่เบนมา ทั้งยังมีโคนนิ้วโป้งนูน โค้งออกมาจนสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน มีอาการปวดในเวลาต่อมาในเวลาที่มีการเดินที่โคนนิ้วโป้งเท้าที่โค้งนูนได้ จะมีปัญหาในการเดิน การลงน้ำหนัก และการสวมใส่รองเท้า
ลักษณะของอาการและสาเหตุที่เกิดอาการ
นิ้วโป้งเท้ามีอาการบิดเอนเข้าหานิ้วชี้
โคนนิ้วโป้งเท้าบิดนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน
ปลายเท้าและเท้าส่วนที่อยู่ด้านหน้ามีลักษณะแบนกว้างขึ้น
ในกรณีที่เป็นมากๆ จะเห็นได้ว่าบริเวณปลายนิ้วชี้ หรือซ้อนใต้นิ้วชี้ และบริเวณของนิ้วอื่นๆ
เมื่อนิ้วโป้งเท้าเกิดมีอาการเอียงไปทำให้แรงดึงในเส้นของเอ็นส่วนต่างๆ ของนิ้วเท้าที่มีความผิดแนวไป ก็จะเป็นปัจจัยส่งเสริมทำให้เกิดอาการผิดรูปมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเกิดการเดิน แรงที่กระทำต่อข้อนิ้วเท้าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปโดยตำแหน่งจะมีการเคลื่อนไปทางด้านนอก ทำให้มีอาการอักเสบบริเวณของข้อโคนนิ้วโป้งเท้าได้

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการของนิ้วโป้งเท้าเก คือ

เกิดจากกรรมพันธุ์ ที่ได้รับมาจากพ่อแม่ หรือว่ามาจากญาติพี่น้องที่เคยมีประวัติของเกี่ยวกับเท้าในลักษณะแบบนี้ อาจเกิดจากโครงสร้างผิดปกติ อย่างเช่น อาการของเท้าแบน อาการของกระดูกส้นเท้ามีอาการบิดเอนเข้าด้านใน หรือเอ็นร้อยหวายบิดโค้งเข้าด้านใน ทำให้เกิดแนวแรงในการเดินมีการเบี่ยงน้ำหนักตัวลงมาทางฝั่งของด้านในเท้ามากกว่าปกติ จะทำให้เกิดแรงเครียดต่อเอ็นและกล้ามเนื้อบริเวณนั้นได้ ทำให้บริเวณรอบนิ้วโป้งและโคนนิ้วโป้ง ทำงานหนักกว่าเดิม การใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสมกับเท้า อย่างเช่น การที่สวมรองเท้าที่บีบรัดบริเวณของหน้าเท้า หัวรองเท้ามีทรงที่แหลมมาก ทำให้เป็นสาเหตุของอาการเท้าคด เท้าเกได้ สามารถพบได้บ่อยกับผู้หญิง ที่อยู่ในช่วงของวัยกลางคน เนื่องจากมีประวัติเกี่ยวกับการสวนรองเท้าที่ไม่เหมาะสมกับเท้า หรือไม่ถูกสุขลักษณะ ผู้ที่มีโรคความผิดปกติของบริเวณกล้ามเนื้อและบริเวณเส้นเอ็น หรือมีการอักเสยบริเวณข้อ กับผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรัง (Rheumatoid Arthritis) ทำให้เกิดอาการอักเสบ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นที่มีความผิดปกติ ผิดรูปร่าง และจะค่อยๆ เป็นไปเรื่อยๆ พร้อมกับมีอาการปวดบริเวณของโคนนิ้วโป้ง อย่างมากอีกด้วย


 อ้างอิงข้อมูลจาก : http://www.icfoot.com/index.php?lite=article&qid=42107695

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

โรครองช้ำส้นเท้า รักษาด้วยวิธีไหน

โรครองช้ำส้นเท้า รักษาด้วยวิธีไหน



การรักษาอาการของโรครองช้ำส้นเท้านั้น สามารถทำการรักษาด้วย 2 แบบ ก็คือ การรักษาเบื้องต้นเพื่อเป็นการบรรเทาอาการปวดในทันที และการรักษาที่ต้นเหตุถาวรในระยะยาว การรรักษาทั้ง 2 แบบนี้แล้วแต่แพทย์จะพิจารณาเกี่ยวกับอาการและสาเหตุของโรครองช้ำส้นเท้าว่าต้องได้รับการรักษาแบบใดถึงจะเหมาะสม และเราอย่างให้ได้รับการรักษาแบบที่ 2 คือการรักษาที่ต้นเหตุของอาการโรครองช้ำส้นเท้าอย่างถาวรจะดีกว่าและจะไม่ต้องมีอาการรองช้ำส้นเท้าเกิดมาอีกด้วย
การรักษาสามารถทำได้ 2 แบบคือ

การรักษาแบบเบื้องต้น เพื่อเป็นการบรรเทาอาการปวดได้ในทันที ด้วยการแช่เท้าลงในน้ำอุ่น การรับประทานยาเพื่อต้านอาการอักเสบ (NSAIDs) การฉีดยาเพื่อแก้อาการปวดที่บริเวณส่วนของส้นเท้า ตรงบริเวณจุดกดแล้วรู้สึกเจ็บ สามารถลดอาการปวดได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ควรที่จะทำมากกว่า 2 – 3 ครั้งต่อปี เพราะเป็นความเสี่ยงที่ทำให้เอ็นฉีกขาดได้ การทำกายภาพบำบัดเพื่อช่วยลดอาการปวดและอาการอักเสบ ด้วยการใช้ความเย็นเข้าประคบ การทำอัลตราซาวน์
การรักษาที่ต้นเหตุถาวร ในระยะยาวนั้น เป็นการรักษาที่มีความจำเป็นอย่างมากและแนะนำให้ทำการรักษาด้วยการลดน้ำหนักตัวในผู้ที่มีน้ำหนักตัวที่มากจนเกินไป การทำกายภาพบำบัด ด้วยการยืดกล้ามเนื้อ บริเวณเอ็นร้อยหวาย และส่วนของเท้า ด้วยการทำอย่างน้อย 2 รอบต่อวัน ประมาณ 10 – 15 ครั้งต่อรอบ
กายภาพบำบัด ด้วยการยืดกล้ามเนื้อ มีดังนี้

ยืนหันหน้าเข้าหากำแพง โดยการใช้มือยันกำแพงเอาไว้ วางเท้าที่ต้องการทำการยืดเอ็นร้อยหวายไว้ข้างหลัง ทำการย่อเข่าด้านหน้าลงมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขาด้านหลังต้องเหยียดตึง ส้นเท้าติดกับพื้นตลอดเวลา การย่อลงต้องรู้สึกว่าบริเวณน่องมีความตึง แล้วคงที่ไว้ประมาณ 10 วินาที เท่ากับ 1 ครั้ง
นั่งเหยียดขาข้างที่มีความต้องการยืดเอ็นร้อยหวาย ด้วยการใช้ผ้าคล้องที่บริเวณส่วนปลายเท้าเอาไว้ แล้วทำการดึงเข้ามาหาตัว จนเราเริ่มรู้สึกว่าน่องบริเวณด้านหลังเริ่มตึง ทำค้างไว้ประมาณ 10 วินาที เท่ากับ 1 ครั้ง
ยืนบนขอบของพื้นที่มีความต่างระดับ ด้วยการโน้มตัวไปข้างหน้า จนมีความรู้สึกว่าบริเวณน่องด้านหลังมีความตึง ทำค้างไว้ประมาณ 10 วินาที่ เท่ากับ 1 ครั้ง หากไม่สะดวกกับการยืนบนพื้นต่างระดับ แนะนำให้ใช้อุปกรณ์ช่วยทรงกระบอกกลมๆ อย่างเช่น ขวดน้ำเปล่า และลูกบอล ใช้เท้าคลึงกับอุปกรณ์นั้นๆ แบบไปจนสุดมุมเท้า ทำให้มีความรู้สึกว่าบริเวณกล้ามเนื้อน่องเกิดการเหยียดตึง
การทำแผ่นรองใต้เท้าที่ทำมาเป็นพิเศษ สำหรับบางคน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับโครงสร้างของเท้าที่มีความผิดปกติ และสามารถลดการกระแทนในขณะเดินได้อีกด้วย
อ้างอิงข้อมูลจาก : http://www.icfoot.com/articles/42107904/โรคพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ-ปวดส้นเท้า.html

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

โรครองช้ำส้นเท้า อาการโรครองช้ำส้นเท้า เกิดได้อย่างไร

อาการโรครองช้ำส้นเท้า เกิดได้อย่างไร

อาการของโรครองช้ำส้นเท้าสามารถเกิดมาจากหลายสาเหตุ หรือมีปัจจัยที่เป็นตัวการที่ทำให้เกิดการอักเสบของส้นเท้า จนกลายเป็นพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ การที่เท้าและส้นเท้าได้รับน้ำหนักเป็นเวลานานๆ ทำให้เอ็นบริเวณฝ่าเท้ารับน้ำหนักมาก จะพบได้บ่อยๆ กับผู้ที่ต้องยืนเป็นเวลานานๆ ตลอดทั้งวัน อย่างเช่นผู้ที่ทำงานด้วยการยืนทำงานทั้งวันประมาณ 8 ชั่วโมงหรืออาจจะนานกว่านั้น ทำให้เกิดการอักเสบของฝ่าเท้าได้ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวที่มากจนเกินไปทำให้เกิดพังผืดบริเวณฝ่าเท้า จนเกิดการอักเสบ การสวนรองเท้าที่ไม่มีความเหมาะสม อย่างเช่น การสวมใส่รองเท้าที่ไม่มีพื้นบุรองส้นเท้า ลักษณะของการทำกิจกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิม อย่างเช่น การวิ่งที่ใช้ระยะทางเพิ่มขึ้น การดินหรือวิ่งบนพื้นผิวที่ต่างจากเดิมหรือบนพื้นผิวที่แข็ง (พื้นคอนกรีตและพื้นปูนซีเมนต์) เอ็นร้อยหวายยึด ทำให้บริเวณส้นเท้าไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างเป็นปกติ โรคข้อเกิดการอักเสบรูมาตอยด์ หรือข้อส้นเท้าหลังเกิดการอักเสบ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบได้ และปัจจัยที่เกี่ยวกับโครงสร้างทางร่างกาย อย่างเช่นเท้าแบนเกินไป อุ้งเท้าโก่งมากเกินไป หรือเส้นเอ็นเกิดยึดบริเวณน่องทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวบริเวณข้อเท้าได้อย่างเป็นปกติ

สาเหตุของโรครองช้ำเท้า

เกิดจากอาการอักเสบที่บริเวณฝ่าเท้าเป็นพังผืด (Plantar Fascia) ต่อเนื่องจากอาการบาดเจ็บทีละน้อยของพังผืดบริเวณจุดเกาะที่บริเวณของกระดูกส้นเท้า ได้แก่
ผู้ที่มีอุ้งเท้าโก่งมากกว่าปกติ จะทำให้ในเวลาเดินกระแทกบริเวณส้นเท้ามากกว่าปกติ และมักจะสามารถพบอาการร่วมกับเอ็นร้อยหวายมีอาการตึง ส่งผลให้บริเวณกล้ามเนื้อและบริเวนเส้นเอ็นการขาดยืดหยุ่นที่ดีได้ เนื่องมาจากอาการตึงตัวมากจนเกินไป การกระแทกพื้นในการเดินเต็มที่นั้น ทำให้เอ็นที่จุดยึดเกาะเกิดอาการฉีกขาดทีละเล็กทีละน้อย เป็นผลให้เกิดการบาดเจ็บของบริเวณส้นเท้าได้
ผู้ที่มีอุ้งเท้าแบนมากจนเกินไป ทำให้เอ็นและพังผืดใต้ฝ่าเท้าเกิดการยืดมากกว่าปกติ ส่งผลให้เอ็นเกิดอาการหย่อนยายและไม่สามารถรับน้ำหนัก ที่เกิดมาจากแรงกระแทกได้ดีนัก ผู้ที่มีเท้าแบนจะมีแนวทางการเดินที่มีความผิดปกติ ด้วยการเดินลงน้ำหนักข้างใดข้างหนึ่งมากกว่าปกติและบริเวณอุ้งเท้าที่แบนราบลงทำให้บริเวณจุดเกาะเอ็นที่บริเวณส้นเท้า ต้องมีการรับน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น จึงอาจเกิดการฉีกขาดทีละเล็กทีละน้อยได้ ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บบริเวณส้นเท้าได้
ผู้ที่มีนำหนักตัวมากกว่าปกติ เป็นเหตุให้เอ็นและพังผืดเกิดการฉีกขาดได้ง่ายและเกิดการบาดเจ้บ เนื่องจากต้องรับน้ำนหนักที่มีมากกว่าเดิม

ผู้ที่ใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม ผู้ที่ต้องใส่รองเท้าส้นสูงอยู่เป็นประจำ ทำให้เกิดน้ำหนักในเวลาเดินที่บริเวณส้นเท้ามีมากกว่าปกติ ผู้ที่สวมรองเท้าที่มีพื้นรองเท้าแข็งมากจนเกินไป ทำให้เกิดแรงกระแทกกลับในขณะเดินไปที่บริเวณส้นเท้าเพิ่มขึ้นมากกว่าพื้นรองเท้าที่มีความยืดหยุ่มตัวดี ผู้ที่ใส่รองเท้าแบนราบเรียบ ทำให้กระดูกส่วนส้นเท้าเกิดการกระแทกกับพื้นมากในเวลาเดิน เพราะว่ารองเท้าไม่ได้ช่วยในการถ่ายน้ำหนักตัวในการเดินและช่วยในการลดการกระแทกของส้นเท้าได้ และผู้ที่สวมรองเท้าเล็กมากจนเกินไป ทำให้กระดูกและเอ็นใต้ฝ่าเทาไม่สามารถยืดขยายได้อย่างเต็มที่ ทำให้เกิดการบีบตัวและเกิดการบาดเจ็บได้

อ้างอิงข้อมูลจาก : http://www.icfoot.com/articles/42107904/โรคพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ-ปวดส้นเท้า.html




วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

อาการรองช้ำส้นเท้า โรคอาการรองช้ำส้นเท้า คืออะไร

โรคอาการรองช้ำส้นเท้า คืออะไร

โรครองช้ำส้นเท้า เป็นอาการที่จะเกิดขึ้นบริเวณของส้นเท้าลามไปทั่วฝ่าเท้า จะมีอาการปวดมากที่สุดเมื่อเวลาลุกเดินก้าวแรก หลังจากการตื่นนอน หรือหลังจากการที่ได้นั่งพักเป็นเวลานานๆ แล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้แหละเป็นสัญญาเตือนเกี่ยวกับโรคพังผืดใต้ฝ่าเท้าเกิดการอักเสบแล้ว โรคพังผืดใต้ฝ่าเท้าเกิดการอักเสบ หรือมีชื่อเรียกกันว่า “โรครองช้ำ” เป็นโรคที่สามารถพบได้บ่อย และจะเป็นกับผู้ที่มีอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป

การแสดงอาการของโรครองช้ำส้นเท้า มีดังนี้

อาการเริ่มแรกจะมีอาการที่ปวดบริเวณส่วนของส้นเท้า อาการปวดส้นเท้า จะมีจุดที่กดแล้วเกิดอาการเจ็บและปวด ในบริเวณของส้นเท้าฝั่งทางด้านในใกล้ๆ กับอุ้งเท้า การปวดส้นเท้าและมีอาการบวม ปวดชาไปทั่วทั้งส้นเท้า อาการปวดที่ส้นเท้า แบบรู้สึกปวดจี๊ด เหมือนกับมีหนองอยู่ที่บริเวณส้นเท้า
การแสดงอาการของโรครองช้ำส้นเท้า ไม่สามารถที่จะลงน้ำหนักที่บริเวณส้นเท้า และบริเวณเท้าได้อย่างเต็มที่นักในระหว่างการเดิน จะมีอาการปวดบริเวณส้นเท้าจะเป็นมากในช่วงของการตื่นนอนตอนเช้า เมื่อเวลาลงจากเตียงในก้าวแรกนั้นจะมีอาการปวดส้นเท้าอย่างมาก แต่เมื่อได้ออกเดินในระยะหนึ่งอาการปวดก็จะดีขึ้น มีอาการบวมหรือมีรอยแดงของผิวหนังบริเวณใต้ฝ่าเท้าด้วย และจะมีอาการปวดร้าวตามแนวของพังผืดใต้ฝ่าเท้าลามไปจนถึงจุดที่กดแล้วรู้สึกเจ็บ เมื่อกระดกนิ้วเท้าขึ้นและส้นเท้าจะมีอาการเจ็บอย่างมาก

อาการหลักๆ ของโรคพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ คือ อาการเจ็บที่บริเวณส่วนของส้นเท้า และจะลามไปยังฝ่าเท้าโดยทั่วนั้นเอง ในบางครั้งอาจจะเกิดอาการลามไปยังอุ้งเท้าด้วย ลักษณะของอาการเจ็บจะเป็นแบบอาการที่ปวดจี๊ดขึ้นมาและอาการปวดแสบ โดยส่วนมากอาการเจ็บปวดจะค่อยเกิดขึ้นทีละน้อย จนทำให้รู้สึกว่าอาการปวดจะหายไป แต่ก็อาจจะกลับมากปวดมากกว่าเดิมอีกได้ อาการปวดที่มีความรุนแรงที่สุด ก็เมื่อมีการเริ่มลงน้ำหนักที่ส่วนของส้นเท้า การที่ลงน้ำหนักที่บริเวณส้นเท้าในก้าวแรก อย่างเช่นการที่เราลุกเดินก้าวแรงหลังจากการตื่นนอนในตอนเช้า หรือหลังจากที่เรานั่งพักเป็นเวลานานๆ
นอกจากนี้ อาการของโรครองช้ำส้นเท้านั้น อาจจะมีอาการปวดอย่างมาก ขึ้นเรื่อยๆได้ ในช่วงเวลาระหว่างวัน และหลังจากการที่เท้าต้องรับน้ำหนักที่มากเกินไปเป็นเวลานานๆ อย่างเช่น การยืน การเดินเป็นเวลานานๆ และเมื่อมีการเคลื่อนไหวมากเกินไป จะทำให้มีอาการเจ็บมากขึ้นตามไปด้วย
อ้างอิงข้อมูลจาก : บทความจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

https://www.bumrungrad.com/healthspot/february-2015/plantar-fasciitis

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

อาการเท้าตก กายภาพบำบัดของอาการเท้าตก ทำอย่างไร

กายภาพบำบัดของอาการเท้าตก ทำอย่างไร

อาการของคนเท้าตก คือ การที่เดินลากเท้า ยกเท้าไม่พ้นพื้น ภาวะเท้าตก (Foot Drop) เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวอย่างมาก อาจเกิดกับคุณแล้วก็ได้ อาการของเท้าตก เกิดจากการที่ผู้มีภาวะของการยกเท้าส่วนหน้า (ส่วนที่เป็นนิ้วเท้า) ขึ้นอย่างยากลำบาก ทำให้ในเวลาเดิน จะเป็นการเดินแบบลากเท้า เฉพาะเวลาที่เดินขึ้นบันได อาการเดินผิดปกติ ไม่ใช่โรค และเป็นภาวะที่มีความผิดปกติ ที่เกิดจากโรคต่างๆ
ภาวะเท้าตกนั้น เป็นภาวะที่สามารถพบได้เรื่อยๆ ไม่ถึงกับบ่อยมาก สามารถเกิดได้กับทุกวัย แต่พบมากที่สุดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอยู่ประมาณ 2 – 3 เท่า ส่วนมากจะเกิดกับเท้าข้างเดียว น้อยมากที่จะเกิดกับทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน ไม่ว่าเท้าขวาหรือเท้าซ้ายก็มีโอกาสที่เป็นใกล้เคียงกัน การที่เรามีอาการของเท้าตก ไม่ต้องตกใจ แต่ควรที่จะไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่าถูกต้องจะเป็นการดีกว่ามานั่งกังวลอยู่ที่บ้าน

ภาวะของเท้าตกนั้น มีความผิดปกติที่อวัยวะส่วนใด

ความผิดปกติที่มีผลทำให้เกิดอาการเท้าตก จะพบอยู่ที่บริเวณของเส้นประสาทพีโรเนียล (Pero neal nerve) จะอยู่บริวณด้านข้างของกระดูกข้อเข่าทางด้านหน้า สาเหตุที่พบบ่อย เกิดมาจากความผิดปกติของ สมอง ไขสันหลัง กล้ามเนื้อของขา และเส้นประสาทส่วนปลายขาก็เป็นไปได้ ภาวะของเท้าตกจะมีอาการอ่อนแรงบริเวณกล้ามเนื้อส่วนใกล้เคียง หรืออากาผิดปกติอื่นร่วมอยู่ด้วย
เส้นประสาทพีโรเนียล ก็คือเส้นประสาทที่ย่อยของเส้นประสาทขนาดใหญ่ของไขสันหลัง (Spinal Nerve) ที่มีชื่อเรียกว่า Sacral nerve มีหน้าที่ใยการควบคุมการทำงานและการรับรู้ความรู้สึกของกล้ามเนื้อด้านล่างข้างหลัง กล้ามเนื้อบริเวณสะโพก บริเวณก้น บริเวณขา และบริเวณเท้า เส้นประสาทพีโรเนียลจะเป็นตัวควบคุมการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ ขา ข้อเท้า เท้าและนิ้วเท้า
เมื่อมีอาการของโรคเท้าตก ควรจะไปปรึกษาแพทย์เมื่อใด
เมื่อเริ่มมีความผิดปกติ เกี่ยวกับเท้าหรือว่าการเดินของเรามีความผิดปกติกว่าเดิม ควรที่จะรีบไปปรึกษาแพทย์โดยด่วน เมื่อเราสังเกตอาการของร่างกายบริเวณส่วนเท้า มีอาการของกระดูกข้อเท้ายกขึ้นลำบาก เพียงแค่เล็กน้อย หรือมีอาการชาบริเวณเท้า นิ้วเท้า และเริ่มมีอาการมาขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะไม่มีอาการอ่อนแรงของขาและเท้าตามมาด้วยก็ตาม ไม่ควรที่จะรอให้มีอาการที่มีความรุนแรงขึ้น แล้วค่อยไปพบแพทย์ อาจจะทำให้การรักษายากขึ้น และอาจจะไม่หายก็ได้เพราะฉนั้น ไม่ความที่จะปล่อยเอาไว้นานเมื่อเห็นความผิดปกติของร่างกาย ควรจะไปปรึกษาแพทย์เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดอันตรายต่อร่างกายของเราได้

อ้างอิงข้อมูลจาก : บทความจาก หาหมอ.com http://haamor.com/th/ภาวะเท้าตก/

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

การบำบัดอาการเท้าแบนควรทำอย่างไร

อาการของเท้าแบน มีลักษณะเกี่ยวกับสภาพของรูปร่างของเท้าที่มีการทรุดลงของ Arch of the foot ทำให้ส่วนที่อุ้งเท้าสัมผัสกับพื้น พบในสองกลุ่มของช่วงอายุประมาณ อายุน้อย ที่มีอายุประมาณ 30 ปี จะมีสาเหตุมาเกิดจาก Systemic Inflammatory Disease หรือ Repetitive Movement ในนักกีฬา และอีกกลุ่มที่มีอายุประมาณ 55 ปี มีสาเหตุมาจาก Long-slanging micro trauma หรือ Overuse Syndrome
สาเหตุของการเกิดโรค

เกิดจากการบาดเจ็บที่มีการใช้งานเกินกว่าปกติ (Overuse Injury) จากแรงกระทำ แรงกดที่บริเวณการกระทำอย่างต่อเนื่อง ของกล้ามเนื้อ Tibialis Posterior (Repetitive Stress) เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดขบวนการการอักเสบ (Inflammatory Response)
เกิดจากการอักเสบของ Tendon อื่นๆ อย่างเช่น โรค Rheumatoid Arthritis, Ankylosing Spondylitis, Reiter Syndrome และ Psoriasis
ปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงของการเกิดโรค
ภาวะของความอ้วน วัยกลางคน ที่เป็นเพศหญิง เกี่ยวกับความดันเลือดสูง โรคเบาหวาน ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดด้านในร่างกายมากก่อน โรคพันธุกรรม โรคSeronegative Spondyloartropathies เคยได้ Systemic หรือ Local Cotticosteroid
อาการของโรคเท้าแบน

อาการที่ปวดตามบริเวณด้านในของข้อเท้า และ Arch of foot และยังมีอาการปวดบริเวณด้านนอกของข้อเท้าด้วย ซึ่งเกิดจากข้อเท้าเกิดการอักเสบ จะมีอาการบวมด้านในของข้อเท้าตามแนวของเส้นเอ็น ไม่สามารถที่จะยืนหรือการเดินเป็นเวลานานๆได้ เมื่อไปพบแพทย์ จะตรวจร่างกาย เปรียบเทียบเท้าทั้ง 2 ข้าง เสมอ การตรวจดูแรงของกล้ามเนื้อ การตรวจการยืนด้วยปลายเท้า เพื่อจะได้ดูการทำงานของ Tibialis Posterior ถ้าผู้ที่มีอาการของเท้าแบนจะไม่สามารถยืนบนปลายเท้าได้
การรักษาอาการของเท้าแบน
การรักษาด้วยการใช้ยา อย่างเช่น NSAIDs เพื่อเป็นการช่วยให้อาการของเท้าแบนบรรเทาลงและลดอาการปวดได้
การทำกายภาพบำบัด Iontophoresis เป็นการใช้คลื่น Ultrasound เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลดอาการอักเสบได้ Stretching และ Strengthening Exercise ด้วยการทำในบริเวณของเอ็นร้อยหวาย และเส้นเอ็นในบริเวณของข้อเท้า
Orthotic Brace และ Cast
การเลือกสวมใส่รองเท้าที่มีความเหมาะสมกับเท้าที่มีการหนุนที่ฝ่าเท้า (Arch Support)
เมื่อมาพบแพทย์จะได้รับการรักษา ดังนี้
การทำกายภาพบำบัดเพื่อเป็นการลดอาการปวด และการอักเสบของโรคเฉพาะที่ได้ อย่างเช่น การทำอัลตราซาวน์
การปรับรองเท้าให้มีความเหมาะสมกับสภาพของเท้า ด้วยการใช้อุปกรณ์ เสริมเพื่อช่วยให้ส้นเท้าไม่เกิดการอักเสบ ควรใช้วัสดุที่มีความนุ่มและยืดหยุ่น
ถ้าการรักษาทุกอย่างทำให้อาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการที่แย่ลงแพทย์จะพิจารณาถึงการรักษา ด้วยการส่งกล้องผ่าตัดต่อไป
  อ้างอิงข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/292229


โรคเท้าแบน คืออะไร

            โรคเท้าแบน (Flat Feet) เป็นปัญหาของเท้าที่สามารถพบได้บ่อยๆ ในบางคนก็อาจไม่เคยได้ยิน หรือมีความแปลกใจ ว่าอาการของโรคเท้าแบนมีความรุนแรงมากขนาดไหนต่อร่างกาย หรือเป็นโรคที่สามารถติดต่อได้หรือไม่ เพราะเหตุนี้ ควรที่จะรู้จักวิธีการป้องกันและการรักษาอาการของโรคนี้กัน
อาการของเท้าแบนไม่ใช่โรค แต่เป็นภาวะที่เกิดบริเวณของฝ่าเท้าที่ไม่มีอุ้งเท้า เป็นปัญหาของเท้าที่สามารถพบได้บ่อย เป็นปัญหาหนึ่ง ที่เกิดมาจากความผิดปกติของรูปร่างเท้า ที่บริเวณส่วนโค้งในเท้าหรือบริเวณที่เป็นอุ้งเท้า โดยปกติจะเป็นส่วนโค้งเว้าเข้าไปด้านใน แต่ในผู้ที่มีเท้าแบน ส่วนที่โค้งจะมีน้อยกว่าปกติ อาจจแบนราบเป็นเส้นตรง หรืออาจเห็นโค้งนูนยื่นออกมาเพียงเล็กน้อย เราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มด้วยกันคือ

  • เท้าแบนแบบที่มีความยืดหยุ่น (Flexible Flat Feet) สามารถแยกได้ง่ายๆ คือ ให้ยกเท้าขึ้นจากพื้น ถ้าเป็นแบบยืดหยุ่นจะสามารถพบได้ว่า มีอุ้งเท้าได้เหมือนเดิม แต่เมื่อยืนลงน้ำหนัก ส่วนโค้งนั้นก็จะลดลงหรือว่าหายไป มีลักษณะอย่างนี้ ที่สามารถพบได้บ่อยที่สุด ก็คือประมาณ 20% ของคนปกติทั่วไป บางคนที่อาการบาดเจ็บบริเวณเท้า ข้อเท้า ส่วนเอ็นร้อยหวาย สังเกตได้ว่ารองเท้าสึกบริเวณด้านในมากกว่าด้านนอก เนื่องจากการที่น้ำหนักของบริเวณฝ่าเท้าจะลงด้านในมากกว่า พบได้ตอนโต และในวัยรุ่นที่มีน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น แต่สาเหตุของอาการที่ชัดเจน ยังไม่สามารถพบได้ แต่จะพบว่ามีความสัมพันธุกับพันธุกรรม ก็คือ พบในญาติพี่น้อง ที่มีลักษณะของเท้าแบนเหมือนกันนั้นเอง
  • เท้าแบนแบบยึดติด (Rigid Flat Feet) จะสามารถพบได้น้อยมาก วิธีการสังเกตอาการเท้าแบนแบบยึดติด ก็คือ ไม่ว่าจะลงนน้ำหนักหรือไม่ก็ตาม เท้าก็จะแข็งแบนผิดรูปในลักษณะนั้นไปตลอด วิธีการรักษา จะมุ่งเน้นเรื่องของการป้องกันไม่ให้เกิดการผิดปกติด้วยการ ควบคุมน้ำหนักตัว ปรับกิจกรรมต่างๆ การใช้อุปกรณ์ที่ใช้ในการเสริมในรองเท้า ทำการกายภาพบำบัดร่วมด้วย ทั้งนั้ก็ขึ้นอยู่กับอาการของเท้าและความรุนแรงของอาการที่มีต่อร่างกาย

อุปกรณ์ทีช่วยในการส่งเสริม และการปรับสภาพเท้
        รองเท้าจะต้องมีความเหมาะสม กับรูปร่างของเท้า ควรเป็นรองเท้าหุ้มส้น อย่างเช่น รองเท้าคัตชู หรือรองเท้ากีฬา ส่วนด้านหน้าของรองเท้าควรมีความกว้างพอสมควร ละควรหลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าแตะหรือรองเท้าที่ใช้สวม
การใส่พื้นรองเท้า ที่เรียกว่า “Insole” ที่มีการเสริมบริเวณอุ้งเท้าด้านใน (Medel Arch Support) ควรที่จะปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเลือกใช้แผ่นรองเท้า และบางคนอาจซื้อ “Insole” มาแบบสำเร็จรูป ใช้ก็ได้ เมื่อมภาวะของอาการเท้า
การทำกายภาพบำบัด ด้วยการสร้างความแข็งแรงของบริเวณของอุ้งเท้า อย่างเช่นการเดิน หรือยืนบนปลายเท้า โดยที่บริเวณของส้นเท้าไม่แตะพื้นเลย ควรใช้เวลาประมาณ 5 นาทีของแต่ละวัน และทำทุกๆ วันด้วย การแก้ไขภาวะของเท้าแบนไม่ใช่เรื่องยากอะไร และก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่สามารถเห็นผลในระยะสั้นๆ ได้ จะต้องขยัน และมีความอดทนในการแก้ไขปัญหาของอาการเท้าแบนนี้ เพื่อไม่ทำให้เกิดปัญหากับเท้า และส้นเท้า เมื่อเข้าสู่ช่วงของผู้สูงอายุได้
คล็ดลับการรักษาอาการปวดส้นเท้า สามารถทำให้ด้วยวิธีที่ง่าย คือ
      การลดกิจกรรมที่ทำให้เกิดอาการปวด หรือกิจกรรมที่จะต้องใช้การลงน้ำหนักลงบริเวณเท้ามาก อย่างเช่น การยืนหรือการเดินนาน ๆ ควรที่จะออกกำลังกายแบบที่ไม่ต้องมีการลงน้ำหนักมากควบคู่ไป อย่างการว่ายน้ำก็สามารถช่วยได้ การใส่รองเท้าที่มีความเหมาะสม มีขนาดที่พอดี มีพื้นรองเท้าที่นุ่ม และมีแผ่นรองเท้าเพื่อรับอุ้งเท้า ควรใช้แผ่นรองที่นุ่มๆ รองเท้าเพื่อการลดอาการปวดส้นเท้า และการใช้แผ่นยางสำหรับรองส้นเท้า โดยเฉพาะก็ได้เช่นกัน
อ้างอิงข้อมูลจาก : Kapook.com http://health.kapook.com/view20295.html

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561


อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท และวิธีการรักษา


          ความเจ็บปวดของร่างกายคนเรา ไม่ว่าจะส่วนใดใดก็ตาม สร้างปัญหาให้การใช้ชีวิตประจำวัน ได้ทั้งนั้น  ปวดฟัน ปวดศีรษะ  ปวดเมื่อยตามร่างกาย เรียกว่ามันทรมานจนไม่อยากใช้ชีวิต ไม่อยากไปไหนเลย อยากจะนอน อยากจะทำทุกวิธีให้หายปวดลงได้ มันไม่มีความสุขเลย 
           อาการปวดหลังก็เช่นกัน ไม่เกิดกับตนเองจะไม่มีใครทราบเลยว่ามันทรมานเพียงใด และมันทำให้คนที่ป่วยเริ่มคิดไปต่างๆนานาด้วย ว่า ฉันจะพิการไหม  ฉันจะช่วยเหลือตัวเองได้ไหม ฉันจะรับรู้ความรู้สึกได้เหมือนปกติไหม ค่ารักษาจะมากแค่ไหน  จะรักษาหายไหม  คนรอบข้างฉันจะเฝ้าดูแลฉันหลังการรักษาไหมหากฉันต้องพิการ หรือ ทุพลภาพ  พรั่งพลูเข้ามาในใจ อย่างแน่นอนที่สุด
  อย่างไรก็ตาม ความเข้มแข็ง จิตใจที่แน่วแน่ที่จะสู้กับความจริง ที่เราต้องเป็นแบบนี้  คือผู้ป่วยต้องเอาชนะความคิดต่างๆในใจให้ได้เสียก่อน  หากแพทย์ตรวจพบว่าตนเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทจริงๆ
 ทำความเข้าใจอาการของโรคเป็นอย่างไร?

         ลองมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า อาการของโรคนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร อาการบ่งชี้ของผู้ป่วยนั้น จะเริ่มจาก ผู้ป่วยมีอาการปวดหลังต่อเนื่องเป็นเวลา 2 สัปดาห์ขึ้นไป  แปลว่า ไปพบแพทย์ แพทย์ให้ยามารับประทาน หรือ ทายาบริเวณที่ปวด แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น  อาการต่อมาคือมีอาการปวดชาตั้งแต่บริเวณสะโพกร้าวไปถึงบริเวณน่อง และเท้า ซึ่งจะปวดมากเวลาเดิน จนผู้ป่วยทนไม่ได้ต้องหยุดเดินเป็นระยะๆ เพราะปวดมาก  และอาการที่เด่นชัดที่สุดของโรคนี้ก็คือ
         ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลังร้าวลงมาที่ขาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ผู้ป่วยจะมีอาการมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกระดูกไปกดทับเส้นประสาทมากหรือน้อยเป็นสำคัญที่สุด ถ้ากดทับมาก ก็จะปวดและทรมานมากขึ้นตามลำดับ ถ้ามีอาการดังกล่าวแล้วปล่อยทิ้งไว้ ไม่รักษาเป็นเวลานานๆ อาการก็จะรุกรามจนเส้นประสาทจะทำงานได้น้อยลง จนร่างกายกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่สามารถขับถ่ายได้เอง  ในที่สุดอาจถึงขั้นพิการได้เลย
การรักษามีวิธีใดบ้าง

          วิธีการรักษาส่วนใหญ่จะใช้การผ่าตัดรักษา โดยแพทย์ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากๆ แพทย์จะผ่าตัดเอาส่วนที่กดทับเส้นประสาทออก  หากอาการไม่รุนแรง แพทย์อาจจะใช้ยารักษาด้วยยาลดอาการปวด ร่วมกับยาลดการอักเสบของเส้นเอ็น เพื่อให้ลดการเจ็บปวดบริเวณเส้นประสาทที่กดทับ และผู้ป่วยลดอาการปวดลงได้ รวมทั้งการทำบายภาพบำบัด  อย่างไรก็ตามแม้ต้องทำการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยหลังผ่าตัดก็จะต้องทำกายภาพบำบัดควบคู่กันไปด้วย
          อย่าตกใจหรือตีตนไปก่อนไข้  จนเกินไป ควรศึกษาดูก่อนว่าอาการที่เราเป็นนั้นเข้าข่ายของโรคนี้จริงหรือไม่ ถ้ามีอาการเข้าข่ายจริงต้อง ไม่รอให้อาการมีความรุนแรงมากขึ้น  แค่เราปวดหลังกินยา ไม่หายพบแพทย์ไม่ดีขึ้น นาน 2 สัปดาห์ เราควรไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจวินิจฉัยชัดเจน จะทำให้การรักษาง่าย ไม่ต้องรอให้ทรมานมากขนาดเดินไม่มีแรง ขับถ่ายไม่ได้ และบางทีรักษาแต่เนิ่นๆ ก็ทำให้ไม่ต้องผ่าตัด และเสียค่าใช้จ่ายสูง ความเสี่ยงสูง ก็เป็นได้ขึ้นอยู่กับเราใส่ใจตัวเราเองแค่ไหนอ มีเวลาให้ตัวเองหมั่นดูแลตัวเองมากๆ ก็จะทำให้หนักเป็นเบาได้แน่นอน
ที่มา : www.heangUp180.com


วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561


อาการเริ่มแรกคนเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท


            โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เป็นโรคที่เมื่อผู้ป่วยเป็นทุกๆรายจะทรมานมากๆ  เจ็บปวดแสนสาหัสเลยทีเดียว บั่นทอนต่อทุกๆอย่างในชีวิต และคนรอบข้าง  รวมทั้งหลายคนที่เป็นโรคนี้ จะช่วยตัวเองไม่ได้ ขยับตัวยากลำบาก เข้าห้องน้ำลำบาก หรือผู้ป่วยแทบไม่อยากขยับตัวไปไหนเลย   เพราะขยับร่างกายทีก็ปวดทรมาน  จะอยู่ในท่าที่ตนเองปวดน้อยที่สุดอยู่แบบนั้น  นานๆเข้าก็ทำให้ระบบกล้ามเนื้อต่างๆอ่อนแรงลง เพราะร่างกายไม่ได้ขยับไปไหน
ลักษณะอาการเริ่มแรก

             แค่เอ่ยชื่อนี้ คนมักตกอกตกใจ เพราะเป็นอะไรที่สร้างความทรมาน และการรักษามีวิธีน้อย และการรักษานั้นแม้จะใช้วิธีผ่าตัดก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหายขาดเป็นปกติ ถือว่ามีความเสี่ยง ซึ่งต้องยอมรับว่าทุกอย่างของการรักษาไม่มาคุณจะป่วยเป็นโรคใดใด หากต้องมีการรักษาด้วยวิธีใดใด โอกาสกลับมาเป็นปกติก็ไม่ใช่จะเป็นได้ทุกคน มาจากองค์ประกอบของแต่ละบุคคลและอีกมากมาย
               ยกตัวอย่างจากตัวผู้เขียนเอง เป็นโรคต้อกระจกเมื่อปีที่แล้ว เป็นมากจนมันสุก และเรียกว่าตาเหมือนคนตาบอด ที่โชคดีที่ตาบอดนั้น ยังเห็นเป็นสีขาว แต่วัตถุต่างๆไม่สามารถรับรู้ว่าคืออะไรได้แล้ว มันพร่า มัวมากแล้ว คนไข้บางคนที่มาตรวจคัดกรองด้วยกัน ผ่านการคัดกรองรอบเดียวกันไปพบแพทย์ ที่โรงพยาบาล แต่ต้องกลับไปไม่สามารถผ่าตัดต้อกระจกได้ เพราะ ตามืดสนิทแล้ว เหมือนหลับตามองเป็นสีดำ  ผู้เขียนยังโชคดี ที่ยังไม่ถึงจุดปิดดับแบบนั้น ไม่เช่นนั้นก็คงเขียนงานแบบนี้ไม่ได้อีกตลอดชีวิต นั้นคือ แต่ละโรคขึ้นอยู่กับอาการ การรักษาแต่ละคนจะมาเทียบกันไม่ได้ว่าอีกคนทำไมรักษาหาย แล้วฉันก็คงต้องหายเช่นกัน ไม่มีอะไรมาบอกเราได้แม้แต่แพทย์ 
              การดูแลตนเองจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น มากๆ อย่างน้อยบรรเทาให้หนักเป็นเบา ทำให้การรักษานั้นได้ผลที่สุด แต่หากหนัก และหนักมาก ไม่สนใจดูแลตนเอง ผลการรักษาก็จะยากขึ้นตามลำดับของอาการของโรค อย่าลืมว่า ร่างกายคนเรา อวัยวะต่างๆ ไม่ได้เปลี่ยนได้เหมือนอะไหล่ ชิ้นส่วนรถยนต์ ได้ทุกอวัยวะ เราต้องดูแลมันชั่วชีวิตที่ยาวนานตั้งแต่เราเกิดขึ้นมาให้ใช้งานได้นานที่สุดด้วยตัวเราเอง
อาการบ่งชี้ของโรคที่หากใครพบอาการกับตนเองแล้ว

          ควรรีบพบแพทย์เฉพาะด้าน  อาการปวดส่วนใหญ่จะอยู่ในท่าที่กระดูกสันหลังกดทับ เช่นท่านั่ง  หรือนั่งตัวงอ เป็นการปวดที่บริเวณหลังส่วนล่างจะเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็แล้วแต่ตำแหน่งของการกดทับเส้นประสาทส่วนหลัง หากมีอาการส่วนบน ผ่านหลัง  ปวดเมื่อยๆ  ก็ยังไม่ใช่ถึงขั้นของโรคนี้  นอกจากนั้นที่จะชี้ชัดเจนอีกประการคือ อาการปวดจะร้าวลงมาถึงขา  ถึงเท้า  อาจจะปวด และมีอาการชา ร่วมด้วย นั้นบ่งชี้ชัดว่า เป็นอาการของโรคนี้ค่อนข้างชัดเจน เพราะผู้ป่วยมีอาการปวดร้าว ตามเส้นประสาทที่เชื่อมต่อลงมาจากกระดูกสันหลัง 
              อย่าชะล่าใจ หากคุณพบว่าเริ่มมีอาการปวดหลังบ่อยครั้ง  เป็นๆหายๆ  หรือเป็นเรื้อรัง ต่อเนื่อง ไม่หายขาดเสียที ควรไปพบแพทย์เฉพาะด้าน เพราะหากพบและรักษาก่อน อาจจะรักษาโดยไม่ยุ่งยากถึงขั้นต้องทำการผ่าตัดรักษา
ที่มา : www.bumrungrad.com


วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561


หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทในเด็กเกิดขึ้นได้หรือไม่


หมอนรองกระดูกในหญิงมีครรภ์สู่เด็ก

      สำหรับหญิงมีครรภ์ สามารถเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้หรือไม่  เราต้องแยกอาการปวดหลังที่เกิดกับหญิงตั้งครรภ์ โดยส่วนใหญ่จะมีอาการปวดเพราะร่างกายส่วนหลังจะต้องเบกรับน้ำหนักในครรภ์ที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วไปตามอายุครรภ์ของคุณแม่ที่กำลังตั้งท้อง ซึ่งถือว่าปกติที่หญิงตั้งครรภ์ทุกคนต้องพบอาการ
            แต่ก็มีเช่นกัน ที่พบโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทกับหญิงมีครรภ์ ซึ่งเกิดจากน้ำหนักในครรภ์ไปกดทับเส้นประสาทกระดูกสันหลัง จะมีอาการปวดหลังคล้ายคนเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เช่นเดียวกัน คือ จะมีอาการปวดหลังชนิดรุนแรง และร้าวลามมาที่ก้นกบ และขา แบบเฉียบพลัน โดยผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนแรง และมีความรู้สึกน้อยลงส่วนล่างของร่างกาย ตั้งแต่ เอว ขา น่อง จนถึงบริเวณปลายนิ้วเท้า
            สัญญาณของอาการก็เช่นเดียวกับ คนทั่วไปที่มีอาการของโรคนี้เช่นกัน ซึ่งหากเป็นโรคนี้จะยิ่งยุ่งยากกับการรักษามากขึ้นเพราะไหนจะต้องมีครรภ์ในท้องและแม่ที่ตั้งท้องนั้นก็ต้องรักษาตนเองจากกระดูกทับเส้นประสาทด้วย  อาจจะส่งผลต่อการคลอดบุตร ยุ่งยาก ทรมานมากมาย
การสังเกตควรหมั่นสังเกตอาการตนเอง

         หากเริ่มมีอาการปวดหลัง ก็รีบไปพบแพทย์ทันที ซึ่งอาจจะเป็นที่หลังต้องรับภาระมากในช่วงนี้และการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์ ซึ่งแพทย์ทางสูตินารีเวชมักจะแนะนำท่าทางการ ลุก ยืน นอน นั่งสำหรับคุณแม่มีครรภ์ เพื่อให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวตั้งฉากเสมอ เพื่อให้ไม่มีปัญหากับกระดูกสันหลัง ไปกดทับเส้นประสาท  ถ้าทำตามคำแนะนำจากแพทย์เคร่งครัด ก็จะไม่มีปัญหาใดใดระหว่างมีครรภ์อย่างแน่นอน
            โรคนี้นั้น ไม่ใช่โรคทางพันธุกรรม ที่จะถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก  หรือเป็นมาแต่กำเนิด  โรคนี้จะเป็นจากภาวะในชีวิตประจำวัน  หรือผลกระทบจากอุบัติเหตุ เป็นสำคัญ หรือมาจากอายุขัย เป็นกับผู้สูงอายุที่กระดูกจะเสื่อมไปตามธรรมดา  หากเด็กอายุน้อยๆ มีอาการเป็นโรคนี้น่าจะมาจากอุบัติเหตุเป็นสำคัญ  ที่อาจจะได้รับอุบัติเหตุที่รุนแรงกระทบกระเทือนกระดูกสันหลังโดยตรง  หรือในวัยหนุ่ม สาว  ไปถึงวัยทำงานก็ เป็นอีกกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่มาจากผลของการทำงาน ที่ต้องนั่งอยู่กับที่ตลอดทั้งวัน  นั่งทำงานทั้งวัน 
การจะตอบว่า เด็กจะมีโอกาสเป็นหรือไม่นั้นถ้าไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งเหล่าต่างๆ ไม่ได้ทำงานหนัก ยกของหนักมากๆ ตลอดเวลาทุกวัน เป็นประจำ นั่งนานๆ  ส่วนใหญ่เด็กๆมักชอบเล่น ร่างกายมีการเคลื่อนไหว จึงทำให้กล้ามเนื้อ และกระดูกมีการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อส่วนต่างๆได้ใช้งานตลอดเวลา จึงอยู่ในกลุ่มที่เป็นโรคนี้ค่อนข้างน้อยมาก  ยุคสมัยเปลี่ยนไป คอมพิวเตอร์เริ่มเข้ามามีบทบาท
           คนชอบความสุข สบาย การติดต่อสื่อสารบนโลกอินเตอร์เน็ท เข้ามามีบทบาทถึงวัยเด็ก นักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มากขึ้น ออกกำลังกาย เล่นกีฬาน้อยลง เด็กการจะรักความสนุกมากกว่าผู้ใหญ่  ไม่ค่อยคิดถึงตัวเองว่าเป็นอะไร มีอาการผิดแผกแตกต่างจากเดิมอย่างไร ไม่ค่อยบอกผู้ปกครอง หรือครู มักจะบอกเพื่อนที่ไม่มีความรู้

           บางทีผู้ปกครองอาจจะต้องใส่ใจ สอบถามลูกของตนเองบ่อยๆ  พยายามให้เด็กไม่หมกมุ่นกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือก้มนั่งเรียน นั่งอ่านหนังสือแต่เพียงอย่างเดียวทั้งวัน  ควรให้เปลี่ยนอิริยาบถตนเองบ่อยๆ ไม่ว่าวัยใดก็ตาม การดูแลตนเอง ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ  อย่าไปคิดว่าโรคต่างๆ เป็นสิ่งที่ไม่เกิดกันตนเอง ก็ประมาทช่างมัน แต่ไม่แน่ว่า โรคที่น่ากลัว สร้างความทุกข์ ทรมานเจ็บปวด และถึงขั้นทำให้ตัวเราพิการได้ อาจจะจ่อรอเราอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัวก็เป็นได้
ที่มา : www.baby.kapook.com