disable right click

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ปวดมือ นิ้วมือชา ระวังโรคพังผืดทับเส้นประสาท


ปวดมือ นิ้วมือชา ระวังโรคพังผืดทับเส้นประสาท 

              อาการเส้นประสาทถูกกดทับตรงบริเวณข้อมือ หรือชื่อเรียกทางการแพทย์ว่า Carpal Tunnel Syndrome เป็นอาการที่เกิดจากเส้นประสาทมีเดียน ถูกกดทับตรงบริเวณข้อมือ ซึ่งเกิดจากเส้นเอ็นบริเวณช่องข้อมืออักเสบ ทำให้เส้นเอ็นที่บวมมีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ช่องว่างในข้อมือมีขนาดเล็กลง เส้นประสาทข้อมือจึงถูกเบียดหรือถูกกดทับ เส้นประสาทมีเดียนที่ผ่านช่องข้อมือ มีแขนงไปยังนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางด้านนิ้วหัวแม่มือ เมื่อไปถูกกดทับก็ทำให้มีอาการปวดและชาตามนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วก้อย หรือนิ้วนางได้  ถ้าหากเส้นประสาทถูกกดทับนานๆ กล้ามเนื้อบริเวณฝ่ามือด้านนิ้วหัวแม่มือจะเล็กลีบลง พบได้ในหญิงมากกว่าชาย วัยกลางคนอายุ 30-50 ปี

อาการปวดและชาเกิดจากช่องอุโมงค์ที่เส้นประสาทลอดผ่านที่บริเวณฝ่ามือ มีความดันสูง เนื่องจากว่ามีการอักเสบและการหนาตัวของเนื้อเยื่อพังผืดที่คลุมช่องอุโมงค์นี้ จนไปทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาท ผู้ป่วยจึงชามือได้ ในรายที่เป็นมาก  จะเกิดเนื้อเยื่อพังผืดบางๆ รัดเส้นประสาทอีกชั้นหนึ่ง ทำให้การรักษาด้วยยาไม่หาย หรืออาจมีสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่ใช่เพราะพังผืดหนาขึ้นก็เป็นได้ เช่น มีเยื่อหุ้มรอบเส้นเอ็นหนาตัวขึ้น ก็อาจที่จะทำให้มีความดันในช่องอุโมงค์บริเวณฝ่ามือสูงขึ้นได้เช่นกัน

อาการที่พบได้บ่อย ก็คือ มีอาการชานิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง มีอาการปวด รวมทั้งเสียวคล้ายถูกไฟช็อต (Tingling) และก็ปวดบริเวณนิ้วมือ ข้อมือ มือ อาจจะปวดขึ้นตามแขนไปจนถึงไหล่ มักปวดเวลากลางคืน ในเวลาทำงาน โทรศัพท์ ทำอาหาร ขับรถ  เขียนหนังสือ หรือเมื่อมรการใช้ข้อมือมาก
สาเหตุของโรคพังผืดกดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ เกิดจาก
มีการใช้งานข้อมือในท่าเดิม  นานๆ เช่น ผู้ที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีการใช้เมาส์ การกดแป้นคีย์บอร์ด รวมไปถึงการเย็บผ้า
มีการใช้ข้อมือที่งอมือเป็นเวลานาน อย่างเช่น การกวาดบ้าน  การรีดผ้า หรือการหิ้วของหนัก
มีการทำงานที่ใช้ข้อมือกระดกขึ้นและการสั่นกระแทก อย่างเช่น พนักงานโรงงาน ช่างฝีมือ  งานที่เกี่ยวกับการก่อสร้างหรืองานคอนกรีต
พังผืดหนาตัวมากขึ้น จากการที่มีอายุมากขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงและโรคอื่นๆที่เกี่ยวข้องที่ทำให้เป็นโรคนี้ง่ายขึ้น ได้แก่

ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน  โรคข้ออักเสบ เช่น รูมาตอยด์ เก๊าต์ โรคต่อมไทรอยด์บกพร่อง โรคไต โรคตับ ภาวะตั้งครรภ์ ก้อนถุงน้ำหรือเนื้องอกในช่องอุโมงค์ ภาวะบวมน้ำจากโรค กระดูกหักบริเวณข้อมือ การใช้งานมือนาน  เป็นต้น

ทำอย่างไรหากพบอาการน่าสงสัยดังกล่าว

           ควรมาพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยว่าใช่โรคพังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือหรือไม่ เนื่องจากว่าอาจเป็นโรคอื่นได้หรือว่ามีการกดทับเส้นประสาทที่ตำแหน่งอื่นก็เป็นได้ ซึ่งแพทย์จะดูจากอาการปวดแปลบๆ เมื่อเวลาเคาะที่เส้นประสาท และพบว่ามีกล้ามเนื้อลีบ ในผู้ป่วยบางรายอาจต้องมีการตรวจระบบไฟฟ้าของเส้นประสาท รวมทั้งกล้ามเนื้อ หากแพทย์ให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้แล้ว

ปวดมือ นิ้วมือชา ระวังโรคพังผืดทับเส้นประสาท ตอนที่ 2

การรักษาโรคพังผืดทับเส้นประสาทที่สำคัญ คือ การลดความดันในโพรงข้อมือ ทำได้ดังนี้
1.ทำการดามข้อมือ เพื่อให้ข้อมืออยู่นิ่งๆ ตรงๆ จะมีผลให้ความดันในโพรงข้อมือต่ำสุด ทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงเส้นประสาทดีขึ้น วิธีนี้นั้นใช้สำหรับกรณีที่เป็นระยะแรก นั่นคือพังผืดยังไม่หนามาก จะได้ผลค่อนข้างดี
2. ปรับการใช้ข้อมือในชีวิตประจำวันและการทำงาน การทำงานที่จะต้องใช้ข้อมือกระดกขึ้น หรืองอข้อมือซ้ำๆ นานๆ รวมไปถึงงานที่มีการสั่นสะเทือน กระแทกจนทำให้ความดันในโพรงข้อมือสูงขึ้นได้ ทั้งนี้การปรับอุปกรณ์การทำงานให้ถูกตามหลักวิชาชีพจึงจำเป็น และควรหลีกเลี่ยงการใช้งานมือในลักษณะเกร็งเป็นเวลานาน
3. ควบคุมหรือรักษาโรคประจำตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเบาหวานให้ดี
4. การใช้ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่ยากลุ่มสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน มักจะให้ผลการรักษาได้ดี ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์
5. ฉีดยาสเตียรอยด์เข้าในช่องอุโมงค์ก็จะช่วยลดการอักเสบและในบางรายอาจหายได้ ซึ่งแพทย์จะใช้ยาชาผสมกับตัวยาสเตียรอยด์ฉีดเข้าไป หลีกเลี่ยงการฉีดตรงเส้นประสาท โดยฉีดไปในโพรงข้อมือรอบๆ วิธีนี้ได้ผลดีเฉลี่ยประมาณ 40-50เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับระยะของโรค และปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้อง หากการรักษาเบื้องต้นไม่สำเร็จ ผู้ป่วยจะมีอาการชามากขึ้น จำเป็นต้องรับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด
6.การรักษาด้วยการผ่าตัด ในผู้ป่วยที่มีอาการมากหรือกล้ามเนื้อเริ่มอ่อนแรงและลีบลง และไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาแล้ว ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด หลักการของการผ่าตัดโรคพังผืดทับเส้นประสาทในข้อมือ ก็คือ ตัดพังผืดที่ผ่านบริเวณด้านหน้าข้อมือออก ทำให้ช่องว่างในโพรงข้อมือเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20 เปอร์เซ็นต์ ก็จะทำให้ความดันในโพรงข้อมือลดลง และเลือดมาเลี้ยงเส้นประสาทได้ดีขึ้น

            วิธีการผ่าตัดพังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือมีหลายวิธี ที่ศัลยแพทย์นิยมทำกัน และเป็นวิธีมาตรฐาน อันได้แก่
6.1 ทำการผ่าตัดแบบเปิด หรือ Open carpal tunnel release แพทย์จะเปิดให้เห็นเส้นประสาทโดยตรง โอกาสที่จะบาดเจ็บต่อเส้นประสาทจะน้อยกว่า และยังสามารถทำการผ่าตัดอื่นร่วมด้วยได้ อย่างเช่น การตัดเยื่อหุ้มเอ็นออกไปด้วย เป็นต้น
6.2.ทำการผ่าตัดแบบเปิดแผลจำกัด หรือ Limited open carpal tunnel release แพทย์จะเปิดแผล 1.5 เซนติเมตร ที่ฝ่ามือและตัดพังผืดออกได้เช่นเดียวกับวิธีผ่าตัดแบบมาตรฐาน แต่ใช้อุปกรณ์พิเศษในการตัด ซึ่งได้แผลที่เล็กกว่า ผู้ป่วยกลับทำงานได้เร็วขึ้น ผลการรักษาก็ดีพอๆ กับวิธีตามมาตรฐาน
6.3 ทำการผ่าตัดผ่านกล้อง หรือ Arthroscopic carpal tunnel release แพทย์จะใช้กล้องส่องเข้าไปใต้ต่อพังผืดข้อมือ ตัดพังผืดออกจากด้านใน วิธีนี้ผู้ป่วยกลับไปทำงานตามปกติได้เร็วขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่มีแผลผ่าตัดที่มือ ผู้ป่วยไม่เกิดการปวดที่ฝ่ามือหลังผ่าตัด ซึ่งเป็นปัจจัยที่พบบ่อยในการผ่าตัดแบบเดิม

            ทั้งนี้แล้ว การรักษาสามารถทำได้ในทุกวิธี ขึ้นอยู่กับว่าความรุนแรงของโรคมีเพียงใด รวมไปถึงประสบการณ์และความชำนาญของศัลยแพทย์เป็นหลักอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก
www.phyathai.com/specialcenterdetail/10/204/PYT1/TH
www.health.kapook.com/view54414.html



เพิ่มเพื่อน

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อาการพังผืดในช่องท้องเกิดขึ้นได้อย่างไร



อาการพังผืดในช่องท้องเกิดขึ้นได้อย่างไร

            อาการของโรคพังผืดที่เกิดขึ้นในช่องท้องนั้น ก็คือ ความผิดปกติอย่างหนึ่ง ที่สามารถพบได้บ่อยที่สุดหลังจากการผ่าตัดช่องท้อง และในสำหรับผู้ที่ได้รับการผ่าตัดช่องท้อง แต่สำหรับผู้คนทั่วๆ ไปนั้นจะสามารถมีโอกาสเกิดอาการพังผืดในช่องท้องได้น้อยมาก อาการพังผืดที่เกิดขึ้นบริเวณส่วนของช่องท้องนั้น สามารถเกิดมาจากเนื้อเยื่อไฟบรินที่เกิดขึ้นมาอย่างผิดปกติบริเวณส่วนของช่องท้อง จะสามารถส่งผลกระทบกับอวัยวะส่วนต่างๆ ที่อยู่ในร่างกายถูกยึดหรือถูกดึงรั้งให้มีสภาพที่ติดกัน โดยเฉพาะกับบริเวณส่วนของลำไส้กับลำไส้ และลำไส้กับแผลที่บริเวณผิวหนังหน้าท้อง สามารถเกิดได้กับผู้ที่มีการผ่าตัดบริเวณของช่องท้อง ซึ่งในขั้นตอนของการผ่าตัดบริเวณของช่องท้องนั้น อวัยวะส่วนต่าง ๆ ที่อยู่บริเวณนั้นจะอาจจะมีการขยับบ้างจากตำแหน่งปกติ บุคคลทั่วไปก็อาจจะมีโอกาสเป็นได้เช่นกัน แต่ก็สามารถพบได้น้อยมาก และโรคบางชนิดอย่างเช่น โรคเยื่อบุของผิวหนังช่องท้องเกิดการอักเสบ ผู้หญิงที่มีอาการของโรคแบบนี้ แสดงว่าเยื่อบุบริเวณส่วนของมดลูกเกิดการเจริญผิดที่

             อาการของโรคพังผืดที่เกิดขึ้นในส่วนของช่องท้องนั้น ส่วนมากจะไม่แสดงความผิดปกติ เมื่อมีพังผืดไปดึงรั้งบริเวณของลำไส้เล็กหรือมีการรัดบริเวณของลำไส้ ทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างมากได้ ทำให้ท้องอืด การรับประทานอาหารแล้วจะมีอาการอาเจียนได้ ไม่สามารถถ่ายอุจจาระ ไม่สามารถผายลมได้ พังผืดยังทำให้เกิดอาการอุดตันบริเวณส่วนของลำไส้ ในรายที่มีอาการรัดเป็นเวลานานๆ ทำให้บริเวณนั้นไม่สามารถรับเลือดเพื่อไปหล่อเลี้ยงลำไส้ได้ และทำให้ลำไส้บริเวณส่วนนั้นเกิดอาการเน่าตายได้อีกด้วย

              เมื่อมีอาการพังผืดในช่องท้อง ควรทำอย่างไร

เมื่อเราสงสัยว่าเป็นโรคพังผืดที่เกิดขึ้นบริเวณช่องท้อง ควรที่จะไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจร่างกาย จะได้หาสาเหตุของอาการได้อย่างแน่ชัด แพทย์จะได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับการรักษาของอาการพังผืดที่เกิดขึ้นบริเวณช่องท้องได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว แต่การรักษาจะได้ผลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการที่เกิดพังผืดว่าเกิดขึ้นบริเวณส่วนใดของร่างกายและอวัยวะส่วนใด ในกรณีที่มีอาการปวดท้องไม่รุนแรงมากนัก และไม่ถี่มาก แพทย์อาจจะพิจารณาไม่ให้รับการผ่าตัดเพื่อรักษาและจะให้การรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดอาการแทนเพื่อบรรเทาอาการปวดและคลายพังผืดที่เกิดขึ้นบริเวณส่วนของช่องท้องให้คลายตัวยิ่งขึ้นได้ แต่หากผู้ที่มีอาการปวดอย่างรุนแรง มีการัดแต่บริเวณของลำไส้ยังไม่ตาย แพทย์จะทำการสลายพังผืดเป็นการเพียงพอ ส่วนการผ่าตัดเพื่อทำการรักษานั้น จะมีการผ่าตัดบริเวณหน้าท้องเพื่อเปิดแบบปกติ และในบางรายที่มีอาการอุดตันเป็นอาการแบบเรื้อรัง อาจจะต้องทำการผ่าตัดด้วยการผ่านกล้องจะสามารถทำให้ร่างกายสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและสามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนกับร่างกายอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก คณะแพทย์ศิริราชพยาบาล http://www.si.mahidol.ac.th/th/tvdetail.asp?tv_id=80

ปวดกล้ามเนื้อ

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

สารพัดวิธีรับมือปัญหาเท้าผู้สูงวัย ตอนที่ 2




ปัญหาเท้าของผู้สูงวัยประการสุดท้าย ก็คือ

4.ปวดส้นเท้า
หากมีอาการปวดส้นเท้าอาจวินิจฉัยเบื้องต้นได้ว่า เป็นผู้มีเท้าแบนและน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ดังนั้นเวลาเดินน้ำหนักทั้งหมดจะลงไปที่ส้นเท้าเต็ม ไม่มีการกระจายน้ำหนักไปที่ส่วนอื่น นี่เป็นสาเหตุหลักของการปวดส้นเท้า หากมีการตรวจพบเพิ่มเติมว่า กระดูกเสื่อมจนกร่อนเป็นเศษเล็กเศษน้อยและมาพอกตรงบริเวณกระดูกชิ้นอื่น ทำให้เกิดภาวะกระดูกงอกที่ฝ่าเท้าร่วมด้วย เวลาเดินจึงเจ็บเหมือนมีกระดูกแทงที่ส้นเท้าตลอดเวลา กระดูกที่งอกนี้ อาจงอกไปกดเอ็นหรือพังผืดส้นเท้าตลอดเวลา ซึ่งทำให้บาดเจ็บบริเวณส้นเท้าได้เช่นกัน

การดูแลและป้องกันถูกวิธี เอาชนะทุกโรคเท้าได้
นอกจากยาแผนปัจจุบันที่หมอสั่งให้กินและทาแล้ว คุณอมรรัตน์ และ ดร.  อภิวรรณ แนะนำเคล็ดลับในการดูแลรักษาเท้าเพื่อบรรเทาสารพัดอาการเท้าป่วยในผู้สูงวัยอย่างถูกวิธี โดยแบ่งตามอาการ ดังนี้

 1.ส้นเท้าแตกและตาปลา

1.1 แช่เท้าในน้ำอุ่นช่วยบรรเทา คุณอมรรัตน์แนะนำว่า ให้แช่เท้าในน้ำอุ่นวันละ 20 นาที จะช่วยให้ผิวหนังบริเวณที่แข็งนุ่มลง แต่ต้องระวังอุณหภูมิของน้ำที่ใช้ในการแช่เท้าไม่ให้ร้อนจนเกินไป ผู้สูงอายุควรขอให้สมาชิกในครอบครัวมาทดสอบความร้อนของน้ำ ไม่ควรทดสอบเอง เพราะประสารทสัมผัสที่รับความรู้สึกร้อนของผู้สูงอายุจะเสื่อมตามวัย อาจได้ผลผิดจากความจริง โดยเฉพาะผู้ที่ส้นเท้าแตก ให้ใช้แปรงขนอ่อนนุ่มทำความสะอาดบริเวณส้นเท้าที่แตก หรือถ้าผิวหนังบริเวณนั้นหนาและแข็งมาก ให้ใช้หินขัดเท้าขัดเพื่อทำความสะอาด อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งควบคู่ไปด้วย
               หากมีผู้แนะนำให้ทายางมะละกอหรือเอาน้ำสับปะรดทาที่ตาปลา หรือเอาธูปมาจี้ตาปลาแล้วทำให้ตาปลาหายได้ ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่านกล่าวว่า วิธีดังกล่าวไม่อาจทำให้ตาปลาหายได้ ซ้ำร้ายอาจเกิดแผลติดเชื้อหรือแผ0ลไหม้ลุกลามได้ ถ้าผู้ป่วยต้องการรักษาเองแนะนำให้ใช้ปลาสเตอร์ยาสำหรับลอกตาปลาโดยเฉพาะจะปลอดภัยกว่า

1.2 ใส่รองเท้าตลอดเวลา เพื่อให้อาการส้นเท้าแตก และตาปลาทุเลา ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดังต่อไปนี้
ต้องเปลี่ยนมาใส่รองเท้าเป็นประจำแม้จะอยู่ในบ้านก็ตาม ต้องเลือกใส่รองเท้าที่มีพื้นนิ่มไม่คับหรือหลวมจนเกินไป รวมทั้งรองเท้านั้นต้องตัดเย็บอย่างเรียบร้อย ไม่มีรอยตะเข็บทำให้เกิดการเสียดสี มิฉะนั้นส่วนที่ตัดเย็บไม่เรียบร้อยอาจเสียดสีกับเท้า ทำให้เกิดตาปลาขึ้นได้

1.3 เอามะกรูดมาผ่าครึ่งแล้วถูบริเวณส้นเท้า บรรเทาอาการส้นเท้าแตกได้เนื่องจากมะกรูดมีคุณสมบัติช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้ลอกหลุดออกไปได้ นอกจากนั้นยังสามารถใช้เปลือกกล้วยหอมมาถูบริเวณส้นเท้าสแตกได้อีกด้วยเพราะมีคุณสมบัติคล้ายกัน และยังช่วยบำรุงเท้าให้นุ่มชุ่มชื่นขึ้นด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก  ชีวจิต เล่มที่ 294 ปีที่ 30 วันที่ 1 ม.ค. 2554
รองช้ำ
สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

โรคเอ็นร้อยหวายอักเสบ อาการปวดที่แปลก และน้อยคนจะสนใจ



โรคเอ็นร้อยหวายอักเสบ อาการปวดที่แปลก และน้อยคนจะสนใจ
โรคเอ็นร้อยหวายอักเสบ หรือในภาษาอังกฤษที่ชื่อ Achilles tendonitis   เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบตรงตำแหน่งเอ็นร้อยหวาย  ส่วนใหญ่เริ่มมาจากการบาดเจ็บเล็กน้อย  ที่ต่อเนื่องหรือซ้ำซาก มักจะเกิดกับผู้ที่ชอบออกกำลังกายโดยการวิ่ง หรือกลุ่มของนักกีฬา อย่างเช่น นักวิ่ง นักฟุตบอล นักบาสเก็ตบอล เป็นต้น
การบาดเจ็บในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกปวดมากนัก อันเนื่องจากเป็นการฉีกขาด อยู่ในระดับเนื้อเยื่อที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ที่เรียกว่า microtear แต่ถ้าหากยังคงเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหักโหมต่อไปอีก เส้นเอ็นจะฉีกขาดกินวงกว้างเพิ่มมากขึ้นจนรู้สึกปวดได้อย่างชัดเจน เรียกว่า macrotear ในระยะนี้ผู้ป่วยจะรู้สึกปวด ทั้งบวม แดง ร้อนบริเวณที่บาดเจ็บได้ทันที

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นเอ็นร้อยหวายอักเสบ
1. ปวดที่เอ็นร้อยหวาย แต่ไม่รักษา ยังคงฝืนวิ่งหรือออกกำลังกายต่อไปจนเส้นเอ็นมีการอักเสบมากขึ้น
2. วิ่งหรือเดินขึ้นลงในทางลาดเป็นประจำ
3. มีปัญหากล้ามเนื้อน่องตึงตัวมากเกินไป และเมื่อออกไปวิ่ง จะทำให้เอ็นร้อยหวายได้รับความเครียดสูง มีความตึงตัวมากขึ้นจนได้รับอันตรายได้ ทางที่ดีควรยืดกล้ามเนื้อและวอร์มอัพก่อนทุกครั้งที่ออกกำลังกาย
4. มีการสวมใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม เช่น รองเท้ามีพื้นส้นที่แข็งเกินไป ขาดความยืดหยุ่น รองเท้ามีขนาดไม่เหมาะสมกับเท้าตนเอง หรือว่ารองเท้าไม่มีคุณสมบัติช่วยรับและกระจายน้ำหนัก รวมทั้งการใส่รองเท้าส้นสูงก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เนื่องจากว่า การใส่ส้นสูงเป็นเวลานานจะทำให้เกิดภาวะเอ็นร้อยหวายหดตัวคงค้าง (tight) เมื่อเอ็นร้อยหวายถูกยืดกระทันหันจากกิจกรรมใดๆ ก็ทำให้เส้นเอ็นถูกกระชาก ร่วมกับการที่เอ็นมีความยืดหยุ่นที่น้อยลงจึงเกิดการอักเสบได้ง่ายมากขึ้นนั่นเอง
5. เล่นกีฬาที่ต้องจะวิ่งและหยุดกระทันหันต่อเนื่องกัน อย่างเช่น นักเทนนิส ฟุตบอล กีฬาบาส เป็นต้น
6. เท้ามีการผิดรูป ที่อาจจะเป็นมาแต่กำเนิดหรือเกิดมาจากอุบัติเหตุก็ได้

อาการของเอ็นร้อยหวายอักเสบ
1. มีการปวดตึงที่เอ็นร้อยหวาย
2.ตรวจคลำพบตุ่มก้อนที่เอ็นร้อยหวาย อันเกิดจากกล้ามเนื้อน่องและเส้นเอ็นตึงตัวมากเกินไป
3. หากเมื่อกดลงไปที่เอ็นร้อยหวายจะมีอาการปวดมากขึ้น
4.ให้สังเกตที่ส้นรองเท้า จะพบว่าที่ส้นรองเท้าจะสึกมากผิดปกติ
5. เมื่อออกกำลังโดยการวิ่งจะรู้สึกปวดตรงที่เอ็นร้อยหวาย และเมื่อหยุดออกกำลังจะรู้สึกปวดตึงมากขึ้น

การดูแลรักษาด้วยตนเอง
1.หากรู้สึกปวดตามอาการที่กล่าวมาข้างต้น ให้หยุดพักทันที หากยังฝืนเล่นต่อทั้งที่ยังมีปวดอยู่ จะทำให้เกิดอาการปวดเพิ่มมากขึ้น
2. ยืดกล้ามเนื้อน่องโดยการดันปลายเท้าจนรู้สึกตึงที่น่องค้างไว้ประมาณ 20 วินาที จำนวน 5 เซ็ต
3.ใช้นํ้าแข็งมาประคบบริเวณที่ปวดจนกว่าอาการปวดจะบรรเทาลง เป็นการลดอาการปวด
แต่ในกรณีที่เป็นเรื้อรังมากกว่า 3 เดือน ควรเข้ารับการรักษากับนักกายภาพบำบัด ทั้งนี้ผู้ที่ใส่รองเท้าส้นสูงก็ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ด้วยการหันมาใส่รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าที่มีการกระจายนํ้าหนักได้ดี เพื่อไม่ให้อาการปวดแย่ลงไปมากกว่าเดิม
เกร็ดความรู้เพิ่มเติม

เส้นเอ็นที่มีการอักเสบที่จะใช้เวลาในการฟื้นตัวนานกว่ากล้ามเนื้ออักเสบ เพราะเส้นเอ็นจะมีเส้นเลือดฝอยมาหล่อเลี้ยงน้อยกว่า เลือดจึงนำสารอาหารที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมเนื้อเยื่อมาได้น้อยกว่าเช่นกัน 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://boringdoc.blogspot.com/2016/02/blog-post_17.html



สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ปวดเข่า ด้านใน ด้านนอก มาดูวิธีแก้ ให้หายและเห็นผลเร็ว




ปวดเข่า ด้านใน ด้านนอก มาดูวิธีแก้ ให้หายและเห็นผลเร็ว

         อาการปวดเข่า เป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพที่พบได้ทุกเพศทุกวัย เพราะเกิดจากหลายสาเหตุ  สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอาการปวดเข่าส่วนใหญ่เกิดจากการเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อตามธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นเด็กหรือวัยหนุ่มสาวก็มักเกิดจากอุบัติเหตุหรือการได้รับบาดเจ็บ   อาการปวดเข่าอาจเป็นที่มาของโรคข้อเข่าเสื่อมก็ได้ ซึ่งจะทำให้มีอาการอักเสบ เข่าบวม เหยียดหรืองอขาได้ไม่สุด ทำให้เป็นอุปสรรคส่งผลต่อการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก ดังนั้น อาการปวดเข่าจึงเป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม

สาเหตุหลักที่ทำให้ปวดเข่า
         
เราควรสำรวจตัวเองอยู่เสมอว่า มีอาการปวดเข่า หรือไม่  เช่น ยืนนานๆแล้วรู้สึกปวดเข่า  ลงน้ำหนักไปที่ขาข้างใดข้างหนึ่งไม่ได้  รูปร่างของเข่าผิดปกติ หรือมีอาการเข่าบวม แดงร้อน  หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางรักษาทันที สาเหตุหลักที่ทำให้ปวดเข่าได้แก่
         1.
ข้อเข่าเสื่อม  มีสาเหตุมาจากการเสื่อมตามวัย มีมวลกระดูกลดลง หมอนรองกระดูกบางลง ขาดความยืดหยุ่นเอ็นหลวม ส่งผลให้ข้อเข่าหลวมและปวดเข่า หรือเสื่อมจากการใช้งานหนัก เช่น แบกของหนัก นั่งงอเข่านานๆ ผู้หญิงใส่รองเท้าส้นสูงเป็นเวลานานๆ  น้ำหนักตัวมากเกิน
         2.การฉีกขาดของเอ็นเข่า พบได้บ่อยในนักกีฬาที่ต้องใช้แรงปะทะกระแทกล้มบ่อยๆ เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล เป็นต้น หรืออาจเกิดจากอุบัติเหตุอย่างอื่น เช่น ตกบันได สะดุดล้ม ลื่นล้ม ฯลฯ
ท่าบริหารแก้อาการปวดเข่า ที่เห็นผลไว
         
ท่าบริหารเป็นการบริหารกล้ามเนื้อเหนือเข่า ซึ่งการบริหารจะทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง แก้อาการปวดได้ทั้งด้านในและด้านนอก  เป็นท่าบริหารที่ง่าย  บริหารบ่อยๆ วันละ 4-6 รอบ ในช่วงเริ่มต้น และ 5-10 รอบ เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรง รับรองอาการปวดเข่าจะหายเป็นไป
         
การบริหารข้อเข่ามี 2 ท่า คือ 
                1. ท่านั่งกับท่านอน ท่านั่งให้นั่งบนเก้าอี้ที่มีพนักพิง  ให้หลังส่วนล่างชิดพนักพิง วางต้นขาทั้ง 2 ข้างบนที่นั่ง เท้าวางราบบนพื้น  แต่ถ้ามีอาการปวดเข่า สะโพก หรือหลัง ให้ใช้อุปกรณ์ช่วยคือ เก้าอี้เสริมที่มีความสูงระดับเดียวกัน มารองบริเวณหัวเข่า เพื่อให้ขาเหยียดได้ตรงขึ้น และให้มีการเคลื่อนขาส่วนใต้เข่าน้อยที่สุด จากนั้นก็ให้เกร็งกล้ามเนื้อเหนือเข่าทีละข้าง อย่าเกร็งพร้อมกันทั้งสองข้างเพราะจะบริหารได้ไม่เต็มที่ เมื่อเกร็งข้างใดข้างหนึ่งแล้วให้เหยียดขาตรง แล้วเกร็งค้างไว้นับ 1-10 ช้าๆ แล้วสลับข้าง

         2. สำหรับท่านอน    ให้นอนหงายบนที่นอน ที่ไม่นิ่มจนเกินไป หนุนศีรษะด้วยหมอน และใช้อุปกรณ์โดยนำผ้าขนหนูมารองใต้ข้อพับเข่าทั้ง 2 ข้างเพื่อไม่ให้ส้นเท้ายันกับที่นอน   และจะได้เกร็งกล้ามเนื้อเหนือเข่าง่ายขึ้น จากนั้นก็บริหารทีละข้าง ทำเช่นเดียวกับท่านั่ง เพียงแค่นี้ก็จะช่วยให้อาการปวดเข่าค่อยๆทุเลาลงจนหายไปในที่สุด 
ขอบคุณข้อมูลจาก www.beauty 24 store.com
เพิ่มเพื่อน

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

รู้จักวิธีป้องกันอาการปวดหลัง ปฏิบัติเองได้ไม่ยาก




          รู้จักวิธีป้องกันอาการปวดหลัง ปฏิบัติเองได้ไม่ยาก
           1) ลดความอ้วน เพื่อช่วยลดการแบกรับน้ำหนักของกล้ามเนื้อและกระดูกสันหลัง
           2) ปรับท่าทางให้เหมาะสม
§  ท่านั่ง ควรนั่งก้นชิดพนักพิงเก้าอี้ และปรับความสูงของเก้าอี้ให้เท้าวางบนพื้นได้พอดี เพื่อลดการแบกรับน้ำหนักของกล้ามเนื้อต้นขาและกระดูกสันหลัง 
§  ท่านอน หากนอนราบควรหาหมอนรองใต้เข่าเพื่อปรับให้กระดูกสันหลังตรงแนบพื้น หากนอนตะแคงให้นำหมอนข้างรองใต้ขาท่อนบน  เพื่อรักษารูปทรงกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อให้ตรงไม่บิดตัว
           3) การเลือก โต๊ะ เก้าอี้ และเตียง ให้เหมาะสมสำหรับใช้งาน
§  ควรเลือกโต๊ะให้ได้ระดับวางมือพอดี หากโต๊ะสูงหรือเตี้ยไป เวลานั่งทำงานจะต้องยกแขนสูง หรือวางแขนในแนวที่ต่ำผิดปกติ จึงทำให้ปวดหลังบริเวณบ่าไหล่สะบักได้ 
§  เก้าอี้ ควรมีความลึกของที่นั่งจากพนักพิงต้องสัมพันธ์กับความยาวของช่วงขาตั้งแต่ก้นจน ถึงข้อพับหัวเข่า เพื่อช่วยรับน้ำหนักอย่างเหมาะสม
§  เตียง ควรเลือกนุ่มแต่แน่น พื้นราบ ไม่ยุบ เพราะจะทำให้หลังงอ และปวดหลังตามมา
           4) รองเท้า
ควรเลือกพื้นรองเท้าที่มีความโค้งเว้า มีความเหมาะสมกับรูปเท้า ส่วนผู้หญิงที่ชอบใส่ส้นสูง จะทำให้รูปร่างผิดปกติเวลายืนเพราะต้องแอ่นหลังเพื่อปรับการทรงตัว ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณน่องต้นขา และกล้ามเนื้อบริเวณสะโพกต้องรับน้ำหนัก และมีอาการปวดหลังตามมา ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยง แต่หากเลี่ยงไม่ได้ ควรหาเวลาพักเท้าโดยใส่รองเท้าส้นเตี้ยหรือถอดรองเท้าในระหว่างวัน
           5) ก้ม – เงย ละเลยไม่ได้
วิธีการย่อเข่าลงแล้วยกของที่พื้น วิธีนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังช่วงหลังไม่ต้องแบกรับน้ำหนัก  หากใช้วิธียืนแล้วก้มยกของ อาจเสี่ยงกับการเกิดกระดูกสันหลังหรือหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนได้
           6) เครียดไปหลังก็ปวด
             ความเครียดส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังส่วนบนและต้นคอแข็งเกร็งและปวด
           7) แคลเซียม เกี่ยวอย่างไร
หากมวลกระดูกบางจะทำให้ปวดหลังได้ง่าย  เพราะกระดูกต้องแบกรับน้ำหนักมาก ดังนั้น ควรทานแคลเซียมเสริมให้เพียงพอ ควรได้รับแคลเซียมอย่างน้อยวันละ 800 – 1000 มิลลิกรัม และควรเป็นแคลเซียมที่ได้จากอาหารธรรมชาติ
           8.) ออก กำลังกายก็ช่วยได้นะ
นอนหงายชันเข่าขึ้น แล้วยกหัวไหล่ให้ลอยขึ้นคล้ายการซิตอัพ เกร็งไว้ ประมาณ 5 วินาที แล้วผ่อนลง ทำเช่นเดิมอีก ประมาณ 10 – 15 ครั้งทุกวัน ช่วยให้กล้ามเนื้อท้องแข็งแรงและหน้าท้องแบนราบ ช่วยพยุงกระดูกสันหลังเวลารับน้ำหนักได้
           9.) วิธีดูแลตัวเองเมื่อปวดหลัง
การนอนพักผ่อนเป็นวิธีที่ดีที่สุด  โดยนอนราบบนเตียงนิ่ง ๆ ถ้าปวดหลังธรรมดา ทำแบบนี้ ประมาณ  2 – 3 วัน อาการจะดีขึ้น หรืออาจใช้วิธีประคบความร้อน นวดน้ำมัน เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
           10.) ปวด หลังรุนแรงให้ไปหาหมอ

หากเกิดอาการปวดหลังร่วมกับอาการปวดร้าวลงขา หรือแขน มีอาการชาร่วมด้วย มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง เดินสะดุดยกแขนขาไม่ได้ ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน เพราะอาจจะมีอาการ กระดูกสันหลังหรือหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท

ขอบคุณข้อมูลจาก http://healthmeplease.com/

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อาการเส้นประสาทถูกกดทับที่ข้อมือ



อาการเส้นประสาทถูกกดทับที่บริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) เป็นอาการที่พบได้บ่อย ในผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่  54 ปี ขึ้นไป  พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ถึง 2 เท่า ผู้ที่มีอาการเส้นประสาทถูกกดทับที่ข้อมือ จะมีอาการรู้สึกชา โดยเฉพาะที่นิ้วชี้และนิ้วกลาง รู้สึกร้อนไปที่ปลายนิ้ว จะมีความรู้สึกปวดนิ้วมือ และข้อมือ อาจจะปวดขึ้นไปจนถึงไหล่ รู้สึกว่ามือไม่ค่อยมีแรง กำมือแน่นไม่ได้  ใช้มือข้างนั้นทำงานไม่ถนัด ถ้ามีอาการมานานกล้ามเนื้อฝ่ามือจะลีบเล็กลง ฝ่ามือแบนราบลงกว่าปกติ และอาจจะเกิดที่มือข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างก็ได้ อาการมักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ในตอนกลางคืน ทำให้ต้องตื่นกลางดึก เมื่อสะบัดมือ กำมือ ขยับนิ้ว สักพักอาการก็จะดีขึ้น  

อาการมีสาเหตุมาจาก
1.      การใช้มือท่าเดียวนานๆ  เช่น การกำมือ การบีบ การกด โดยเฉพาะ เมื่อข้อมืออยู่ในตำแหน่งที่กระดกขึ้นหรืองอลงมากๆ เช่น การพิมพ์ดีด ใช้มือเย็บผ้า การใส่เฝือกที่ข้อมือ ถือหนังสือ ถือพวงมาลัยรถยนต์ เป็นต้น
2.      สภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลง เช่น อ้วนขึ้น ตั้งครรภ์ หลังคลอดบุตร หรือ การกินยาคุมกำเนิด
3.      ภาวะผิดปกติหรือโรคที่เป็นอยู่แล้ว  เช่น โรคเบาหวาน พิษสุราเรื้อรัง ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เกาต์ กระดูกข้อมือหัก หรือข้อมือที่ผิดรูป เส้นเอ็นอักเสบ เป็นต้น


 การรักษา มี  3 วิธี คือ
1.  การรักษาโดยให้กินยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ให้กินวิตามีนบี 6 แนะนำให้ลดกิจกรรมที่ทำให้เกิดการออกแรงของมือ ในท่าเดียวนานๆ และลดท่าทางที่ทำให้ข้อมือกระดกขึ้น หรืองอลงมากเกินไป กรณีปวดมากแพทย์อาจพิจารณาฉีดยาสเตียรอยด์ เข้าไปในบริเวณข้อมือ เพื่อลดอาการบวมของเส้นเอ็นและเส้นประสาท หรือช่วยได้โดยการใส่เฝือกชั่วคราวตั้งแต่ฝ่ามือถึงข้อศอกขณะที่ทำงาน
2.  การบริหารข้อมือ สำหรับผู้ที่ทำงานโดยใช้ข้อมือมากๆ ควรบริหารข้อมือก่อนเริ่มทำงาน      ประมาณ 5 – 10 นาที ด้วยท่าการบริหาร ดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 1 ยกแขนสูงขึ้นจนเสมอไหล่ เหยียดแขนตรงไปข้างหน้า กระดกข้อมือและนิ้วมือขึ้นให้ตั้งฉาก ค้างไว้ 5 วินาที
ขั้นที่ 2 ปล่อยข้อมือตามสบายและเหยียดนิ้วตรง ไม่ต้องเกร็ง ค้างไว้ ประมาณ 5 วินาที
ขั้นที่ 3 กำมือแน่น แล้วงอข้อมือลงให้มากที่สุด ค้างไว้ 5 วินาที
ขั้นที่ 4 ปล่อยข้อมือตามสบาย นิ้วเหยียดตรง ไม่ต้องเกร็ง ค้างไว้ 5 วินาที

3.  การรักษาโดยการผ่าตัด แพทย์จะผ่าตัดบริเวณข้อมือ โดยฉีดยาชาเฉพาะที่ หลังผ่าตัดอาจจะต้องใส่เฝือกชั่วคราวให้ข้อมือกระดกขึ้นเล็กน้อยและอยู่นิ่ง ประมาณ 2 สัปดาห์ จึงเอาเฝือกออกได้ 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.healthcarethai.com
นิ้วล็อก

เพิ่มเพื่อน

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

หมอนรองข้อฉีกขาด หรือ Meniscal Tears




หมอนรองข้อฉีกขาด หรือ Meniscal Tears
เข่าเป็นข้อต่อที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายและมีความซับซ้อนมากที่สุด มีแนวโน้มที่จะได้รับบาดเจ็บได้ง่าย เพราะว่ามีการใช้งานมากเกินไป เข่าประกอบด้วยหลายส่วนมาก ความผิดปกติจึงเกิดขึ้นได้หลายส่วน
หมอนรองข้อฉีกขาดเป็นการบาดเจ็บข้อเข่าที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะคนที่เล่นกีฬาที่ต้องมีการปะทะจะเสี่ยงเกิดหมอนรองข้อฉีกขาด อย่างไรก็ตาม คนทุกเพศทุกวัยก็จะมีโอกาสเกิดหมอนรองข้อฉีกขาดได้
โครงสร้างเข่าที่ปกติ
มีกระดูก 3 ส่วนมาประกอบกันเป็นข้อเข่า คือ กระดูกต้นขา(thighbone)  กระดูกแข้ง(shinbone) และสะบ้า (kneecap) สะบ้าจะอยู่ด้านหน้าของข้อเข่าเพื่อเป็นเกราะป้องกัน
มีกระดูกอ่อนรูปลิ่ม 2 ชิ้น อยู่ระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้งเหมือนตัวรับแรงกระแทก เรียกว่าหมอนรองข้อ ที่เหนียวและคล้ายยางเพื่อที่จะช่วยรองรับข้อต่อและทำให้เข่ามีความมั่นคง
คำอธิบาย (Description)
หมอนรองข้อฉีกขาดได้หลายทาง การฉีกขาดนั้นจะดูจากลักษณะที่ฉีกและตำแหน่งที่เกิดในหมอนรองข้อ จะมีฉีกขาดตามแนวยาว ขาดเป็นจงอยปากนกแก้ว
 สาเหตุ(Cause)
หมอนรองข้อฉีกขาดกะทันหันนั้นเกิดได้บ่อยในช่วงเล่นกีฬา  นักกีฬาอาจจะนั่งยองหรือบิดเข่าซึ่งก่อให้เกิดการฉีกขาด มีการปะทะโดยตรง ในผู้สูงอายุมีแนวโน้มเกิดหมอนรองข้อเสื่อมตามวัย(Degenerative meniscal tears) มีผิวข้อแตกและสึกไปตามอายุที่มากขึ้น เนื้อเยื่อเก่ามีแนวโน้มฉีกขาดได้ง่าย เพียงแค่เผลอบิดเข่าเมื่อลุกขึ้นจากเก้าอี้ก็อาจจะทำให้ฉีกขาดได้
อาการ(Symptom)
เมื่อหมอนรองข้อฉีกจะรู้สึกpop ที่เข่า ส่วนใหญ่คนไข้จะยังสามารถเดินได้และนักกีฬาจำนวนมากก็ยังคงเล่นกีฬาได้แม้ว่าหมอนรองข้อจะฉีก  เมื่อผ่านไปซัก 2-3 วัน จะเริ่มรู้สึกตึงเข่าเพิ่มมากขึ้นและเข่าก็จะบวม
อาการหมอนรองข้อฉีกขาดที่พบได้บ่อย คือ
- ปวด
- ตึงและบวม
- รู้สึกเข่าขัดกันหรือเข่าล๊อค
- รู้สึกเหมือนเข่าหลุด
- สามารถงอเข่าได้ไม่สุด
ถ้าหากไม่รับการรักษา ชิ้นส่วนของหมอนรองข้อก็จะหลวมและจะเคลื่อนเข้ามาขัดภายในข้อ ทำให้เข่าเคลื่อน มีเสียงป๊อบหรือว่าเข่าล๊อค
การตรวจทางแพทย์ (Doctor Examination)
การตรวจทางร่างกายและประวัติการรักษา(Physical examination and patient history)
เมื่อคนไข้ได้เล่าอาการและประวัติการักษาแล้ว แพทย์จะตรวจดูที่หัวเข่า ดูความเจ็บปวดตามแนวข้อที่มีหมอนรอง ที่จะเป็นตัวบ่งบอกว่าหมอนรองข้อฉีกขาด
การตรวจดูหลักๆก็คือการตรวจ McMurray test โดยแพทย์จะงอเข่าและเหยียดเข่าและหมุนเข่า ถ้าหากคนไข้มีหมอนรองข้อฉีกขาด การเคลื่อนไหวต่างๆที่ทดสอบจะมีเสียง Clicking
การตรวจถ่ายภาพ (Imaging tests)
อาจจะมีการถ่ายภาพรังสีเพื่อยืนยันการวินิจฉัยเนื่องจากปัญหาที่เข่าต่างๆนั้นจะมีอาการที่คล้ายกัน
X-rays ถึงแม้ว่า ภาพX-raysจะไม่แสดงให้เห็นหมอนรองข้อที่ฉีกขาด แต่จะแสดงให้เห็นสาเหตุของการปวดเข่าอื่นๆ เช่น ข้อเข่าเสื่อมได้

MRI (Magnetic resonance imaging) จะทำให้เห็นภาพของเนื้อเยื่ออ่อนของข้อเข่าได้ดีมากขึ้น
การรักษา(Treatment)  
ในการรักษาจะขึ้นอยู่กับรูปแบบการฉีกขาด ขนาดที่ฉีกและตำแหน่งที่ฉีกขาด
โดยพื้นที่ 1 ใน 3 ของหมอนรองข้อด้านนอกนั้น จะมีเลือดมาหล่อเลี้ยงมาก การฉีกขาดที่ “red zone” ก็จะสมานได้ด้วยตัวเองหรือว่ามักจะซ่อมโดยการผ่าตัดได้ ตัวอย่างของการฉีกแบบนี้นั้นจะเป็นการฉีกตามแนวยาว
ในทางกลับกัน ส่วนพื้นที่ 2 ใน 3 ของหมอนรองข้อด้านในนั้นจะไม่มีเลือดมาเลี้ยง การฉีกขาดใน “white zone”ก็จะไม่สามารถสมานได้ด้วยตัวเองได้ อันเนื่องมาจากไม่มีสารอาหารจากเลือดมาหล่อเลี้ยง และมักพบว่าผิวข้อบางและสึกแล้ว การฉีกขาดส่วนนี้มักจะถูกเล็มทิ้งเนื่องจากไม่สามารถสมานติดเองได้
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการรักษา ก็คือ รูปแบบในการฉีกขาด อายุ ระดับของกิจกรรมที่ทำและการบาดเจ็บอื่นที่เกี่ยวข้อง
 การรักษาแบบไม่ผ่าตัด (Nonsurgical treatment)
ถ้าหากเกิดการฉีกขาดเล็กน้อยบริเวณขอบหมอนรองข้อ อาจจะไม่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด หากไม่มีอาการแสดงและเข่ายังคงมั่นคง
RICE  protocol มีประสิทธิภาพดีกับการบาดเจ็บจากกีฬาเป็นส่วนใหญ่ RICE ที่ย่อมาจากRest (พัก)  Ice (ประคบเย็น) Compression (พันข้อ) และElevation (ยกขาสูง)
-Rest (พัก) ให้หยุดพักการทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บ แพทย์อาจจะแนะนำให้ใช้ไม้ค้ำยันเพื่อหลีกเลี่ยงการลงน้ำหนักที่ขา
-Ice (ประคบเย็น) ใช้ถุงเย็นประคบที่เป็นประมาณ 20 นาที วันละหลายครั้ง อย่าประคบน้ำแข็งโดยตรงที่บนผิวหนัง
-Compression (พันข้อ) ป้องกันการบวมเพิ่มขึ้นและสูญเสียเลือดให้สวมผ้าพันข้อชนิดยืดหยุ่น
-Elevation(ยกขาสูง) ลดการบวม ขณะพักให้นอนลง และยกขาให้สูงเหนือระดับหัวใจ
ใช้ยาลดอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตรียรอยด์(Non-steroidal anti-inflamatory medicines) เป็นยากลุ่มเดียวกับaspirin หรือ ibuprofen จะช่วยลดอาการปวดบวมลงได้
การรักษาโดยการผ่าตัด(Surgical treatment)
ถ้ารักษาแล้วยังคงมีอาการอยู่ แพทย์อาจจะแนะนำให้รักษาโดยวิธีผ่าตัดส่องกล้อง
ขั้นตอนผ่าตัด(Procedure) โดยวิธีส่องกล้องที่หัวเข่าเป็นการผ่าตัดที่พบได้บ่อย โดยที่กล้องขนาดจิ๋วจะถูกใส่เข้าไปให้มองเห็นสภาพภายในข้อได้ชัดเจน โดยผ่าเป็นช่องแผลเล็กและแพทย์จะใส่อุปกรณ์ผ่าตัดขนาดเล็กเข้าไปเพื่อที่จะล็มหรือเย็บซ่อมส่วนที่ฉีกขาด
 การกายภาพฟื้นฟู (Rehabilitation)
หลังจากผ่าตัดแพทย์อาจใส่เฝือกหรือ brace เพื่อที่จะควบคุมการเคลื่อนไหว เมื่อเกิดการสมานกันอย่างสมบูรณ์ แพทย์จะให้ออกกำลังเพื่อฟื้นฟู คนไข้ควรที่จะทำกายภาพเป็นประจำเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของเข่าและเพิ่มความแข็งแรง โดยควรเริ่มจากฝึกช่วงการงอเหยียดและฝึกความแข็งแรงเป็นลำดับต่อไป ส่วนใหญ่คนไข้สามารถทำได้ที่บ้าน

ขอบคุณข้อมูลจาก www.jointdee.info/knee/meniscus-tear/หมอนรองข้อฉีกขาด/

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อ้วน! เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกสันหลัง – กระดูกข้อ หักได้



อ้วน! เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกสันหลัง – กระดูกข้อ หักได้

        รู้หรือไม่ ? อ้วน ไม่ใช่แค่การทำให้เสียบุคลิกภาพไม่สวย ไม่หล่อ กันแล้วยังมีผลเสียด้านอื่น ๆ อีกเพียบ เสี่ยงต่อการเป็นโรคไขมันอุดตัน โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคกล้ามเนื้อกระดูกสันหลัง กระดูกข้อ ต่าง ๆ ในร่างกายมีปัญหา โดยเฉพาะกระดูกมันไม่ได้แข็งแรงมากขนาดที่จะรับน้ำหนักตัวที่เยอะเกินไปได้ กล้ามเนื้อมากขึ้น ไขมันเพิ่มขึ้น แต่กระดูกอาจจะกำลังอ่อนแอลงก็เป็นได้ ความอ้วนอันตรายกว่าที่คุณคิดอย่างแน่นอน

ความอ้วนเป็นผลร้ายต่อกระดูกอย่างไร

       ให้คิดภาพตามก็ได้คนเราจะมีน้ำหนักที่เหมาะสมกับส่วนสูง ซึ่งจะเป็นคนที่ปกติตามเกณฑ์มาตรฐานแต่ถ้าผอมเกินไปก็ไม่ดีเหมือนกันนะ ไม่มีไขมันกล้ามเนื้อเลยกระดูกก็หักได้ง่าย ๆ เช่นกัน กลับมาที่คนอ้วนกันต่อเมื่อน้ำหนักตัวเรามากขึ้น นั่นหมายความว่ากระดูกข้อช่วงรับน้ำหนักจะต้องทำงานมากขึ้น กระดูกสันหลังก็รับน้ำหนักมากกว่าเดิม มีโอกาสสูงที่จะเกิดเป็นกระดูกข้อเสื่อม กระดูกสันหลังเสื่อม หัก แตก เปราะ บาง สลาย เคลื่อน เพราะมันไม่ใช่น้ำหนักปกติที่ร่างกายและกระดูกเราจะรับไหว

     สังเกตว่าหากไม่อยากมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกจะต้องไม่ยกของหนักเกินไป แต่ถ้าหากเมื่อไหร่ที่เราน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการยกของหนัก แถมยังยกอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย แบบไหนมันจะแย่กว่ากันลองคิดดู สำหรับใครที่รู้ตัวว่าตอนนี้น้ำหนักเริ่มจะมาเยอะแล้วก่อนที่จะสายเกินแก้ต้องรีบหาทางเบิร์นได้แล้ว ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที ให้ได้เหงื่อจะได้มีการเผาผลาญไขมันออกไป สุขภาพกล้ามเนื้อ การเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ก็จะดีไปด้วยเหมือนกัน  ความอ้วนอันตรายจริง ๆ นอกจากเกี่ยวกับโรคของกระดูกแล้วความอ้วนยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่าง ๆ อีกมากมาย เอาเป็นว่าแน่ ๆ คือ อ้วนไม่ดีแน่ ๆ เพราะว่าถ้าอ้วนก็แปลว่าคุณไม่ได้สุขภาพดีแล้วนั่นเอง

      ใครที่กำลังอ้วน หรือเข้าข่ายอ้วนแล้วรีบกลับตัวอย่างด่วนเลยก่อนที่จะกลายเป็นหมู หรือจากหมูเป็นช้าง แบบนั้นคงเป็นภาพที่ไม่น่ามองเอาเสียเลย การออกกำลังกาย เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ลดอาหารที่มีไขมันสูง หรืออะไรก็ตามที่ทำให้อ้วนก็มักจะทำให้กระดูกพรุนไปพร้อมกันด้วย หันมารักษาหุ่น ดูแลสุขภาพเพื่อให้ระบบอื่น ๆ ภายในร่างกายของเราดีไปด้วยจะดีกว่า ถ้าหากเราไม่ดูแลตัวเองแล้วใครที่ไหนจะดูแลเราได้จริงไหม เมื่อไม่อ้วนแล้วการปวดข้อ ปวดหลังก็ดีขึ้นแต่ก็ต้องบวกกับการทำงานที่เหมาะกับตัวเองไม่โหมงาน ไม่โหมออกกำลัง ไม่ยกของหนักมาก และอยู่ในท่าอิริยาบถที่ถูกต้อง ไม่ควรอยู่ท่าเดียวนาน ๆ เท่านี้ก็ช่วยลดการปวดข้อและกระดูก กล้ามเนื้อต่าง ๆ ลงมาได้มากแล้ว

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน