ปวดหลัง โครงสร้างร่างกายที่สมดุลช่วยลดอาการปวดหลัง
เนื่องจากกิจวัตรประจำวัน และ
กิจกรรมต่างๆ เราจะต้องมีการเดิน นั่ง ท่าทางในการทำกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้มีผลโดยตรงต่อโครงสร้างร่างกาย การใช้ท่าทางที่เหมาะสมจะทำให้โครงสร้างร่างกายปรับตัวอยู่ในสมดุลได้ง่าย
แต่ถ้าหากเราท่าทางที่ไม่เหมาะสมเป็นประจำย่อมทำให้โครงสร้างถูกจัดให้เป็นไปตามท่าทางนั้นๆด้วยเช่น
ท่านั่งหากเรานั่งหลังค่อมทำงานโครงสร้างหลังก็จะงอแข็งขึ้นทุกวันจนกลายเป็นหลังค่อมถาวร
ท่าทางที่ใช้ในกิจกรรมประจำวันบ่อยๆนานๆจึงมีผลต่อสุขภาพมากอย่างที่คุณอาจนึกไม่ถึง
เพราะเมื่อโครงสร้างร่างกายถูกหล่อหลอมให้บิดเบี้ยวไปแล้วก็ยากที่จะกลับคืนมาโดยง่ายและท่าทางนั้นทำให้โครงสร้างคตจนเกิดการปวดหลังจึงแก้ไขได้ยากการจะทำให้โครงสร้างร่างกายอยู่ตรงในแนวปกติจึงต้องดูแลเรื่องท่าทางอย่างมาก ดูแลให้ท่าทางนั้นเป็นท่าที่เหมาะสมตลอดเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดหลังขึ้นตัดไฟเสียแต่ต้นลมย่อมดีกว่าคอยตามรักษาผลที่เกิดขึ้นขอเพียงมีความรู้และปฏิบัติตัวให้ถูกต้องเท่านี้อาการปวดหลังก็จะไม่มาเยี่ยมเยียนเราบ่อย
ท่าทางที่ถูกต้องตามหลักกายวิภาคท่าทางที่ถูกต้องคือท่าทางที่เหมาะสม
จะมีค่ามาตรฐานสำหรับการยืนนั่ง นอน นอนตะแคง นอนหงาย ท่ายกของ ท่าอะไรต่างๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่าจะใช้กำลังของกล้ามเนื้อน้อยนั่นก็เป็นท่าทางที่ถูกแนะนำกันโดยทั่วไป
เช่นปวดหลังอย่าก้มหลังนะ นอนที่นอนแข็ง นั่งตัวตรงพิงพนัก นอนหงายต้องมีหมอนรองใต้เขา อะไรประมาณนี้ ที่เราอาจจะต้องเคยได้ยินกันมา
จริงๆแล้วโลกนี้ไม่ได้เป็นมีเฉพาะท่าที่ถูกต้องตามหลักกายวิภาคศาสตร์เท่านั้นแต่ยังมีค่าที่ถูกต้องตามหลักธรรมชาติศาสตร์ด้วย ท่าตามหลักธรรมชาติศาสตร์คือท่าแบบที่ธรรมชาติเป็นตัวกำหนด
ธรรมชาติสร้างมนุษย์ขึ้นมาพร้อมกลไกการป้องกันตัว มีการตักเตือนเมื่อเราใช้ชีวิตผิดไป ซ่อมแซมรักษาตัวเองเมื่อเจ็บป่วย รวมถึงธรรมชาติยังช่วยจัดท่าทางที่เหมาะสมให้เราด้วย ธรรมชาติเตือนด้วยความปวดเมื่อยเมื่อเราอยู่ในท่าทางที่ไม่เหมาะสม เราจึงเปลี่ยนท่าทางโดยอัตโนมัตินั่นคือการใช้ท่าทางตามหลักธรรมชาติศาสตร์ วันๆหนึ่งเราใช้ท่าทางตามหลักธรรมชาติศาสตร์ตลอดเวลาซึ่งจะทำให้ไม่เจ็บป่วยโครงสร้างร่างกายไม่ผิดปกติแต่ถ้าไม่ทำตามธรรมชาติเขาเตือนด้วยความปวดเมื่อยแต่ไม่ยอมเปลี่ยนท่าทางเนื่องจากเหตุผลร้อยแปดกำลังทำงานเร่งด่วนอยู่บ้าง
กำลังเล่นเกมติดพันอยู่บ้าง จำเป็นต้องยืนอยู่บนรถเมล์บ้างนั่นคือการฝืนธรรมชาติธรรมชาติจึงเตือนอีกครั้งด้วยการส่งความปวดหลังมาให้ถ้ายังไม่สำนึกแก้ไขอีกเขาก็จะเตือนรุนแรงขึ้นจนอาจเดินด้วยไม่ได้ก็ได้
การใช้ท่าทางตามหลักธรรมชาตินั้นคือ
การใช้ร่างกายหลากหลายรูปแบบ มีทั้งการก้ม เงย บิดเอี้ยวตัว เอียงคอ แอ่นหลัง
หมุนลำตัว ช่วงเวลาหนึ่งเราต้องก้มจึงจะเหมาะสม ช่วงเวลาหนึ่งเราต้องเงยอะไรแบบนี้
การท่าทางอย่างเหมาะสมจะทำให้เรามีสุขภาพดี คิดแล้วอยู่ที่การใช้ท่าทางให้สอดคล้องกับธรรมชาติของโครงสร้างร่างกายซึ่งก็คือร่างกายที่ตั้งตรงซีกซ้ายและซีกขวาของร่างกายต้องสมดุลกันเราพยายามพิจารณาท่าทางที่ทำให้เกิดโครงสร้างนี้ก็พอ
ส่วนท่าที่ไม่ดีคือท่าที่ต้องนิ่งอยู่นานๆ แม้ท่านั้นจะเป็นท่าที่ถูกต้องตามหลักกายภาพศาสตร์ก็ตามก็ยังคงเป็นท่าที่ไม่ดีเมื่อต้องอยู่ในท่านั้นนานเกินไป
เมื่อรู้ตัวว่าต้องนั่งนานเราจะต้องจัดหาทางให้ตัวตรงพิงพนักที่มีที่เท้าแขนสะโพกและเข่างอ
90 องศาวางเท้าราบบนพื้น นี่คือท่าที่จะเมื่อยช้าที่สุดในท่านั่งทั้งหมดเช่นเดียวกับเมื่อต้องนอนนานก็ต้องจัดท่านอนให้ถูกหลัก
จะนอนได้นานโดยเมื่อยน้อยกว่าเท่าอื่นสรุปก็คือเมื่อไหร่ต้องอยู่ในท่านั้นนานๆควรใช้ท่าทางตามหลักกายวิภาคศาสตร์
แต่ถ้าไม่อยู่นานก็อาจจะไม่ต้องสนใจท่าทางมากนะขอเพียงคิดเสมอว่าให้ตัวตรงก็พอแล้วธรรมชาติจะเป็นตัวดูแลท่าทางให้เรา