disable right click

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ผู้สูงอายุที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้กระดูกหนาขึ้นได้หรือไม่




ผู้สูงอายุที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้กระดูกหนาขึ้นได้หรือไม่

               มีผู้สงสัยว่า  ร่างกายของคนเรานั้นจะสามารถสะสมเนื้อกระดูกให้หนาขึ้นได้จนถึงอายุ 30 ปีเท่านั้น จากนั้นไม่ว่าจะกินอาหารที่มีธาตุแคลเซียมเพียงใด กระดูจะไม่หนาขึ้นได้อีก ตรงกันข้าม กระดูกจะมีแต่บางลงเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน กระดูกมีโอกาสบางลงอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้ดูแลเรื่องการกินอยู่ให้เหมาะสม

                 แต่ได้ทราบจากข้อมูลอีกด้านหนึ่งกว่า การออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนักกระแทกที่ส้นเท้า อย่า
เช่น การวิ่งเป็นประจำ จะทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น จึงเกิดข้อสงสัยว่า การที่กระดูกแข็งแรงขี้นจากการวิ่งอยู่เป็นประจำ หมายถึงอย่างไร หมายความว่ากระดูกหนาขึ้น หรือว่าหมายถึงอย่างอื่นได้ด้วย เพราะถ้าหากบอกว่าคนอายุ ๕๐  หรือ ๖๐ ปี วิ่งออกกำลังเป็นประจำแล้วทำให้กระดูกหนาขึ้น (ถ้าหากแทนความหมายของความแข็งแรงด้วยความหนา) ก็คงขัดกับข้อมูลข้างต้น ที่บอกว่าเมื่ออายุเลย 30 ปีแล้วกระดูกนั้นจะไม่หนาขึ้นอีก

                 จึงอยาก ทราบว่าความแข็งแรงของกระดูกมีความหมายอย่างไร วัดจากอะไร และตัวอย่างที่ยกมา คนอายุ 60 ปี วิ่งเป็นประจำ จะทำให้กระดูกหนาขึ้นได้หรือไม่ ซึ่งนพ.ธวัช  ประสาทฤทธา เป็นผู้ให้คำตอบดังนี้

คำตอบ

         คนปกติสามารถสะสมความหนาแน่นหรือปริมาณเนื้อกระดูกให้มีมากที่สุด หรือ peak bone mass ได้ตั้งแต่เด็กถึงอายุประมาณ 18-20 ปี จากนั้นความหนาแน่นหรือปริมาณเนื้อกระดูกจะอยู่คงที่จนถึงอายุ 25-30 ปี แล้วจะค่อยๆ ลดต่ำลงขึ้นกับแต่ละบุคคล และปัจจัยเสี่ยงต่างๆรายล้อม ความหนาแน่นของกระดูกวัดได้เป็นค่า BMD (bone mass density) มีวิธีการวัดได้หลายวิธี ในคนสูงอายุที่วัดค่า BMD ได้ต่ำกว่าปกติ คืออยู่ที่ระหว่าง 1.0-2.5 SD (ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน) ของค่าเฉลี่ยปกติในคนวัยหนุ่มสาว จะถือว่าคนๆ นั้นมีเนื้อกระดูกลดลง

             แต่ถ้าหากวัดได้ต่ำลงไปอีก คือที่ ต่ำกว่า 2.5 SD ของค่าปกติ ถือว่าบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่เรียกว่ากระดูกพรุน คือ ความหนาแน่นของกระดูกต่ำจนถึงระดับอันตราย หมายถึง กระดูกจะสามารถหักได้ง่าย มีการศึกษา พบว่า คนสูงอายุที่กระดูกหักได้ง่าย จากการกระแทกไม่รุนแรง ไม่มีอุบัติเหตุที่รุนแรงจะมีค่า BMD ที่ต่ำกว่า 2.5 SD

         ดังนั้นความแข็งแรงของกระดูก จึงหมายถึงว่า ไม่หักง่าย การวัดจากภาพถ่ายรังสีจะสามารถบอกได้คร่าวๆ การวัดที่แน่นอน คือ การใช้เครื่องมือทันสมัย อย่างเช่น อัลตราซาวนด์, คอมพิวเตอร์ เป็นต้น ที่วัดเป็นค่า BMD ในทุกๆคนที่มีอายุเพิ่มขึ้น ค่า BMD จะลดลง แต่จะลดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะหมดไปก่อน เกิดความเสี่ยงสูงต่อการเกิดกระดูกหัก ซึ่งมีการคาดคะเน หรือพยากรณ์โรคหลังจากวัดค่า BMD ได้ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเกิดกระดูกหักได้หรือไม่ ผู้ที่มีเนื้อกระดูกต่ำถึงขั้นอันตราย มักไม่มีสัญญาณเตือนภัยใดๆ

ถ้าหากมีสัญญาณเตือนเราจะสามาถระวังและหาวิธีป้องกัน แต่ว่ากระดูกพรุนไม่มีอะไรมาเตือนได้ ดังนั้นจึงมีหลักการสำหรับการป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้ คือ

1. ต้องสะสมเนื้อกระดูกให้ถึงจุดสูงสุดตั้งแต่ในวัยเด็กและหนุ่มสาว

2. ลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น เหล้า บุหรี่ กาแฟ ทำงานนั่งโต๊ะ เป็นต้น เพื่อป้องกันการสูญเสียเนื้อกระดูก

เมื่อมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยการเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน เล่นกีฬา ตากแดด จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ระบบต่างๆ เช่น หัวใจ ปอด หลอดเลือด จะมีศักยภาพสูงขึ้น ร่างกายแข็งแรงขึ้น เนื้อกระดูกนั้นจะเสื่อมสลายได้ช้ากว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลัง การยกน้ำหนักนั้นจะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ไม่ลีบหรือแฟบเร็วกว่าที่ควรจะเป็น


การวิ่งนั้นเป็นการออกกำลังแบบแอโรบิก ก็คือ สามารถทำให้ร่างกายมีอากาศออกซิเจนเพิ่มขึ้นกว่าปกติ ขณะเดียวกันการวิ่งจะทำให้กระดูกกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น แต่ถ้าหากมีอาการปวดเข่า หรือปวดหลัง หรือปวดข้อเท้า ก็ควรหยุดวิ่ง เปลี่ยนไปออกกำลังกายแบบอื่นแทน ที่ไม่ต้องมีการกระแทกข้อเข่ามากจนเกินไป เพราะการวิ่งแต่ละครั้งเข่าต้องรับน้ำหนักถึง 10 เท่าน้ำหนักตัวเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก  https://www.doctor.or.th/ask/detail/2196