ลดอาการปวดหัวเข่าแบบพึ่งยาน้อยที่สุด
เป็นที่น่าสังเกตว่า
มีผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 70-80 ปี อาการส่วนใหญ่พบว่าปวดเข่าข้างเดียว
โดยเฉพาะเวลาขึ้นลงบันได บางท่านมีเสียงกรอบอกรบในหัวเข่า
ลองใช้มือกดที่ลูกสะบ้าจะได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บ
นพ. วิวัฒน์
วิริยกิจจาจึงได้แนะนำวิธีปฏิบัติตัวเพื่อจัดการปัญหาเหล่านี้โดยพึ่งพายาน้อยที่สุด
หรือไม่ควรเสียสตางค์มากเกินไป
วิธีสังเกตอาการ
1 . มักมีอาการปวดเข่าข้างเดียวนั้น
แสดงว่าผู้ป่วยคนนั้นใช้ขาข้างเดียว เช่น ยืนลงน้ำหนักข้างเดียว ฉะนั้น
ขาข้างที่เราลงน้ำหนักบ่อยๆ จึงต้องทำหน้าที่แทนขาอีกข้างหนึ่ง นานๆไปจะเสื่อมเร็วกว่าปกติ
2 .
มักมีอาการปวดเข่าตอนเดินขึ้นบันได แสดงว่าเกิดการเดินขึ้น
ลงที่สูงเป็นการกระตุ้นอาการปวด ความจริงขณะที่ยังไม่มีอาการ
เราควรฝึกให้ร่างกายเกิดความเคยชิน เช่น ใช้บันไดแทนลิฟต์บ้าง เป็นต้น
3 .
จากการที่พบในคนอายุไม่มาก
แสดงว่าระบบกระดูกและไขข้อของคนไทยเรามีปัญหา ซึ่งน่าจะเกิดจากร่างกายขาดสารอาหาร
โดยเฉพาะแคลเซียม
ปกติถ้าร่างกายได้รับแคลซียมอย่างเพียงพอ
ช่วงอายุ 40 ปี ไม่น่ามีปัญหาเรื่องเข่า อาหารที่แนะนำ คือ
น้ำเต้าหู้ผสมงาดำและมะขามป้อม ซึ่งมีแคลเซียมและเลซิติน
ช่วยการทำงานของระบบประสาท และช่วยลดการอักเสสบของกระดูกและเส้นเอ็น
นอกจากวิธีสังเกตเหล่านี้แล้ว
ยังมีข้อปลีกย่อยอีกมากมาย
ซึ่งหมอมีการแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหา
ปวดเข่าตามรายละเอียด ดังต่อไปนี้
1. อาหารการกิน ควรกินน้ำเต้าหู้ผสมงาดำ ขอให้ซื้อสดๆใหม่ๆจากอาแป๊ะในตลาดดีกว่าและเราควรได้วิตามินซีจากผลไม้ทุกชนิด
สูงสุดอยู่ที่มะขามป้อม
2. ควรรับแสงแดดเสียบ้าง ซึ่งให้วิตามินดี
ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง ขอแนะนำให้เดินเร็วๆในช่วงเช้าและเย็น อย่ากลัวแดดจนเกินไป
ขณะนี้คนทั่วไปมักเชื่อโฆษณาครีมผิวขาว ตัวขาวแต่อ่อนแอ หรือตัวดำแต่แข็งแรง
คุณเลือกอะไร ถ้าเป็นหมอ หมอเลือกตัวดำแต่แข็งแรง
3. การออกกำลังกายที่ดีที่สุด คือ การเดิน
ไม่มีข้อห้ามอะไร แม้จะปวดหัวเข่า ทุกคนควรเดิน หากไม่มีโอกาสเดิน
คุณภาพชีวิตจะหายไปครึ่งหนึ่ง ถ้ามีอาการปวดเข่า อาจจะเลือกเดินตามพื้นที่ราบ
ไม่ควรขรุขระมากนัก
4. ออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อต้นขาแข็งแรง
เพื่อช่วยพยุงกระดูกและข้อ โดยการนั่งตัวตรงบนเก้าอี้พอให้เท้าพ้นจากพื้น
จากนั้นเหยียดเท้าซ้ายออกไป เกร็งให้เต็มที่จนสุดแรงเกิด จะนับ 1 ถึง 20 ก็ได้ แล้วค่อยๆผ่อน สลับทำกับเท้าขวา
ทำอย่างนี้สลับกันไปมาสักข้างละ
20 ครั้งทุกวัน ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ จนรู้สึกผ่อนคลาย
จากนั้นก็ถ่วงน้ำหนักด้วยขวดน้ำหนึ่งลิตร ใส่ถุงพลาสติกแขวนไว้ที่ปลายเท้า
ทำตามขั้นตอนเดิมทุกวัน ติดต่อกันอีกหนึ่งอาทิตย์
สุดท้ายให้ถ่วงน้ำหนัก
2 กิโลกรัม ที่ปลายเท้าด้วยถุงพลาสติกใส่ขวดน้ำ 1 ลิตร 2 ขวด จากนั้นใช้วิธีถ่วงน้ำหนัก
2 กิโลกรัมไปเรื่อยๆ วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น
ทั้งนี้เราควรเลือกใช้วิธีจัดการสุขภาพโดยวิถีธรรมชาติดีกว่า
นอกจากออกกำลังกายแล้ว ให้กินอาหารแทนยา มิใช่กินยาแทนอาหาร
พร้อมปรับวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพ