disable right click

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559

อาการเอ็นข้อไหล่ฉีก




อาการเอ็นข้อไหล่เกิดการฉีกมีสาเหตุมาจากอะไร 

เวลาที่เอ็นข้อไหล่เกิดการฉีกขาดความเจ็บปวดที่นอนหลับไม่ลงก็ตามมา เพราะความเจ็บนั้นเกินจะบรรยายจริง ๆ มันไม่มีใครอยากจะป่วยแน่ ๆ แต่ถ้าหากมันเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องยอมรับและหาทางในการรักษา ในการเจ็บแบบนี้บางคนก็ยังสามารถขยับแขนเองได้ บางคนก็จะเจ็บบางช่วงที่มีการเคลื่อนไหว แต่ว่าหากอาการเอ็นฉีกอย่างหนักเลยนั้นจะไม่สามารถขยับแขนได้เลย ถ้าเป็นแบบนั้นแปลว่าเส้นเอ็นของไหล่นั้นได้ฉีกไปหมดเลย

เอ็นข้อไหล่ฉีกเกิดมาจากสาเหตุใด

คนเรามาอายุไขเส้นเอ็นเองก็มีการเสื่อมไปได้เหมือนกัน เส้นเอ็นข้อไหล่เลือดไปเลี้ยงไม่ค่อยถึงจึงมีการเสื่อมสภาพได้เร็ว จากนั้นพอมันเสื่อมก็จะเริ่มฉีกขาดเพราะมันอ่อนแอมาก ปัญหาส่วนใหญ่ที่เส้นเอ็นฉีกเพราะเสื่อมนั้นจะเกิดกับผู้สูงอายุมากกว่าวัยอื่น ๆ แต่ว่าคนปกติก็มีโอกาสที่จะเกิดเส้นเอ็นฉีกได้เช่นกันหากทำกิจกรรมต่าง ๆ แล้วเกิดอุบัติเหตุหรือผิดท่าทางไป โดยเฉพาะกิจกรรมอะไรก็ตามที่จะต้องมีการใช้งานช่วงแขน ไหล่ และ  และหลังหนัก ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกีฬา เช่น ปิงปอง เทนิส บาสเก็ตบอล วอลเล่ย์บอล และ แบตมินตัน เป็นต้น แต่ก็ยังรวมถึงอย่างอื่นที่ต้องใช้แขน และไหล่เยอะด้วย  ยิ่งเคลื่อนไหวเยอะติดต่อกันนานก็ยิ่งเสี่ยงมากขึ้น

การออกแรงที่เกินกำลังของร่างกายก็ทำให้เอ็นข้อไหล่ฉีกได้เช่นกัน เป็นการฝืนร่างกายข้อนี้ถือว่าอันตรายมาก ๆ หรือกับกิจกรรม พฤติกรรม ที่จะต้องทำให้ร่างกายรับน้ำหนักของมากไป ใช้แรงมากไป ล้วนเสี่ยงเหมือนกัน นอกจากนี้ก็ยังมีอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบที่หัวไหล่โดยตรงนั้นจะทำให้เอ็น กล้ามเนื้อ และ กระดูก แตก ฉีก ได้ในทันทีเลย

อาการปวดของเอ็นข้อไหล่ฉีก

ความเจ็บปวดจากการได้รับบาดเจ็บที่เส้นเอ็นข้อไหล่ฉีกนั้น ยิ่งถ้ามีการฉีกมากเท่าไหร่ ความเจ็บก็ยิ่งทวีมากขึ้นเท่านั้น อย่างที่กล่างข้างต้นบางคนอาจจะไม่สามารถขยับแขนตัวเองได้เลย แต่บางคนฉีกเล็กน้อยยังขยับได้แต่ก็ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันลำบาก อาจจะมีเจ็บแพล็บเตือนมาในตอนที่ขยับแขนและไหล่

สำหรับทางเลือกในการรักษาก็มีแค่การ ผ่าตัด และ ไม่ผ่าคือ การทำกายภาพบำบัดตามหลักที่ถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์ แต่อย่างไรก็ดีแนวทางในการรักษาเส้นเอ็นข้อไหล่ฉีกนั้นก็ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยอาการของทางแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อที่จะได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันการหากมีอาการปวดขึ้นมาจนรู้สึกถึงความไม่ปกติให้รีบไปพบแพทย์ในทันที อย่ารอให้อาการหนักค่อยไปหาหมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก bumrungrad.com/th/orthopedic-surgery-care-center-bangkok-thailand/conditions/shoulder-rotator-cuff-surgery

ปวดไหล่ 


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2559

โรคลำไส้แปรปรวน-ไอบีเอส




โรคลำไส้แปรปรวน-ไอบีเอส  (IBS – Irritable  Bowel  Syndrome)  เป็นกลุ่มอาการที่เกิดร่วมกันมีหลายอาการ  สาเหตุจะมาจากลำไส้ตอบสนองจากสิ่งเร้าได้เร็วกว่าปกติ  จึงทำให้เกิดอาการปวดเกร็งแถวบริเวณท้องน้อยหรือบริเวณใต้สะดือ  ร่วมกับอาการท้องเสีย  หรือท้องผูก  หรือท้องเสียสลับกับท้องผูก  อาจจะมีมูกปนในอุจจาระ  อาการปวดจะหายไปหลังจากมีการขับถ่าย  อาจมีอาการท้องอืด  แน่นท้อง  หรือเรอด้วย ส่วนใหญ่อาการปวดท้องจะเกิดขึ้นตอนเช้าหรือหลังกินอาหาร  สำหรับคุณผู้หญิงจะมีอาการปวดท้องมากขึ้นเมื่อเป็นช่วงมีประจำเดือน

คุณรู้หรือไม่? 
โรคร้าย...   แต่ไม่ใช่โรคลำไส้แปรปรวน
เพราะลำไส้แปรปรวนมีหลายอาการร่วมกันอาจทำให้เกิดความสับสนได้ว่า  อาการที่กำเริบอยู่เป็นลำไส้แปรปรวนหรือไม่  โดยเรามีวิธีสังเกตอาการผิดปกติที่ส่อว่าอาจเป็นโรคร้าย  เช่น  กระเพาะอาหาร  มะเร็งลำไส้  แต่ไม่ใช่อาการของลำไส้แปรปรวน  ดังนี้  คือจะมีอาการรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ  เป็นไข้ตัวร้อน  มีเลือดปนในอุจจาระ  หน้าซีด  โลหิตจาง  น้ำหนักลด  หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร  ดังนั้นควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

เจาะสาเหตุลำไส้แปรปรวน
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคลำไส้แปรปรวนแน่ชัด  ดร.ดักลาส  เอ.  ดรอสแมน  (Dr. Douglas  A.  Drossman)  แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านช่องท้องอดีตผู้อำนวยการร่วม  UNC  Center  for  Functional  Gl  and  Motility  Disorders  และประธาน  Drossman  Center  for  the 
Education  and  Practice  of  lntegrated  Care  LLC  กล่าวว่า
“ความเครียดกับโรคลำไส้แปรปรวนมีความสัมพันธ์กันเป็นอย่างมาก” 
อารมณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความกลัว  ความโกรธ  ความตื่นเต้น  ความเครียด  ความเศร้า  ฯลฯ  ทั้งหมดล้วนส่งผลโดยตรงต่อระบบย่อยอาหาร  เพราจะทำให้ลำไส้ใหญ่เกิดการบีบตัวที่ผิดปกติ  ผู้ที่เกิดความตื่นเต้น  เช่น กำลังจะขึ้นเวทีต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรก  หรือคนที่จู่ ๆ ก็มีเหตุให้เครียดจัด  มักจะรู้สึกปวดท้องขึ้นมาทันที 
อาการของลำไส้แปรปรวนนอกจากจะถูกกระตุ้นจากความเครียดได้ง่ายแล้ว  ยังมีอาหารเป็นตัวกระตุ้นได้ด้วย โดยเฉพาะอาหารประเภทที่มีไขมันสูง  เนื้อสัตว์  อาหารที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารมาก  เช่น  กะหล่ำปลี  นม  หอมหัวใหญ่  ชา  กาแฟ  น้ำอัดลม  เครื่องดื่มแอลอฮอล์  ยาและฮอร์โมนบางชนิดก็เป็นตัวการกระตุ้นอาการลำไส้แปรปรวนได้ด้วยเช่นกัน
โปรดสังเกตว่า ทั้งกรดไหลย้อนและลำไส้แปรปรวนมีตัวกระตุ้นให้เกิดคล้ายกัน  นั่นคืออาหาร   ความเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในร่างกาย  และความเครียด
สมุนไพรบำบัด  สุขภาพท้อง
หนังสือ  สมุนไพรน่ารู้  โดย  รองศาสตราจารย์  ดร. วันดี  กฤษณพันธ์  กล่าวถึงสมุนไพรหลายชนิดที่ช่วยขับลม  แก้อาการท้องอืด เฟ้อ  และแก้โรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้ เช่น 
- กะเพรา   ใช้เป็นยาช่วยขับลม  แก้ท้องอืด  ท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ  ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและรักษาผู้ที่เป็นโรคหืดได้
- กล้วยน้ำว้า   จัดเป็นสมุนไพรสารพัดประโยชน์  ช่วยรักษาอาการท้องเสีย  โดยให้กินผลห่ามครั้งละ  ½ -  1  ผล  ถ้าหากมีอาการท้องอืดร่วมด้วยให้เราดื่มน้ำขิง  สำหรับให้แก้อาการท้องผูกให้กินกล้วยน้ำว้าสุกวันละ  2  -  4  ผล
- ขิง   ช่วยขับลม  แก้อาการท้องอืด  ท้องเฟ้อ  และยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยเนื้อสัตว์  การดื่มน้ำขิงหลังอาหารจะสามารถช่วยขับลมได้ดี
- ขมิ้นชัน   แก้อาการท้องอืด  เฟ้อ  และจุกเสียด  โดยตำขมิ้นชันสดให้ละเอียด  จากนั้นคั้นเฉพาะน้ำแล้วนำมาผสมกับน้ำต้มสุกในอัตราส่วนเท่ากัน  กินครั้งละ  2  ช้อนโต๊ะ  วันละ  4  ครั้ง   หลังอาหารและก่อนนอน  หรือจะกินขมิ้นชันขนิดแคปซูลก็ได้
- กระชาย   แก้อาการท้องอืด  ท้องเฟ้อ  ขับลม  และท้องเสีย  วิธีทำอย่าง ๆ คือ ทุบกระชายน้ำหนัก  5 – 10  กรัมพอแตก นำไปต้มกับน้ำ ดื่ม หรือปรุงเป็นอาหาร  โดยในเมนั้นไม่ควรใช้พริกมากให้ใช้น้อยๆ พอ  เพราะพริกจะทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารและลำไส้ได้
- ตะไคร้   แก้อาการ  ท้องเฟ้อ ท้องอืด และช่วยขับลม โดยนำตะไคร้น้ำหนัก  40  กรัมไปต้มกับน้ำ ดื่มแก้อาการ หรือจะปรุงเป็นอาหารก็ได้

ทริป แก้ลำไส้แปรปรวนด้วยตนเอง
การดูแลอาการลำไส้แปรปรวนด้วยตนเองนั้น เราต้องเริ่มจากการหาสาเหตุของโรคให้ได้ก่อน  ดร.ดรอสแมนแนะนำว่า  ควรจดบันทึกพฤติกรรมของเราหรือสถานการณ์ในวันนั้น ๆ ไว้อย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุที่ก่อโรค  และควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตดังนี้
1.ลดการกินเนื้อสัตว์หรือไข่ซึ่งเป็นโปรตีนย่อยยาก  ควรกินโปรตีนจากเต้าหู้  ถั่วเหลือง  และเนื้อปลาซึ่งย่อยง่าย
2.หลีกเลี่ยงการกินของทอด  อาหารมัน ๆ หรือขนมเบเกอรี่ที่อุดมไปด้วยนม  เนย
3.ไม่ควรกินแป้งขัดขาว  เช่น  ข้าวขาว เส้นก๋วยเตี๋ยว  ควรกินธัญพืชไม่ขัดสี  เช่น  ข้าวกล้อง  ข้าวซ้อมมือ เส้นโฮลวีต  เมล็ดถั่ว   งา
4.เลี่ยงการกินอาหารรสจัดซึ่งทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร  เช่น  อาหารรสเผ็ดและเปรี้ยวจำพวกเมนูยำ  น้ำส้ม  น้ำมะนาว
5.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มจำพวก  ชา  กาแฟ  เหล้า  เบียร์  และน้ำเย็นจัด  ควรดื่มน้ำอุณหภูมิปกติหรือน้ำอุ่นวันละ  6 – 8  แก้ว
6.กินอาหารครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง  โดยปรับจากมื้อใหญ่ 3 มื้อ  เป็นมื้อย่อย  4 – 5  มื้อแทน  โดยเน้นกินผัก ผลไม้ที่มีใยอาหารมาก
7.ออกกำลังกายเป็นประจำ  เช่น  การรำกระบอง  ฝึกโยคะ  ฝึกซี่กง  ก็จะช่วยสร้างความแข็งแรงให้แก่ร่างกายและช่วยลดความเครียดลงได้
8.สู้ลำไส้แปรปรวนสไตล์ชีวจิต  อาจารย์สาทิสแนะนำวิธีแก้ลำไส้แปรปรวนไว้ดังนี้
งดการกินอาหารรสจัดและกินอาหารชีวจิต  ทำดีท็อกซ์อย่างน้อย  3  วัน  และกินยาธาตุบรรจบครั้งละ  3 – 5  เม็ด  วันละ  3  ครั้ง  หลังอาหาร
ไม่ว่าเราจะป่วยเป็นโรคอะไร  หากมีความรู้เกี่ยวกับโรคและรู้แนวทางในการดูแลที่ถูกต้องแล้ว  ชีวจิตเชื่อว่าเพียงแค่ลงมือทำตามความตั้งใจจริง  เราก็จะสามารถสยบโรคกรดไหลย้อน  โรคลำไส้แปรปรวน  หรือโรครายอื่น ๆ ได้อย่างแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก  ชีวจิต  เล่มที่  383     16  กันยายน  2557
ปวด

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2559

การดูแลตนเองเบื้องต้นเมื่อมีอาการปวดต้นคอ


การดูแลตนเองเบื้องต้นเมื่อมีอาการปวดต้นคอ

ผู้ที่มีภาวะปวดต้นคอ ส่วนใหญ่นั้นจะเกิดจากการที่ได้รับบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหรือเอ็นรอบคอ คอจะมีอาการแข็งอย่างเฉียบพลัน หลังจากที่เอี้ยว บิด หรือผิดท่า สามารถทำได้โดย
• พยายามพักการเคลื่อนไหวคอ
• รับประทานยาแก้ปวด หากปวดไม่มากนักใช้ยาพาราเซตามอล 500 mg. แต่หากปวดมากก็ให้รับประทานยากลุ่ม NSAID
• อาจจะประคบด้วยน้ำแข็งใส่ถุงพลาสติกห่อผ้าขนหนูวางบริเวณที่ปวด ในระยะแรกหรืออาจจะใช้น้ำอุ่นประคบประมาณ 10-15 นาที
• หากปวดมากจำเป็นต้องใส่ปลอกคอ แพทย์ไม่แนะนำให้จับเส้นเพราะอาจจะเกิดผลเสียได้
แนวทางการรักษาอาการปวดต้นคอประมาณ 90 เปอร์เซ็นสามารถรักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ดังนี้

การดูแลรักษาคอโดยวิธีทางกายภาพ

การทำกายภาพจะช่วยผ่อนคลายอาการปวดคอให้ท่านได้ โดยวิธีการดังต่อไปนี้
1.การทำประคบร้อน
2.การใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์
3.การอบร้อนด้วยเครื่องไฟฟ้าที่เรียกว่า Diathermy
4.การใช้เลเซอร์
5.การดึงคอ
6.การนวด
7.การใส่ปลอกคอ

การรักษาโดยแพทย์

1.แพทย์แนะนำให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น

-       การก้มหน้ามองดู หรือเล่นแท็บเล็ต หรือ มือถือ เป็นเวลานาน ก็จะทำให้เกิดอาการปวดบริเวณต้นคอได้ ควรตั้งมือถือหรือแท็บเล็ตใกล้ระดับสายตา เพื่อลดการก้มคอที่ต่ำจนเกินไป
-       การนั่งดูทีวีที่ไม่ถูกวิธีอาจทำให้ปวดต้นคอได้ วิธีการนั่งที่ถูกวิธี คือ การนั่งสบายๆ อย่านอนและก้มคอลงต่ำเกินไปอาจทำให้ปวดต้นคอได้ เป็นต้น
-การนอนที่ผิดวิธีเป็นเวลานานทำให้ปวดต้นคอได้ อาจใช้หมอนเพื่อสุขภาพ ทำให้นอนได้ถูกสุขลักษณะมากขึ้น
-       ระมัดระวังอิริยาบท ทั้งการนั่ง การยืน การนอน และการทำงาน
-       อย่าอยู่ท่าใดเป็นเวลานาน
-       ผู้ที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ท่าน ควรจะต้องจัดที่นั่ง หน้าจอให้เหมาะสม
-       การทำงานควรหาเวลาหยุดพักเพื่อออกำลังกล้ามเนื้อคอ เคลื่อนไหวคอ หรือเปลี่ยนอิริยบทสัก 2-3 นาทีทุกชั่วโมง
-       การเลือกเก้าอี้ที่เหมาะสม
-       สำหรับผู้สวมแว่นตา ควรจะวัดสายตาเพื่อตัดแว่นใหม่ให้เหมาะสมกับสายตา
-       การพักผ่อนที่เพียงพอ
-       ประเมินข้อจำกัดของตนเองในการเคลื่อนย้ายของที่หนัก

2.การรับประทานยาเพื่อลดอาการอักเสบของกระดูกข้อต่อบริเวณต้นคอ ลดการบวมของเส้นประสาท หรือยาแก้ปวดปลายประสาท หรือ ยาคลายกล้ามเนื้อต่างๆ จะช่วยลดอาการปวดต้นคอได้

3.การฉีดยาไปบล็อกเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงบริเวณกระดูก บริเวณสะบักด้านหลัง โดยที่ฉีดเข้าไปในบริเวณที่เจ็บหากจุดที่เจ็บมีการแข็งตัว มีการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติไป แพทย์จะใช้อัลตร้าซาวน์เพื่อนำไปสู่การฉีดยาตรงกล้ามเนื้อนั้น ทำให้การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อคลายตัวลง  อาการปวดก็จะทุเลาลง

       ทั้งนี้มีผู้ป่วยจำนวนน้อยมาก น้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ที่มีอาการปวดต้นคอเรื้อรังจึงจะต้องรับการผ่าตัด ดังนั้นหากมีอาการปวดต้นคอควรเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อมิให้มีการปวดเรื้อรังจนทำให้การดำเนินชีวิตประจำวันลำบากได้

ขอบคุณข้อมูล siamhealth.net/public_html/Disease/rheumatoid/neck_pain/neckpain.htm#.WFpEi1OLSM9

ปวดคอ

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ภาวะปวดต้นคอที่ควรรู้



ภาวะปวดต้นคอที่ควรรู้

ภาวะอาการปวดต้นคอมีสาเหตุทางด้านกายภาพของต้นคอมีดังต่อไปนี้
1.กล้ามเนื้อต้นคอเกร็งตัว ยืดตัว หรือ ฉีกขาด
2.มีการอักเสบของกระดูกข้อต่ออย่างเดียว
3.มีการเสื่อมของหมอนรองกระดูกต้นคอร่วมด้วย
4.มีการเคลื่อนที่ของหมอนรองกระดูกเพิ่มอีก แล้วไปกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดร้าวลงสะบัก ร้าวลงแขน ร้าวลงต้นแขน  และอาจทำให้การชาบริเวณนิ้วโป้ง นิ้วชี้ร่วมด้วย

ทั้งนี้สาเหตุของการปวดคอที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยนั้นเกิดมาจาก

1.การมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ทำให้กล้ามเนื้อบางมัดบริเวณคอถูกใช้งานมากเกินไป  เช่น การก้มดูแท็บเล็ตนานและต่ำกินไป การนอนที่ใช้หมอนสูงเกินไป ท่าที่แย่ที่สุด ที่ทำให้ปวดต้นคอได้ คือ ท่าที่แหงนศีรษะขึ้น เมื่อผู้หญิงที่มีอายุมากๆ 50 – 60 ปี เมื่อไปสระผมที่ร้าน จะมีการนอนแหงนศีรษะขึ้น จะเกิดอาการปวดที่ต้นคอได้ เนื่องจากว่าการนอนดังกล่าวเป็นการกดน้ำหนักทั้งหมอลงบนบริเวณกระดูกต้นคอ จะทำให้มีอาการปวดต้นคอได้

2.ผู้ที่มีความเครียดทางจิตใจ เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น หน้าที่การงาน เศรษฐกิจ ครอบครัว การพักผ่อนไม่พอเพียง ทำให้กล้ามเนื้อคอหดเกร็งตัวได้ จนเกิดอาการปวดต้นคอ

3.ต้นคอมีการเคล็ด หรือยอก อัน เกิดมาจากการที่กล้ามเนื้อคอทำงานมากเกินไป หรือเคลื่อนคอเร็วเกินไป หรือรุนแรงจนเกินไปทำให้เอ็นและกล้ามเนื้อคอถูกยืดมาก จนฉีกขาดบางส่วน  ตัวอย่างการกระทำที่ทำให้เกิดคอเคล็ดได้ เช่น การหกล้ม การหันไปข้างใดข้างหนึ่งเร็วเกินไป ก้มหาของใต้โต๊ะ  เป็นต้น

4.เนื่องจากมีการเสื่อมของหมอนรองกระดูกต้นคอ โดยส่วนใหญ่มักมีการเสื่อมที่บริเวณกระดูกต้นคอที่ 5 ที่ 6 ซึ่งกระบวนการในการเสื่อมเกิดขึ้น ดังนี้ คือ ปริมาณน้ำในหมอนรองกระดูกค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ ทำให้เกิดการอักเสบของกระดูกบริเวณข้อต่อของกระดูกสันหลังทั้งสองข้าง ร่วมกับการมีการเคลื่อนของหมอนรองกระดูกร่วมด้วย แล้วไปกดทับเส้นประสาททำให้เส้นประสาทบวม ทำให้มีอาการปวดบริเวณต้นคอ  บางครั้งมีอาการปวดบริเวณเบ้าตาด้วยและไปสู่การปวดหัวได้ เพราะมีการเกร็งกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ หากมีอาการเกร็งด้วยก็จะปวดตั้งแต่ต้นคอ ร้าวไปที่สะบักลงไหล่ได้

5.สาเหตุจากการบาดเจ็บเพราะอุบัติเหตุต่างๆ เช่น ถูกทำร้ายร่างกาย ตกที่สูง รถจักรยานยนต์หรือรถยนต์พลิกคว่ำ โดยที่ผู้ป่วยมักจะมีอาการบาดเจ็บของร่างกายส่วนอื่นร่วมด้วย

6.เป็นผู้ที่มีข้ออักเสบ เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังบางชนิด ก็อาจจะทำให้กระดูกต้นคออักเสบด้วย อย่างเช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก ww.siamhealth.net/public_html/Disease/rheumatoid/neck_pain/neckpain.htm#.V0BjPtR95iw

ปวดคอ

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ลดอาการปวดหัวเข่าแบบพึ่งยาน้อยที่สุด



ลดอาการปวดหัวเข่าแบบพึ่งยาน้อยที่สุด
เป็นที่น่าสังเกตว่า มีผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 70-80 ปี อาการส่วนใหญ่พบว่าปวดเข่าข้างเดียว โดยเฉพาะเวลาขึ้นลงบันได บางท่านมีเสียงกรอบอกรบในหัวเข่า ลองใช้มือกดที่ลูกสะบ้าจะได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บ
นพ. วิวัฒน์ วิริยกิจจาจึงได้แนะนำวิธีปฏิบัติตัวเพื่อจัดการปัญหาเหล่านี้โดยพึ่งพายาน้อยที่สุด หรือไม่ควรเสียสตางค์มากเกินไป
วิธีสังเกตอาการ
1   .     มักมีอาการปวดเข่าข้างเดียวนั้น แสดงว่าผู้ป่วยคนนั้นใช้ขาข้างเดียว เช่น ยืนลงน้ำหนักข้างเดียว ฉะนั้น ขาข้างที่เราลงน้ำหนักบ่อยๆ จึงต้องทำหน้าที่แทนขาอีกข้างหนึ่ง นานๆไปจะเสื่อมเร็วกว่าปกติ
2   .     มักมีอาการปวดเข่าตอนเดินขึ้นบันได แสดงว่าเกิดการเดินขึ้น ลงที่สูงเป็นการกระตุ้นอาการปวด ความจริงขณะที่ยังไม่มีอาการ เราควรฝึกให้ร่างกายเกิดความเคยชิน เช่น ใช้บันไดแทนลิฟต์บ้าง เป็นต้น
3    .     จากการที่พบในคนอายุไม่มาก แสดงว่าระบบกระดูกและไขข้อของคนไทยเรามีปัญหา  ซึ่งน่าจะเกิดจากร่างกายขาดสารอาหาร โดยเฉพาะแคลเซียม
ปกติถ้าร่างกายได้รับแคลซียมอย่างเพียงพอ ช่วงอายุ 40 ปี ไม่น่ามีปัญหาเรื่องเข่า อาหารที่แนะนำ คือ น้ำเต้าหู้ผสมงาดำและมะขามป้อม ซึ่งมีแคลเซียมและเลซิติน ช่วยการทำงานของระบบประสาท และช่วยลดการอักเสสบของกระดูกและเส้นเอ็น
นอกจากวิธีสังเกตเหล่านี้แล้ว ยังมีข้อปลีกย่อยอีกมากมาย ซึ่งหมอมีการแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหา
ปวดเข่าตามรายละเอียด ดังต่อไปนี้
1.     อาหารการกิน ควรกินน้ำเต้าหู้ผสมงาดำ ขอให้ซื้อสดๆใหม่ๆจากอาแป๊ะในตลาดดีกว่าและเราควรได้วิตามินซีจากผลไม้ทุกชนิด สูงสุดอยู่ที่มะขามป้อม
2.     ควรรับแสงแดดเสียบ้าง ซึ่งให้วิตามินดี ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง ขอแนะนำให้เดินเร็วๆในช่วงเช้าและเย็น อย่ากลัวแดดจนเกินไป ขณะนี้คนทั่วไปมักเชื่อโฆษณาครีมผิวขาว ตัวขาวแต่อ่อนแอ หรือตัวดำแต่แข็งแรง คุณเลือกอะไร ถ้าเป็นหมอ หมอเลือกตัวดำแต่แข็งแรง
3.     การออกกำลังกายที่ดีที่สุด คือ การเดิน ไม่มีข้อห้ามอะไร แม้จะปวดหัวเข่า ทุกคนควรเดิน หากไม่มีโอกาสเดิน คุณภาพชีวิตจะหายไปครึ่งหนึ่ง ถ้ามีอาการปวดเข่า อาจจะเลือกเดินตามพื้นที่ราบ ไม่ควรขรุขระมากนัก
4.     ออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อต้นขาแข็งแรง เพื่อช่วยพยุงกระดูกและข้อ โดยการนั่งตัวตรงบนเก้าอี้พอให้เท้าพ้นจากพื้น จากนั้นเหยียดเท้าซ้ายออกไป เกร็งให้เต็มที่จนสุดแรงเกิด จะนับ 1 ถึง 20 ก็ได้ แล้วค่อยๆผ่อน สลับทำกับเท้าขวา
ทำอย่างนี้สลับกันไปมาสักข้างละ 20 ครั้งทุกวัน ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ จนรู้สึกผ่อนคลาย จากนั้นก็ถ่วงน้ำหนักด้วยขวดน้ำหนึ่งลิตร ใส่ถุงพลาสติกแขวนไว้ที่ปลายเท้า ทำตามขั้นตอนเดิมทุกวัน ติดต่อกันอีกหนึ่งอาทิตย์
สุดท้ายให้ถ่วงน้ำหนัก 2 กิโลกรัม ที่ปลายเท้าด้วยถุงพลาสติกใส่ขวดน้ำ 1 ลิตร 2 ขวด จากนั้นใช้วิธีถ่วงน้ำหนัก 2 กิโลกรัมไปเรื่อยๆ วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น

ทั้งนี้เราควรเลือกใช้วิธีจัดการสุขภาพโดยวิถีธรรมชาติดีกว่า นอกจากออกกำลังกายแล้ว ให้กินอาหารแทนยา มิใช่กินยาแทนอาหาร พร้อมปรับวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก : ชีวจิต เล่มที่ 294 ปีที่ 13 : 1 ม.ค. 2554
ปวดเข่า

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2559

มาทำความรู้จักเอ็นไขว้หน้าหัวเข่าฉีกขาดกันเถอะ




มาทำความรู้จักเอ็นไขว้หน้าหัวเข่าฉีกขาดกันเถอะ
1    .     เอ็นไขว้หน้าหัวเข่าคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร
ภายในหัวเข่าคนเรามีเส้นเอ็นอยู่หลายเส้น ทั้งเส้นเอ็นภายในหัวเข่าและเส้นเอ็นรอบๆหัวเข่า ซึ่งเส้นเอ็นภายในหัวเข่าทั้งหมดนั้น จะทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงและเพิ่มความมั่นคงให้กับหัวเข่า ส่วนเส้นเอ็นไขว้หน้าจะทำหน้าที่ป้องกันการเคลื่อนหลุดหัวเข่าไปทางด้านหน้า และป้องกันการบิดหมุนของหัวเข่าที่มากเกินไป
2    .     เอ็นไขว้หน้าหัวเข่าฉีกขาดเกิดจากสาเหตุใดบ้าง
สาเหตุส่วนใหญ่ที่พบมักจะเกิดจากการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา จะสังเกตได้ว่านักกีฬา มีการหกล้มและหัวเข่าบิด ทำให้เอ็นไขว้หน้าหัวเขาฉีกขาด โดยเฉพาะกีฬาเข้าปะทะ เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล รักบี้ หรือตะกร้อ สาเหตุอื่นๆอาจจะเกิดมาจากอุบัติเหตุตามท้องถนนหรือการลื่นหกล้มทั่วไป
3   .     ถ้าเอ็นไขว้หน้าหัวเข่าฉีกขาดจะเกิดมีอาการอย่างไรบ้าง
หลังจากการได้รับอุบัติเหตุผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหัวเข่าทันที และมีหัวเข่าบวม เนื่องจากมีเลือดออกภายในหัวเข่าค่อนข้างมาก ผู้ป่วยยังไม่สามารถลงน้ำหนักในขาข้างนั้นได้ หลังจากที่อาการปวดและบวมของหัวเข่าดีขึ้นประมาณ 2-3 สัปดาห์ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าหัวเข่าข้างที่มีปัญหานั้นมีอาการสั่นคลอนไม่มั่นคง มีอาการเสียวหัวเข่า เหมือนหัวเข่าจะทรุดตัวลงไป ในกรณีที่ผู้ป่วยมีหมอนรองกระดูกฉีกขาดร่วมด้วย ผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดและขัดหัวเข่า ดังนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่ มักจะไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติได้
4   .     มีวิธีการรักษาเอ็นไขว้หน้าหัวเข่าฉีกขาดอย่างไร
จุดมุ่งหมายของการรักษา คือ การต้องการให้ผู้ป่วยได้กลับไปเล่นกีฬาได้ตามปกติ ในการรักษาระยะแรกควรจะทำการกายภาพบำบัดเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อต้นขาให้มีความแข็งแรงมากขึ้น หัวเข่ามีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น แต่ในผู้ป่วยหลายรายจะรักษาด้วยวิธีกายภาพบำบัดเพียงอย่างเดียวมักไม่ได้ผล จึงจำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด การผ่าตัดสร้างเอ็นไขว้หน้าด้วยวิธีการส่องกล้องนั้น ในปัจจุบันถือเป็นวิธีที่เป็นมาตรฐานและได้รับการยอมรับ กรณีที่มีหมอนรองกระดูกฉีกขาดร่วมด้วย ก็จะรักษาเย็บซ่อมในคราวเดียวกัน ข้อดีของการผ่าตัดส่องกล้อง คือ  แผลผ่าตัดค่อนข้างเล็ก  และการฟื้นตัวหลังผ่าตัดจะจะทำได้เร็วกว่าการผ่าตัดแบบปกติ
คำแนะนำในการรักษาเอ็นไขว้หน้าหัวเขาฉีกขาด
ผู้ป่วยที่มีอาการปวดหัวเข่า  หรือความรู้สึกไม่มั่นคงในหัวเข่า แนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทาง
ขอบคุณข้อมูล นายแพทย์นิติ ประสาทอาภรณ์ แพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดส่องกล้องภายในข้อ แพทย์ประจำศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูและเวชศาสตร์การกีฬา โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา
youtube.com/watch?v=eBiE3Ga3DAQ

ปวดเข่า

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2559

โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ (De Quervain’s Disease)




โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ (De Quervain’s Disease)

เป็นโรคที่พบบ่อย ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการปวดตรงบริเวณข้อมือ เวลาทำงาน และมักปวดเป็นเวลานาน เป็นเดือนๆ ไม่หาย อาการปวดที่พบ พบว่า เมื่อใดมีการใช้นิ้วหัวแม่มือ หรือการทำงานใดที่ใช้นิ้วหัวแม่มือในการทำงาน ที่หยิบจับหรือกระดกข้อมือต่างๆ ก็จะทำให้ปวดมากขึ้น บางครั้ง เช่น เมื่อหยิบจับของก็จะตก เส้นตึง หรือปวดข้อมือ
การตรวจและวินิจฉัยของแพทย์ คือ แพทย์จะให้ผู้ป่วยกำนิ้วหัวแม่มือและให้หักข้อมือลงทางด้านนิ้วก้อย ถ้าหากทำแล้วผู้ป่วยมีความรู้สึกปวดเจ็บบริเวณโคนนิ้วหัวแม่มือ แสดงว่าผู้ป่วยมีภาวะโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เรียกการตรวจลักษณะนี้ว่า “Finkelstein’s test”

ผู้ที่มีโอกาสเป็นโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ มีดังนี้
ส่วนใหญ่พบในผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ทำงานบ้าน หรือผู้ที่มีการใช้มือบ่อยๆมากๆ เช่น งานที่เกี่ยวกับการพิมพ์คอมพิวเตอร์ หรือเมาส์เป็นเวลานานๆ  แม่บ้าน พนักงานทำความสะอาด หรือนักกีฬาประเภทวอลเลย์บอล ปิงปอง แบดมินตัน เป็นต้น

ลักษณะของปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ  จะมีเอ็นอยู่ 2 เส้น เอ็นเส้นหนึ่งจะมีหน้าที่ เหยียดนิ้วหัวแม่มือ ส่วนเอ็นอีกเส้นจะกางนิ้วหัวแม่มือ  อยู่คู่กันบริเวณปลอกหุ้มเอ็นข้อมือ โดยที่เมื่อใดที่มีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับบริเวณนี้มากๆหรือบ่อย ก็จะทำให้เอ็นข้อมือบริเวณนี้เกิดการอักเสบ จนรู้สึกเจ็บปวดตามมาได้

วิธีการรักษาโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ มีดังนี้

1. ลดการใช้มือให้น้อยลง หากรู้สึกปวด แต่ถ้าหากจำเป็นต้องทำงานยาวนาน ควรที่จะพักมือเป็นระยะๆ ตัวอย่างเช่น หากทำงานใช้มือ 45 นาที แล้ว ก็ควรที่จะพักมือ 10 นาที เป็นต้น
2. แช่น้ำอุ่น หรือประคบร้อน ก็จะทำให้ปวดน้อยลง เพราะเลือดไปไหลเวียนได้ดีขึ้น
3. ถ้าหากปวดมากอาจใช้ผ้ายืดพันบริเวณข้อมือ  หรือใส่อุปกรณ์ที่ช่วยพยุงนิ้วหัวแม่มือ
4. ใช้ยาทา โดยแพทย์จะให้ยาทาคลายกล้ามเนื้อ
ทั้ง 3 วิธีที่กล่าวข้างต้นสำหรับผู้ที่มีอาการน้อยๆจะดีขึ้น หากผู้ที่เป็นรุนแรง ยาวนาน เรื้อรัง คือ
5. รับประทานยาลดการอักเสบกล้ามเนื้อ
6. การฉีดยาแก้อักเสบตรงบริเวณข้อมือ
หากการรักษาด้วยการฉีดยา 3 ครั้ง แล้ว ยังกลับมาเป็นอีก จำเป็นที่แพทย์ต้องใช้วีธีสุดท้าย คือ
7. การผ่าตัด จะเริ่มจากการฉีดยาชาตรงบริเวณข้อมือรอให้ยาออกฤทธิ์ประมาณ 10-15 นาที เปิดแผลไปบริเวณผิวหนัง แล้วไปเลาะที่ปลอกหุ้มเอ็นกล้ามเนื้อออก เพื่อไม่ให้ไปรัดเอ็นข้อมือ แต่วิธีการผ่าตัดก็ต้องระวังเรื่องของเส้นประสาท ถ้าเส้นประสาทเสีย จะทำให้นิ้วหัวแม่มือ เกิดอาการชาได้ หลังการผ่าตัดจะปิดผ้าไว้ ผู้ป่วยที่ผ่าตัดสามารถใช้ข้อมือได้เต็มที่ แต่ห้ามให้ข้อมือถูกน้ำ หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ก็จะตัดไหม เมื่อตัดไหมแล้วแผลก็ถูกน้ำได้ หลังการผ่าตัดผู้ป่วยจะหายจากอาการเจ็บข้อมือ

ขอบคุณข้อมูลจาก youtube.com/watch?v=1JPUQMjwoEM
และ thaihealth.or.th/Content/26962-%

ปวดข้อมือ

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ล้มแล้วลุกอย่างปลอดภัย




ล้มแล้วลุกอย่างปลอดภัย

           ในผู้สูงอายุเมื่อหกล้มจะมีความตื่นตระหนกทั้งผู้ที่ล้มรวมทั้งญาติ การลุกผิดท่าอาจทำให้เกิดผลเสียมากไปกว่าการหกล้มเสียอีก ก่อนอื่นผู้ล้มให้ตั้งสติให้ดี ประเมินอาการบาดเจ็บของตนเองที่เกิดขึ้นว่ารุนแรงมากน้อยเพียงใด หากประเมินแล้ว ว่าบาดเจ็บมาก ตัวอย่างเช่น มีกระดูกหัก อย่าพยายามลุกเอง ให้ขอความช่วยเหลือ จากผู้ใกล้ชิดแต่ถ้าหากรู้สึกว่าได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก และคิดว่าลุกขึ้นเองได้ ให้ ปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้

1.หากมีเก้าอี้ใกล้ตัว พยายามเกาะเก้าอี้ โดยเอามือวางลงบนที่นั่งแล้วค่อยพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งลงบนเก้าอี้อย่างช้าๆ
2.หากไม่มีเก้าอี้ ให้พยายามหาที่ไว้ยึดเหนี่ยวที่แข็งแรงช่วยพยุงให้ตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ

การเลือกรองเท้าก็มีความสำคัญ เลือกรองเท้าอย่างไรไม่เสี่ยงต่อการล้ม
     1. รองเท้าที่มีส้นเตี้ยและขอบมน พื้นรองเท้าควรที่จะมีดอกยาง เพื่อทำให้พื้นรองเท้าสามารถเกาะติดกับพื้นได้ดีป้องกันการลื่นหกล้มได้
     2. เป็นรองเท้าหุ้มส้น ซึ่งส่วนที่หุ้มส้นและข้อเท้าควรที่จะมีความแข็งพอสมควร เพื่อพยุงข้อเท้า ทำให้ทรงตัวได้ดีขึ้น
     3. รองเท้ามีหน้ากว้าง เพื่อให้นิ้วเท้าสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก
     4. พื้นรองเท้าด้านหน้าควรที่จะเชิดขึ้น จากพื้นเล็กน้อย เพื่อการเดินที่มั่นคงและป้องกัน การสะดุดเท้าของตัวเอง

ช่วยป้องกันล้ม

             หากการทรงตัวของผู้สูงวัยอยู่ในภาวะที่ไม่ดีพอจำเป็นต้องมีตัวช่วยนั่นก็คือ ไม้เท้า เมื่อเราพูดถึง ไม้เท้า หรืออุปกรณ์ที่ช่วยเดินอย่าง วอร์กเกอร์ หรือ ไม้ค้ำยัน  แต่ทราบกันหรือไม่ว่า อุปกรณ์ช่วยเดินนั้น หากใช้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม สามารถเพิ่มความมั่นคงในการทรงตัวและการเดิน ลดอัตราการล้มได้
อุปกรณ์ช่วยเดิน หมายถึง อุปกรณ์ที่ช่วยในการพยุงร่างกายให้สามารถเดิน ได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุที่มีปัญหาในเรื่องการควบคุมการทรงตัว กล้ามเนื้อแขนและขาอ่อนแรง และมีปัญหาในการเดิน อุปกรณ์ช่วยเดินมีหลายประเภท ตัวอย่างเช่น ไม้ค้ำยัน (crutches), โครงเหล็กช่วยเดิน (walker frame), และไม้เท้า (cane) อุปกรณ์ที่ ได้รับความนิยมมากผู้สูงอายุ ก็คือไม้เท้า แต่ก็พบว่า มีผู้สูงอายุส่วนมากที่ใช้ไม้เท้าช่วยเดินไม่เหมาะสมและผิดวิธี ทำให้เกิดผลเสียตามมา อย่างเช่น เพิ่มโอกาสในการพลัดตก หกล้มได้มากขึ้น
ไม้เท้า (cane) จะช่วยรับแรงน้ำหนักตัวบางส่วนแทนขาข้างที่อ่อนแรงหรือปวด เพิ่มความมั่นคงในการเคลื่อนไหวโดยเพิ่มฐานรองรับน้ำหนักร่างกายกว้างขึ้น ผู้ป่วยมีความมั่นใจในการเคลื่อนไหวมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ควรวัดความสูงของไม้เท้า ให้พอดี จึงจะปลอดภัยและเกิดประโยชน์ ในการใช้มากที่สุด ซึ่งระดับความสูงที่เหมาะสม ด้ามจับควรสูงอยู่ในระดับเดียวกันกับข้อมือ หรือกระดูกสะโพกของผู้ใช้ หรือประเมินความสูงไม้เท้าในท่าผู้ใช้ยืนหลังตรง ขณะที่จับไม้เท้า

ขอบคุณข้อมูลจาก thammapakorn.go.th/wp-content/uploads/2016/02/คู่มือป้องกันล้มในผู้สูงอายุpdf.pdf

ปวดเข่า

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559

อาการอัมพาตข่ายประสาทแขน(Brachial plexus palsy)ในเด็กแรกคลอด


อาการอัมพาตข่ายประสาทแขน(Brachial plexus palsy)ในเด็กแรกคลอด
มีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บในระหว่างคลอด  มักเกิดจากการดึงแขนโดยแรง  ความรุนแรงของโรคอาจทำให้เกิดอาการตั้งแต่น้อยที่สุด นั่นคือ ข่ายประสาทบวมเนื่องจากถูกแรงดึงยืด  ความรุนแรงขนาดปานกลางอาจจะทำให้การบาดเจ็บใยประสาทขาด (nerve fiber) ส่วนขนาดที่รุนแรงที่สุด คือ ประสาทขาดเป็นช่วง หมายความว่าเส้นประสาทและปลอกหุ้มประสาทขาดจากกันโดยสิ้นเชิง  แบ่งชนิดของโรคได้ดังนี้
1.  เป็นอัมพาตชนิดแขนท่อนบน หรือ upper arm type เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Erb Duchenne พบบ่อยที่สุด โดยระดับรากประสาทคอที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ระดับข้อที่ 5 และในระดับข้อที่ 6  อัมพาตกลุ่มนี้กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่เคลื่อนไหวมือและนิ้วยังดีอยู่
2.  เป็นอัมพาตชนิดแขนส่วนปลาย หรือ lower arm type หรือเรียกว่า Klumpke เป็นชนิดที่พบได้น้อยลง  โดยกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่แขนส่วนปลายข้อมือและมือจะเสียหาย  ระดับรากประสาทคอที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ ระดับข้อที่ 8 และระดับทรวงอกข้อที่ 1 บางครั้งพบคอบวมเกิดจาก Horner’s syndrome ซึ่งอาจมีการขาดของรากประสาท
3.  เป็นอัมพาตตลอดทั้งแขน หรือ palarysis of entire arm เป็นชนิดที่ร้ายแรงที่สุด  ผู้ป่วยไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวข้อไหล่ ข้อศอก แขน มือ ได้เลย  แพทย์จะพยากรณ์โรคได้ยากมาก

การวินิจฉัยโรคของแพทย์
      ในเด็กหลังเพิ่งคลอด จะต้องใช้วิธีสังเกตประกอบกับดูว่ามีประวัติการคลอดยาก ซึ่งเด็กจะไม่ขยับแขนข้างที่เป็นเลย  การวินิจฉัยแยกโรคที่จะต้องนึกถึง คือ  พบว่าทารกเคลื่อนไหวแขนข้างใดข้างหนึ่งไม่ได้ เพราะมีภาวะอย่างอื่นที่ทำให้เกิดอาการคล้ายกับเป็นกระดูกไหปลาร้าหัก ส่วนที่สร้างกระดูกต้นแขนปลายบนหลุด ปลายประสาทอักเสบ อัมพาตสมองใหญ่ หรือเนื้องอกของไขสันหลัง
ความพิการเป็นส่วน ๆ ที่เกิดขึ้นได้ คือ
1. ข้อไหล่ ต้นแขนอยู่ในท่าหมุนเข้าใน แขนหุบชิดตัว เนื่องจากว่ากล้ามเนื้อหัวไหล่เป็นอัมพาต แต่ในกล้ามเนื้อบางมัดยังแข็งแรงดี  ถ้าทิ้งไว้ไม่รักษา เบ้าของข้อไหล่ก็จะแบนราบ  หัวกระดูกต้นแขนจะหลุดเลื่อนนอกเบ้าไปทางด้านหลัง  จะงอยกระดูก coracoids ก็จะยาวงุ้มและชี้ไปทางด้านนอก  และจะงอยกระดูกอะโครเมียนก็จะชี้มาข้างหน้า  ไปขัดขวางการหมุนออกนอกของหัวกระดูก  ความพิการจะอยู่ในท่ากางแขนทำให้มีการหดรั้งของกล้ามเนื้อแผงอกได้
2. ข้อศอก  จากการอัมพาตของกล้ามเนื้อจะทำให้ข้อศอกแข็งในท่างอได้ หัวกระดูกแขนด้านนอกจะหลุดไปทางด้านหลังได้
3. แขนส่วนปลายและมือ  ความพิการของแขนส่วนปลายนี้มีความพิการอยู่ในท่าคว่ำมือ และมีอาการอัมพาตของมือร่วมด้วย  ในพวกอัมพาตแขนส่วนปลาย
ความพิการที่กล่าวมานี้ทั้งหมด จะมีมากหรือน้อยขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของอัมพาตที่เกิดขึ้น เนื่องมาจากการบาดเจ็บของประสาท  โดยมากมักค่อย ๆ หายเอง  ระยะเวลา 1-18 เดือน

 แนวทางการรักษา
1. ระยะแรก ไม่มีการผ่าตัด เพราะการผ่าตัดมักมีผลเสียมากกว่าผลดี  เนื่องมาจากรากประสาทที่ได้รับบาดเจ็บฉีกขาด และยุ่ย  ซึ่งปลอกหุ้มประสาทเสียไม่สามารถจะเย็บซ่อมได้  หลักการรักษาในระยะแรก คือ
1.1 จัดท่านอนเด็กให้เหมาะสม เพื่อที่จะป้องกันการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดมากขึ้น และป้องกันความพิการของเด็ก  ดังนี้
- จะมีการใช้ผ้าอ้อมพันตัวเด็กให้แขนกางและหมุนออกนอกไว้
- ไม่ควรที่จะอุ้มทารกขึ้นจากเตียงบ่อย ๆ เพราะว่าอาจทำให้ข้อไหล่หลุดได้
- ถ้าหากมีเฝือกโลหะกางแขนก็ควรใช้ คือ กางแขนให้ได้ 70° และงอมาข้างหน้าเล็กน้อยประมาณ 10° ส่วนการบิดแขนออกควรที่จะให้อยู่ในท่า 90° และงอข้อศอก 90° มืออยู่ในท่าเกือบคว่ำ ข้อมืออยู่ในท่าปกติ ในการเข้าเฝือกหากปูนที่ยึดลำตัว ไหล่ แขน ไม่ดี อาจทำให้เกิดผลร้ายได้ เพราะถ้าผิดท่าเล็กน้อย  เช่น ถ้าหากงอแขนมาทางด้านหน้ามาก ไหล่อาจจะหลุด ในส่วนแขนส่วนปลาย ถ้าหงายมือมาก ก็จะทำให้กล้ามเนื้อ pronator teres ตึง  ถ้าหากทิ้งไว้นาน  จะโก่งงอเพราะว่าถูกแรงดึง ทำให้หัวกระดูก radius หลุดไปทางด้านหลังของข้อศอกได้  ในการจัดท่าใส่เฝือกโลหะกางแขนไว้นี้  ควรทำวันละ 3 ครั้ง ก่อนที่จะจัดท่า แนะนำให้ญาติหรือผู้ที่ดูแลเด็กขยับให้แขนและข้อต่าง ๆ เคลื่อนไหวให้เต็มพิกัดของข้อนั้น ๆ ด้วย
- ควรช่วยให้ทารกออกกำลังกล้ามเนื้อที่ยังดีอยู่  โดยประคับประคองแขนในระยะ ๓ เดือนแรก จัดท่าในเวลานอนให้กางแขน  เพื่อป้องกันความพิการที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากการหดรั้ง
2. การรักษาโดยวิธีผ่าตัดนั้นจะเริ่มพิจารณาหลังที่เด็กอายุเกิน 5 ปี ถ้าหากจำเป็นการผ่าตัดมีวิธีต่าง ๆ ดังนี้
2.1 การย้ายหน้าที่กล้ามเนื้อที่เคลื่อนไหวไหล่  โดยมีหลักการให้แขนอยู่ในท่าใช้งานได้ดีขึ้น จะงอยกระดูก coracoids  ถ้าหากว่ายาวผิดรูปขัดขวางการเคลื่อนไหวในท่าบิดแขนออก ก็ต้องตัดกระดูกนี้ออก
2.2 ทำการตัดกระดูกต้นแขนในระดับเหนือที่เกาะกล้ามเนื้อ deltoid และต่ำกว่าที่เกาะตำแหน่งกล้ามเนื้อ pectoralis major แล้วหมุนบิดกระดูกใต้ข้อศอกที่งอ
2.3 การใช้วิธีดัดแขนยืด  ควรทำในเบื้องต้นเริ่มการรักษา ถ้าไม่ได้ผล  อาจใช้เฝือกดัด  ถ้าการหดรั้งของข้อศอกงอมากกว่า 40°-50° มักจะต้องใช้วิธีผ่าตัดยืดความยาวกล้ามเนื้อ คือ กล้ามเนื้อไบเซ็บ  ถ้าเป็นชนิดที่หัวกระดูก radius หลุดไปทางด้านหลังแล้ว  การรักษายุ่งยาก  ต้องปล่อยให้โตเต็มที่จึงพิจารณาตัดบริเวณหัวกระดูกออกภายหลัง
2.4 มีความพิการของแขนส่วนปลายที่อยู่ในท่าคว่ำมือ  จะใช้วิธีผ่าตัดยืดเอ็นและย้ายเอ็น ก็จะช่วยแก้ความพิการ  คือ หงายมือได้
การพิจารณาเพื่อผ่าตัด ผู้ป่วยแขนอัมพาตเหล่านี้  แพทย์ต้องคำนึงถึงประสาทสัมผัสของแขนโดยตลอด ถ้าหากประสาทสัมผัสเสียมาก การผ่าตัดก็จะไม่ได้ผล มีบางรายจำเป็นต้องตัดแขนเพื่อการรักษา
ขอบคุณข้อมูลจาก healthcarethai.com/อัมพาตข่ายประสาทแขนbrachial-plexus-palsy/

อัมพาต

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559

กระดูกแตกร้าวจากการวิ่ง


กระดูกแตกร้าวจากการวิ่ง
กระดูกแม้จะแข็งแต่ก็สามารถแตก ร้าว ไปจนถึงหักได้ หากมีการกระแทกอย่างรุนแรง หากเกิดเหตุการณ์นั้นบริเวณนั้นก็จะบวม มีรูปร่างที่คดงอหรือผิดรูปไปจากเดิม หากลองขยับดูจะมีเสียงกรอบแกรบเหมือนกับกระดาษทรายถูกัน  ถ้าเป็นกระดูกที่ร้าวหรือแตกจากแรงที่กระแทกบ่อย ๆ และนาน ๆ ในระยะแรก ๆ อาจจะวินิจฉัยโรคได้ยาก ดังนั้นต้องระลึกเสมอหากมีอาการบาดเจ็บเกิดขึ้น ให้นึกถึงกระดูกแตกร้าวไว้

อาการบาดเจ็บจากการวิ่งที่เกิดจากการร้าวของกระดูก อันเนื่องจากการใช้งานที่มากเกินไป และมีการกระแทกซ้ำ ๆ จะพบได้ในนักวิ่งที่เพิ่มระยะทางเร็วจนเกินไป หรือนักวิ่งที่วิ่งเร่งความเร็วมากเกินไป และสิ่งที่ทำให้เกิดกระดูกร้าวได้ง่าย ก็คือ พื้นที่แข็ง มักพบมากในนักวิ่งที่เริ่มวิ่ง หรือนักวิ่งที่ต้องการชัยชนะ โดยที่มีการฝึกหนักจนเกินไป
ผู้บาดเจ็บจะมีความเจ็บปวดที่ตำแหน่งเดียว  โดยเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา หากไม่หยุดวิ่งก็จะเจ็บปวดมากขึ้น จนแทบทนไม่ได้ หากใช้นิ้วกดก็จะเจ็บ โดยที่เราสามารถรู้ได้ว่าเป็นกระดูกเพราะว่ามันจะแข็งและอยู่ที่ผิวนอก ที่พบบ่อย ๆ คือ หลังเท้าด้านนอกเหนือตาตุ่มเล็กน้อย และส้นเท้าแข็งตอนบน รวมทั้งอาจพบกระดูกร้าวจากการวิ่งที่บริเวณเชิงกราน กระดูกสันหลัง และหัวเหน่า โดยเฉพาะนักวิ่งที่เป็นวัยรุ่น

ตำแหน่งของกระดูกร้าวที่เกิดได้บ่อยจากการวิ่ง
1. บริเวณเท้า
มักจะเกิดที่กระดูกฝ่าเท้าอันที่ 2 , 3 และ 4 พบในนักวิ่งที่วิ่งบนพื้นที่แข็ง และวิ่งขึ้นหรือลงจากที่สูง เกิดจากการวิ่งที่ผิด เช่น ฝึกมากจนเกินไป วิ่งเร่งเพิ่มอัตราความเร็วมากเกินไปบนพื้นที่แข็งหรือทางลาดขึ้นลง การรักษาในระยะแรกที่มีอาการกระดูกร้าว ไม่จำเป็นจะต้องใส่เฝือก  แต่ถ้าหากวิ่งต่อไปทั้ง ที่เกิดกระดูกร้าวไปแล้ว จำเป็นจะต้องใส่เฝือกนานถึง  4 – 6 สัปดาห์ หากมีร้าวในตำแหน่งที่เอ็นกล้ามเนื้อยึดเกาะด้วย อาจจะต้องใส่เฝือกนาน  2 เดือน
2. บริเวณเหนือข้อเท้าด้านนอก
กระดูกอันเล็กเหนือตาตุ่มด้านนอกเกิดแตกร้าว  มักจะพบในนักวิ่งที่มีฝ่าเท้าที่คว่ำปัดออกนอก นักวิ่งที่ฝึกมากเกินไป วิ่งบนพื้นที่แข็งซ้ำ ๆ จะเริ่มมีอาการเจ็บมากขึ้นทีละน้อยๆ บริเวณด้านนอกของเท้าเหนือตาตุ่มประมาณ 5 ถึง 8 ซม. อาจบวมเล็กน้อย หากจุดกดเจ็บตรงตำแหน่งนี้ ถ้าพบว่าอาการเป็นไม่มากหรือหากได้รับการรักษาในระยะแรก ก็ไม่ต้องใส่เฝือก แต่ถ้าหากมีอาการมากเนื่องจากว่าปวดแม้กระทั่งเวลาเดิน ก็ต้องใส่เฝือกนาน 3 – 6 อาทิตย์ ทางที่ดีที่สุดคือ ใส่เฝือกไฟเบอร์กลาสที่เปียกน้ำได้ เพื่อจะได้ออกกำลังวิ่งรอการหายได้ แต่ต้องเป็นการวิ่งในน้ำเท่านั้น เพื่อลดการกระแทก เมื่อหายดีก็จะสามารถวิ่งต่อไปตามปรกติเร็วขึ้น
3. ตรงบริเวณกระดูกหน้าแข้ง
เกิดที่บริเวณกระดูกอันใหญ่ของขา ในตำแหน่งด้านในตอนบนของขา ที่ต่ำกว่าเข่าประมาณ 5 – 10 เซนติเมตร พบในนักวิ่งที่มีขาโก่ง หรือนักวิ่งที่ฝึกมากจนเกินไป วิ่งบนพื้นแข็งซ้ำ ๆ จะมีอาการเจ็บมากขึ้นทีละน้อย  และเมื่อกดจะเจ็บ กระดูกที่ร้าวบริเวณนี้จะไม่สามารถเห็นในภาพเอ็กซเรย์ จนกระทั่งเวลาผ่านไป 1 – 6 เดือน ตั้งแต่การเจ็บครั้งแรก จึงพบว่ามีกระดูกร้าว การรักษาคล้ายกับที่กระดูกเหนือตาตุ่มด้านนอกร้าว เนื่องจากว่าเป็นระยะเวลานานกว่าที่จะปรากฏภาพกระดูกร้าวบนเอ็กซเรย์ หรืออาจจะเห็นภาพในเอ็กซเรย์ตอนที่มีการเสริมสร้างกระดูกขึ้นแล้ว จึงทำให้ลักษณะเอกซเรย์คล้าย กับภาพเอ็กซเรย์ของมะเร็งกระดูก ทั้งหมอและคนไข้อาจตื่นตกใจได้ แต่หากทราบเรื่องหรือประวัติโดยละเอียดแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจจนเกินไป

การปฐมพยาบาลและการรักษา
หากมีการเจ็บปวดขณะวิ่งในตำแหน่งต่าง ๆ ที่กล่าวมา หรือหากวิ่งแล้วเจ็บปวดมากขึ้น  ที่จุดใดจุดหนึ่ง ควรหยุดวิ่งทันที พัก แล้วประคบด้วยน้ำแข็งประมาณ  15 – 20 นาที ให้ยาแก้ปวด อาการก็จะดีขึ้น

แต่ถ้าหากไม่หายเจ็บปวด แม้เวลาผ่านไป 3 วัน หรือ 3 อาทิตย์แล้ว ถ้าหากเราสามารถจับจุดที่กดเจ็บได้ว่าเป็นกระดูก ให้พบแพทย์ทันที แพทย์จะเอ็กซเรย์ แต่ก็จะพบว่าเอ็กซเรย์ปรกติ ในผู้ป่วยรายที่เป็นครั้งแรกไปจนถึง 3 – 6 สัปดาห์ แต่ว่ามีอาการเจ็บตรงส่วนกระดูกก็ต้องพักรักษาตัว ไม่ควรวิ่งหรือเดินมากอย่างน้อย 6 อาทิตย์จน ถึง 3 เดือน แล้วแต่ความรุนแรงของกระดูกที่ร้าว

 ทั้งนี้แพทย์จะให้ยาบำรุงกระดูกจำพวกแคลเซียมและวิตามินซีขนาดสูงร่วมด้วย พร้อม กับเอ็กซเรย์เป็นระยะ  ซึ่งจะพบว่าหลังจาก 3 อาทิตย์เป็นต้นไป ก็จะเห็นรอยร้าวของกระดูกได้ ต่อมาเริ่มมีเนื้อกระดูกพอกพูนเพิ่มขึ้นจนรอยร้าวได้หายไป จึงจะหายและกลับไปวิ่งได้อีก

การรักษากระดูกร้าวจากการวิ่งไม่จำเป็นต้องใส่เฝือก แต่งดเว้นการลงน้ำหนักมากในระยะเริ่ม แรกจะต้องใช้ไม้เท้าถือ ช่วยในการเดินชั่วคราว เพื่อที่จะลดน้ำหนักขาข้างที่มีกระดูกร้าว ในช่วง 3 อาทิตย์แรก เมื่อกลับมาวิ่งใหม่ก็ต้องวิ่งช้า ๆ บนพื้นที่นุ่มๆ อย่างเช่น พื้นหญ้า พื้นทราย และใช้รองเท้าที่มีพื้นนิ่ม เพื่อลดแรงกระแทกด้วย จากน้อยจึงค่อยเพิ่มระยะทางจนกระทั่งวิ่งได้ปรกติ ทั้งนี้ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ถึง 6 เดือน

ส่วนกระดูกหักล้า ตรงบริเวณสันหลังระดับเอว ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบริเวณกึ่งกลาง หลังจากปวดทีละน้อย จะปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากมีอาการดังกล่าวให้พักโดยทันที เพราะอันตรายมาก แล้วจึงพบแพทย์เพื่อให้วินิจฉัยโดยทันที เพราะถ้าร้าวในระยะแรกก็จะสามารถหายได้ แต่ถ้าปล่อยให้เป็นมากขึ้น ก็ต้องเล่นกีฬาที่เบาๆ เพราะถ้าเล่นกีฬาหนัก วิ่งอย่างหนัก หรือยกของหนัก หรือว่ามีการบิดตัว ก็จะทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อนไปข้างหน้า มีการกดทับเส้นประสาทของไขสันหลังจนทำให้เกิดอัมพาตได้
การป้องกัน
1. ควรหลีกเลี่ยงการวิ่งบนพื้นแข็งเป็นระยะเวลานานหรือสม่ำเสมอ
2. ไม่หักโหมฝึกวิ่งหนักจนเกินไป
3. ไม่ควที่จะวิ่งสปีดความเร็วบ่อย ๆ ในการวิ่งระยะทางยาว
4. ไม่ควรที่จะวิ่งกระแทกกระทั้นลงบนพื้นที่วิ่งที่ขึ้นหรือลงมาจากที่สูง
5. ควรใส่รองเท้าที่พื้นนิ่มเพื่อลดและซึมซับแรงกระแทกที่เท้า
6. นักวิ่งมือใหม่ควรที่จะฝึกวิ่งอย่างช้า ๆ บนพื้นที่นิ่ม เช่น หญ้า หรือทราย และประมาณตน ไม่วิ่งหักโหมมากจนเกินไป
7. ปรับโครงสร้างที่ผิดรูปด้วยอุปกรณ์เสริมต่างๆทางกายภาพ เช่น หากเท้าคว่ำบิดออกนอกหรือมีขาโก่ง ควรวิ่งด้วยรองเท้าที่ตัวเสริม เพื่อที่จะลดการเกิดกระดูกร้าวตามตำแหน่งที่ล่อแหลมได้
ขอบคุณขัอมูลจาก thairunning.com/pain_bone.htm