disable right click

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ผู้สูงอายุที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้กระดูกหนาขึ้นได้หรือไม่




ผู้สูงอายุที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้กระดูกหนาขึ้นได้หรือไม่

               มีผู้สงสัยว่า  ร่างกายของคนเรานั้นจะสามารถสะสมเนื้อกระดูกให้หนาขึ้นได้จนถึงอายุ 30 ปีเท่านั้น จากนั้นไม่ว่าจะกินอาหารที่มีธาตุแคลเซียมเพียงใด กระดูจะไม่หนาขึ้นได้อีก ตรงกันข้าม กระดูกจะมีแต่บางลงเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน กระดูกมีโอกาสบางลงอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้ดูแลเรื่องการกินอยู่ให้เหมาะสม

                 แต่ได้ทราบจากข้อมูลอีกด้านหนึ่งกว่า การออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนักกระแทกที่ส้นเท้า อย่า
เช่น การวิ่งเป็นประจำ จะทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น จึงเกิดข้อสงสัยว่า การที่กระดูกแข็งแรงขี้นจากการวิ่งอยู่เป็นประจำ หมายถึงอย่างไร หมายความว่ากระดูกหนาขึ้น หรือว่าหมายถึงอย่างอื่นได้ด้วย เพราะถ้าหากบอกว่าคนอายุ ๕๐  หรือ ๖๐ ปี วิ่งออกกำลังเป็นประจำแล้วทำให้กระดูกหนาขึ้น (ถ้าหากแทนความหมายของความแข็งแรงด้วยความหนา) ก็คงขัดกับข้อมูลข้างต้น ที่บอกว่าเมื่ออายุเลย 30 ปีแล้วกระดูกนั้นจะไม่หนาขึ้นอีก

                 จึงอยาก ทราบว่าความแข็งแรงของกระดูกมีความหมายอย่างไร วัดจากอะไร และตัวอย่างที่ยกมา คนอายุ 60 ปี วิ่งเป็นประจำ จะทำให้กระดูกหนาขึ้นได้หรือไม่ ซึ่งนพ.ธวัช  ประสาทฤทธา เป็นผู้ให้คำตอบดังนี้

คำตอบ

         คนปกติสามารถสะสมความหนาแน่นหรือปริมาณเนื้อกระดูกให้มีมากที่สุด หรือ peak bone mass ได้ตั้งแต่เด็กถึงอายุประมาณ 18-20 ปี จากนั้นความหนาแน่นหรือปริมาณเนื้อกระดูกจะอยู่คงที่จนถึงอายุ 25-30 ปี แล้วจะค่อยๆ ลดต่ำลงขึ้นกับแต่ละบุคคล และปัจจัยเสี่ยงต่างๆรายล้อม ความหนาแน่นของกระดูกวัดได้เป็นค่า BMD (bone mass density) มีวิธีการวัดได้หลายวิธี ในคนสูงอายุที่วัดค่า BMD ได้ต่ำกว่าปกติ คืออยู่ที่ระหว่าง 1.0-2.5 SD (ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน) ของค่าเฉลี่ยปกติในคนวัยหนุ่มสาว จะถือว่าคนๆ นั้นมีเนื้อกระดูกลดลง

             แต่ถ้าหากวัดได้ต่ำลงไปอีก คือที่ ต่ำกว่า 2.5 SD ของค่าปกติ ถือว่าบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่เรียกว่ากระดูกพรุน คือ ความหนาแน่นของกระดูกต่ำจนถึงระดับอันตราย หมายถึง กระดูกจะสามารถหักได้ง่าย มีการศึกษา พบว่า คนสูงอายุที่กระดูกหักได้ง่าย จากการกระแทกไม่รุนแรง ไม่มีอุบัติเหตุที่รุนแรงจะมีค่า BMD ที่ต่ำกว่า 2.5 SD

         ดังนั้นความแข็งแรงของกระดูก จึงหมายถึงว่า ไม่หักง่าย การวัดจากภาพถ่ายรังสีจะสามารถบอกได้คร่าวๆ การวัดที่แน่นอน คือ การใช้เครื่องมือทันสมัย อย่างเช่น อัลตราซาวนด์, คอมพิวเตอร์ เป็นต้น ที่วัดเป็นค่า BMD ในทุกๆคนที่มีอายุเพิ่มขึ้น ค่า BMD จะลดลง แต่จะลดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะหมดไปก่อน เกิดความเสี่ยงสูงต่อการเกิดกระดูกหัก ซึ่งมีการคาดคะเน หรือพยากรณ์โรคหลังจากวัดค่า BMD ได้ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเกิดกระดูกหักได้หรือไม่ ผู้ที่มีเนื้อกระดูกต่ำถึงขั้นอันตราย มักไม่มีสัญญาณเตือนภัยใดๆ

ถ้าหากมีสัญญาณเตือนเราจะสามาถระวังและหาวิธีป้องกัน แต่ว่ากระดูกพรุนไม่มีอะไรมาเตือนได้ ดังนั้นจึงมีหลักการสำหรับการป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้ คือ

1. ต้องสะสมเนื้อกระดูกให้ถึงจุดสูงสุดตั้งแต่ในวัยเด็กและหนุ่มสาว

2. ลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น เหล้า บุหรี่ กาแฟ ทำงานนั่งโต๊ะ เป็นต้น เพื่อป้องกันการสูญเสียเนื้อกระดูก

เมื่อมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยการเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน เล่นกีฬา ตากแดด จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ระบบต่างๆ เช่น หัวใจ ปอด หลอดเลือด จะมีศักยภาพสูงขึ้น ร่างกายแข็งแรงขึ้น เนื้อกระดูกนั้นจะเสื่อมสลายได้ช้ากว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลัง การยกน้ำหนักนั้นจะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ไม่ลีบหรือแฟบเร็วกว่าที่ควรจะเป็น


การวิ่งนั้นเป็นการออกกำลังแบบแอโรบิก ก็คือ สามารถทำให้ร่างกายมีอากาศออกซิเจนเพิ่มขึ้นกว่าปกติ ขณะเดียวกันการวิ่งจะทำให้กระดูกกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น แต่ถ้าหากมีอาการปวดเข่า หรือปวดหลัง หรือปวดข้อเท้า ก็ควรหยุดวิ่ง เปลี่ยนไปออกกำลังกายแบบอื่นแทน ที่ไม่ต้องมีการกระแทกข้อเข่ามากจนเกินไป เพราะการวิ่งแต่ละครั้งเข่าต้องรับน้ำหนักถึง 10 เท่าน้ำหนักตัวเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก  https://www.doctor.or.th/ask/detail/2196

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ปวดก้นกบเกิดจากอะไร




ปวดก้นกบเกิดจากอะไร
           กระดูกสันหลังของคนเรา จะประกอบด้วย กระดูกสันหลังส่วนคอ กระดูกสันหลังส่วนบริเวณทรวงอก (บริเวณแผ่นหลังส่วนบนถึงส่วนกลางหลัง) กระดูกสันหลังตรงบริเวณเอว กระดูกกระเบนเหน็บ หรือกระดูกส่วนก้น และสุดท้าย คือ กระดูกก้นกบ
กระดูกก้นกบ เป็น กระดูกส่วนล่างสุดของกระดูกสันหลังที่มีลักษณะคล้ายกับหางของกระดูก
เรียกว่า กระดูกก้นกบ”  ที่ประกอบไปด้วยกระดูกเล็กๆสามชิ้นหรืออาจมากกว่า ที่รวมกันเป็นกระดูกก้นกบ อยู่บริเวณร่องก้นเล็กน้อย อาการปวดก้นกบเป็นอาการที่พบได้ยาก และมักจะพบใน
เพศหญิงมากกว่าเพศชาย และมักเกิดมาจากการคลอดบุตร การประสบอุบัติเหตุ การติดเชื้อหรือว่า
เนื้องอก ก็สามารถทำให้เกิดการปวดก้นกบได้เช่นกัน

อาการปวดก้นกบ
มีความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงขึ้นเมื่อนั่งลง
จะมีอาการเจ็บปวดมากขึ้นเมื่อถูกกดทับ หรือถูกสัมผัส ที่ตรงบริเวณกระดูกก้นกบ
มีอาการเจ็บที่กระดูกก้นกบมากยิ่งขึ้น เมื่อเปลี่ยนจากท่านั่งมาเป็นท่ายืน 
มีอาการปวด หรือเจ็บกระดูกก้นกบมากขึ้นเมื่อมีอาการท้องผูก และจะรู้สึกดีขึ้นหลังจากมีการเคลื่อนไหวของลำไส้ หรือได้มีการถ่ายอุจจาระออกไป

สาเหตุของการปวดก้นกบ
อันเกิดมาจากอุบัติเหตุ อย่างเช่น การเล่นกีฬา การตกจากที่สูงด้วยการที่ก้นถูกกระแทกพื้นอย่างแรง
มีอาการปวดสะโพกเนื่องจากการติดเชื้อ รวมไปถึงโรคงูสวัดบริเวณก้นหรือบั้นท้ายด้วย
เป็นฝีบริเวณร่องก้น (pilonidal cysts)
ข้อต่อกระดูกบริเวณเชิงกรานอักเสบ (sacroiliitis) และกระดูกหัก
กระดูกก้นกบหักหรือร้าว
เกิดเนื้องอก หรือกระดูกก้นกบอักเสบ หรือว่ามีอาการแทรกซ้อนจนทำให้กระดูกสันหลังติดเชื้อเป็นหนอง ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบไม่ค่อยบ่อยมากนัก
มีความดัน อันเกิดมาจากกิจกรรมบางอย่างที่สร้างแรงกดดันไปตรงที่บริเวณก้นกบเป็นเวลานานๆ อย่างเช่น การขี่ม้า การนั่งบนพื้นแข็งเป็นเวลานาน  ซึ่งถ้าหากเกิดจากสาเหตุเหล่านี้อาการปวดก้นกบสามารถหายเองได้โดยการหยุดพักกิจกรรมดังกล่าว รวมถึงการใช้ยาแก้ปวดบรรเทาอาการ แต่ถ้าหากว่าเกิดการอักเสบที่กระดูกก้นกบ ก็อาจกลายเป็นอาการปวดเรื้อรังได้

สิ่งที่ควรปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีอาการปวดก้นกบ
เลือกที่นั่งที่มีเบาะรอง
ควรหลีกเลี่ยงการนั่งเป็นเวลานานๆ
หากปวดก้นกบรุนแรงมาก ควรเข้ารักการตรวจรักษาเพื่อหาสาเหตุของอาการปวด โดยเฉพาะถ้าหาก
มีรอยช้ำและมีผื่นขึ้นบริเวณก้นกบด้วย

การป้องกันการบาดเจ็บของกระดูกก้นกบ

ควรที่จะหลีกเลี่ยงจากการเล่นกีฬาหรือกิจกรรมที่อาจเสี่ยงต่อการถูกกระแทกบริเวณก้น หรือการตกจากที่สูงเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้กระดูกเชิงกรานรวมไปถึงกระดูกก้นกบหักหรือร้าว หรือว่ามีการกดทับของกระดูกก้นกบมากเกินไปซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้มีอาการปวดก้นกบได้
ขอบคุณข้อมูลจาก www.eldercareinthai.com/2015/07/11/ปวดก้นกบเกิดจากอะไร/

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

ปวดหลัง

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

การป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์


การป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคที่มักพบอาการอักเสบ หรือว่ามีอาการบวมตามบริเวณข้อ ในส่วนต่างๆทั่วร่างกาย มีการงอกของเยื่อบุตามข้อต่างๆ ซึ่งเยื่อบุจะขยายลุกลามไปยังส่วนอื่นๆของข้อ และอวัยวะอื่นๆด้วย อย่างเช่น ตา กล้ามเนื้อ ระบบประสาท และมักจะเป็นเรื้อรังนานเกิน 6 อาทิตย์ขึ้นไป มีซึ่งโดยทั่วไปโรคนี้เกิดได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 5 เท่าเลยทีเดียว ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์นี้ยังไม่เป็นที่ทราบอย่างแน่ชัด

อาการเริ่มแรกของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
§  ผู้ป่วยจะมีอาการบวม หรืออักเสบตามข้อ หากเรากดลงไปบริเวณนั้นจะมีความรู้สึกเจ็บปวด และทรมานมาก ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา นานวันเข้าข้อเหล่านี้จะเริ่มฝืดและจะเคลื่อนไหวลำบาก
§  ในช่วงเช้าหลังตื่นนอน ผู้ป่วยมักขยับข้อไม่ค่อยได้ เพราะว่าระหว่างที่นอนข้อไม่ได้ขยับ ทำให้เกิดการล็อกขึ้น
§  ผู้ป่วยอาการเบื่ออาหาร หรือไข้ขึ้น และปวดเมื่อยเนื้อตัวร่วมด้วย กระทั่งข้อต่างๆ เริ่มมีลักษณะผิดรูปและพิการในที่สุด

วิธีการป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
1. ให้ทำกายบริหารตามข้อต่างๆ โดยการใช้ฟองน้ำหรือลูกบอลยาง มาบีบให้กล้ามเนื้อนั้นได้ยืดและคลายตัว
2. ในขณะเวลาถือของควรใช้มือทั้งสองข้างในการหยิบจับ ไม่ใช้ข้อใดหรือมือใดมากจนเกินไป
3. ควรเปลี่ยนก๊อกน้ำภายในบ้านให้เป็นแบบคันโยกแทนก๊อกน้ำแบบหมุนเปิด
4. ควรเปลี่ยนประตูบ้านเป็นแบบบานเลื่อนแทนลูกบิด
5. ให้ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรงสามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้
6. ควรงดดื่มเหล้า หรือการสูบบุหรี่
7
. ให้แช่มือหรือเท้าในน้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
8
. ควรขยับข้อตามร่างกายบ่อยๆ อย่าหยุดนิ่งหรืออยู่กับที่นานจนเกินไป
9
. ควรรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ และครบโภชนาการทั้ง 5 หมู่
10
. ควรรับประทานปลาต่างๆ เพราะว่าในปลามีโอเมก้า 3 ที่ช่วยลดการอักเสบได้
11.ควรหลีกเลี่ยงหรือลดการรับประทานเนื้อสัตว์ต่างๆ
12. ควรรับประทานเต้าหู้ หรือถั่ว ต่างๆและผลิตภัณฑ์ที่มาจากถั่วเหลือง
13. ควรรับประทานผักต่างๆ ในจำพวกผักคะน้า หรือผักโขม เพราะว่ามีสารโฟเลตช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงได้
14. ควรหาผลไม้ที่มีวิตามซีสูงมาทาน อย่างเช่น ส้ม มะนาว หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทั้งหลาย
15. ควรที่จะหลีกเลี่ยงอาหารที่มีปริมาณน้ำตาล  ไขมัน และแป้ง
16. ไม่ควรทานเนื้อสัตว์ที่ติดมัน หรืออาหารขยะซึ่งมีกรดไขมันอิ่มตัวสูง
17. ควรเลือกน้ำมันประกอบอาหารที่มีโอเมก้า 6 อย่างเช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันจมูกข้าวสาลี หรือว่าน้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น
18. เปลี่ยนจากการรับประทานข้าวขาวมาเป็นข้าวกล้อง หรือข้าวไรซ์เบอรี่แทน

19. ดื่มน้ำเปล่าให้มาก และพักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งไปตรวจเช็คสุขภาพเป็นประจำทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี

ขอบคุณข้อมูลจาก www.eldercareinthai.com/2015/09/12/โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์/

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

ปวดข้อ

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส



โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส 


           โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส นั้น ซึ่งคำว่า เอแอลเอส ย่อมาจาก Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) ไม่ถือว่าเป็นโรคของกล้ามเนื้อโดยตรง แต่เป็นโรคที่เกิดมาจากการเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทที่ทำการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ หรือว่ามีความผิดปกติของเซลล์ประสาทนำคำสั่ง เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อตามแขนและขาอ่อนแรงลง กลืนลำบาก พูดไม่ชัด ซึ่งเซลล์เหล่านี้มีอยู่ในไขสันหลังและสมอง หากเมื่อเซลล์เสื่อม เซลล์นี้จะค่อย ๆ ตายไปในที่สุด

           ในทางการแพทย์จะเรียกชื่อโรคนี้อีกชื่อว่า "โรคของเซลล์ประสาทนำคำสั่ง (motor neuron disease; MND) หรือว่า โรคเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อม" สำหรับในสหรัฐอเมริกาจะรู้จักกันดีในชื่อว่า "Lou Gehrig's Disease" (ลู-เก-ริก) ซึ่งเป็นชื่อของนักเบสบอลที่มีชื่อเสียงที่เป็นโรคนี้เมื่อปี ค.ศ. 1930 


 ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส

          จากสถิติของผู้ป่วยโรคนี้ทั่วโลก พบว่า ในประชากร 100,000 คน จะพบผู้ป่วยโรคนี้เพียง 4 ถึง 6 คนเท่านั้น ในขณะที่ในประชากร 100,000 คน จะมีโอกาสพบผู้ป่วยรายใหม่ เพียง 1.5 ถึง 2.5 คนต่อปีเท่านั้น พบในผู้ที่มีอายุมากมากกว่าคนอายุน้อย อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยโรคนี้อยู่ที่ 60-65 ปี และพบในเพศชายมากกว่าหญิง 1.5 เท่า

         จากประวัติของผู้ป่วยโรคเอแอลเอส 90 เปอร์เซ็นต์ ไม่พบข้อมูลแน่ชัดว่าโรคนี้เกี่ยวข้องทางพันธุกรรม แต่ที่ผ่านมา แต่ทว่ามักพบนักกีฬาป่วยเป็นโรคนี้กันมาก อย่างเช่น นักเบสบอล นักฟุตบอล หรือแม้กระทั่งนักมวย อย่างวีรบุรุษผู้คว้าเหรียญรางวัลจากการแข่งขันโอลิมปิกเป็นคนแรกให้กับประเทศไทย "พเยาว์ พูลธรัตน์" ที่ต้องจบชีวิตลงด้วยโรคนี้เช่นกัน

 สาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส

          ในการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคนี้ที่แน่ชัด แม้จะพบว่านักกีฬาเป็นโรคนี้หลายคน แต่ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่า นักกีฬาเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้มากกว่าอาชีพอื่น

          อย่างไรก็ตาม มีสมมติฐานที่เชื่อว่า มีหลายปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอสขึ้น อย่างเช่น ปัจจัยบางอย่างทางพันธุกรรม รวมทั้งปัจจัยจากทางสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อนของสารพิษ เช่น ยาฆ่าแมลง รังสี สารโลหะหนัก หรือว่าการติดเชื้อไวรัสบางชนิดที่ช่วยกระตุ้นส่งเสริมให้เซลล์ประสาทนำคำสั่งทำงานผิดปกติได้

          นอกจากนี้แล้ว ยังมีปัจจัยเรื่องของอายุ เพราะว่าอายุที่มากขึ้นจะทำให้ไมโตคอนเดรีย (mitochondria) ตัวที่คอยสร้างพลังงานให้กับเซลล์เกิดความผิดปกติขึ้นได้ ทำให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมสลายลงไปตามไปด้วย แต่ก็เป็นเพียงสมมติฐานที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ที่แน่ชัด 

          ในปัจจุบันเชื่อกันว่า โรคนี้อาจจะเกิดจากกลไกภูมิคุ้มกันต่อตนเองผิดปกติ (Autoimmune attack) หรือว่าเกิดจากกลไกอนุมูลอิสระ (Free radicals) ไปทำลายเซลล์ประสาทของตนเอง ส่วนอีกทฤษฎีหนึ่งเชื่อว่า การที่เซลล์ประสาทในสมองและไขสันหลังเสื่อมสลาย เกิดจากการที่สารสื่อนำกระแสประสาท (neurotransmitter) ที่ชื่อว่า กลูตาเมต (glutamate) ไปกระตุ้นให้เกิดการทำลายเซลล์

อาการของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส

         ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการ คือ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เริ่มจากอ่อนแรงตามมือ แขน ขา หรือว่าเท้าข้างใดข้างหนึ่งก่อน สังเกตจาก ล้มบ่อย เกิดสะดุดบ่อย ยกแขนไม่ขึ้น ไม่สามารถกำมือถือของได้ หยิบจับของขนาดเล็กได้ลำบาก ลุกนั่งได้ลำบาก ใส่รองเท้าแตะแล้วก็หลุดง่าย จากนั้นอาการจะหนักขึ้นจนลามไปทั้งอีกข้าง พบผู้ป่วยอาจจะมีอาการกล้ามเนื้อลีบ หรือว่ากล้ามเนื้อเต้นร่วมด้วย หากเป็นนานๆเข้าจะมีจะกลืนอาหารลำบากเกิดสำลักง่าย พูดได้ไม่ชัด พูดเหมือนลิ้นแข็ง ลิ้นลีบตัว แขนขาลีบ แต่จะพบว่าไม่มีอาการชา สามารถกลอกตาไปมาได้อยู่ กลั้นปัสสาวะ-อุจจาระได้ตามปกติ และมีสติสัมปชัญญะอยู่ในระดับดี

          พบว่า ผู้ป่วยหลายรายไม่รู้สึกว่าตนเองมีความผิดปกติ จึงปล่อยอาการต่าง ๆ ไว้นาน เกินไป เมื่อมาพบแพทย์ก็มีอาการหนักมากแล้ว อย่างเช่น เป็นกระบังลมอ่อนแรง จนทำกิจวัตรประจำวันไม่ได้ตามปกติ เพราะเหนื่อยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนอนราบหรือว่าต้องตื่นกลางดึก เพราะเหนื่อย หอบ และหายใจลำบาก สุดท้ายผู้ป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย ไม่สามารถกลืนอาหารและน้ำได้  ต้องให้อาหารผ่านทางสายยางทางจมูกหรือทางหน้าท้อง และอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

         หากผู้ป่วยอาการหนักมาก ผู้ป่วยก็จะเสียชีวิตในที่สุด เนื่องจากระบบหายใจล้มเหลว และมีการติดเชื้อในปอด เนื่องจากสำลักน้ำและอาหาร ระยะเวลา ตั้งแต่มีอาการจนถึงเสียชีวิต อาจจะกินเวลาตั้งแต่ 2 - 4 ปี ในผู้ป่วยบางรายอาจจะมีการดำเนินโรคที่สั้นหรือยาวกว่านี้ได้ ผู้ป่วยที่มีแนวโน้มเสียชีวิตเร็ว คือ ผู้ป่วยหญิง ผู้ป่วยเป็นโรคเมื่ออายุมากแล้ว หรือผู้ป่วยมีอาการกลืนลำบาก พูดไม่ชัด และสำลักง่าย เป็นอาการนำ

 การวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส

          เพราะอาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงอาจเป็นอาการของโรคอื่นได้ ดังนั้น แพทย์ผู้วินิจฉัยต้องเป็นแพทย์อายุรกรรม ในสาขาประสาทวิทยา ที่มีประสบการณ์พอสมควรที่จะแยกโรคนี้ออกได้ ด้วยการซักประวัติเกี่ยวกับอาการป่วยอย่างละเอียด และตรวจร่างกาย เพื่อหาลักษณะกล้ามเนื้ออ่อนแรง เต้นพลิ้ว และ ฝ่อลีบ ที่ถือเป็นอาการจำเพาะของโรคนี้ นอกจากนี้แล้ว แพทย์จะต้องใช้การสืบค้นทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมด้วย เพื่อที่จะแยกโรคให้แน่ชัด ด้วยการตรวจกระแสไฟฟ้าของกล้ามเนื้อ หรือ Electromyography : EMG ด้วยกับการถ่ายภาพคลื่นแม่เหล็กของสมองและไขสันหลัง หรือ Magnetic resonance imaging : MRI of brain and spinal cord  เป็นต้น
 

 การรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส

          ยังไม่มีวิธีรักษาโรคเอแอลเอสให้หายขาดได้ พบว่า ร้อยละ 50 จะเสียชีวิตหลังจากมีอาการในเวลาประมาณ 2 ปี แต่ยังมียาชนิดหนึ่งที่องค์การอาหารและยาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกายอมรับโดย ชื่อว่า ไรลูโซล (Riluzole) โดยยาจะไปออกฤทธิ์ต่อต้านสารกลูตาเมต ที่เป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่ง ที่ถ้าหากมีมากเกินไปจะทำให้เซลล์ตาย  ยาตัวนี้จะไปลดการทำลายเซลล์ประสาทในไขสันหลัง และสมองได้ แต่ ก็ไม่สามารถช่วยทำให้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงดีขึ้น เพียงช่วยยืดอายุของผู้ป่วยออกไปได้อีกประมาณ 3-6 เดือน

          ดังนั้นแพทย์จึงต้องรักษาตามอาการเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ยาแก้อาการท้องผูก ให้ยาลดน้ำลาย ทำกายภาพบำบัด ให้ทำกิจกรรมบำบัด ทำการฝึกพูด ฝึกกลืน หากกลืนอาหารไม่ได้ก็ต้องใส่สายยางให้อาหาร และถ้าหากเหนื่อยหอบ หายใจเองไม่ได้ ก็จะใช้เครื่องช่วยหายใจอีกทาง

          หากใครป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส ถือว่ามีความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้ 

ขอบคุณข้อมูลจาก http://health.kapook.com/view1703.html



สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

อัมพฤกษ์อัมพาต

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เครียดไม่รู้ตัว ทำกล้ามเนื้อเกร็งและเมื่อยล้า




เครียดไม่รู้ตัว ทำกล้ามเนื้อเกร็งและเมื่อยล้า

         
เพ็ญพิชชากร แสนคำ นักกายภาพบำบัด ผู้เชี่ยวชาญด้านเกี่ยวการปรับโครงสร้างร่างกาย ระบุว่า ความเครียดแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด 

          1. Acute stress 
คือความเครียดที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดและร่างกายจะตอบสนองโดยที่มีการแสดงออกมาทันที ความเครียดนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ มีผลกระทบต่อสภาพร่างกายและจิตใจไม่นานนัก แต่ถ้าหากเป็นบ่อยก็ทำให้เกิดความเครียดแบบเรื้อรังได้ 

          2. Chronic stress 
คือความเครียดที่เกิดขึ้นแบบซ้ำๆ กับภาวะร่างกายและจิตใจทุกๆวันแบบเลี่ยงไม่ได้ อย่างเช่น ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ เป็นต้น ความเครียดอันเนิ่องมาจากปัญหาการทำงาน เช่น ความหน้าเบื่อจากการทำงาน ปัญหาเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ซึ่งไม่มีทางเลือกและไม่สามารถแสดงออกมาได้ เป็นต้น

         
ความเครียดจะบั่นทอนสุขภาพร่างกายและจิตใจอย่างช้าๆ โดยที่ไม่รู้สึกตัว ไปฝังลึกลงในจิตใต้สำนึก ทุกครั้งที่เกิดภาวะเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเครียดเรื้อรัง จะมีผลโดยตรงต่อการทำงานของร่างกาย ซึ่งทุกระบบจะทำงานหนักมากขึ้น
เมื่อเครียดเกิดอะไรขึ้นบ้าง

         
หากภายใต้จิตสำนึกของคุณเครียด ร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อะดรีนาลิน ฮอร์โมนนี้กระทบและมีผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก ทำให้หลอดเลือดภายในร่างกายบีบตัว การไหลเวียนของเลือด น้อยลง หัวใจทำงานหนักและบีบตัวสูงขึ้น มีความดันเพิ่มขึ้น  หากมีภาวะไขมันในหลอดเลือดก็อาจจะเสี่ยงต่อการเป็นเลือดอุดตัน ภาวะขาดเลือดในอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ สมอง เป็นต้น การทำงานของอวัยวะต่างๆ มีประสิทธิภาพลดลง อย่างเช่น เหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมาก มีอาการท้องอืด ท้องผูก อาหารไม่ย่อย ร่างกายขับพิษออกไม่ได้ ตับและไตทำงานหนักขึ้น สมรรถภาพทางเพศลดลง หงุด หงิด  ปวดเมื่อยตามร่างกาย ไม่มีสมาธิ ภายในระบบภายในร่างกายต้องทำงานสูงอันเนื่องมาจากการดึงอินซูลินในระบบเลือดมาใช้ กระตุ้นให้กินมากทำให้เกิดโรคอ้วนได้ ฯลฯ  

ความเครียดกับระบบกระดูกกล้ามเนื้อ

      
หากเครียดฮอร์โมนที่อะดรีนาลิน จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดเกร็งตัวมากกว่าปกติ จนร่างกายรู้สึกเมื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่า ง่วงนอน และหาวบ่อยๆ 

       
กล้ามเนื้อที่มีปัญหามากที่สุด  คือ กล้ามเนื้อส่วนบริเวณบ่าและคอ กล้ามเนื้อจะเป็นมัดเล็กเป็นริ้วเกาะตามขอบท้าย ทอย ที่เป็นทางผ่านของหลอดเลือดที่เลี้ยงสมอง และเลี้ยงอวัยวะต่างๆส่วนบนศีรษะ บริเวณนี้จะเป็นตัวเตือนคุณได้มากที่สุด คุณจะรู้สึกปวดคอ ปวดบ่า  ในบางรายร้าวไปที่หลัง รอบสะบัก หายใจแล้วก็เสียวในช่องอก มากขึ้นเรื่อยขนาดปวดร้าวขึ้นศีรษะ เหมือนกับเป็นไมเกรน  อันเนื่องจากกล้ามเนื้อหดตัวมากจนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ตา ปากอาจจะมีอาการกระตุกด้วย  

การดูแลตนเอง

          ในการดูแลให้ถูกวิธี คือ เราต้องทำกล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นดี กระดูกควรอยู่ในแนวที่ปกติ ส่วนของเส้นเลือด เส้นประสาท ระบบขับสารเสีย ระบบน้ำเหลืองไหลเวียนทำงานได้ดี ไม่ใช่แค่ไปคลายที่คออย่างเดียว เพราะว่ามีกล้ามเนื้อเกี่ยวพันกันอยู่ทุกส่วน ควรที่จะปรับสมดุลให้โครงสร้างร่างกาย เพราะถ้าหากปรับสภาวะให้โครงสร้างสมดุลแล้ว ระบบเลือด น้ำเหลือง เส้นประสาทก็จะไหลเวียนได้เต็มที่ ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนชนิดดีที่ทำงานตรงกันข้ามกับอะดรีนาลิน นั่นก็คือเอ็นดอรŒฟิน ที่เป็นสารสุขให้กับร่างกา

         
หากว่าต้องการดูแลด้วยตนเองก่อน ควรที่จะผ่อนคลายด้วยการนวดเบาๆ  ทำอบหรือประคบร้อน ไม่ควรทำแรงเกินไปบริเวณคอ เพราะว่ามีเส้นเลือดและกล้ามเนื้อที่สำคัญอยู่มาก หากว่าต้องการรักษาก็ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของระบบกระดูกกล้ามเนื้อจะดีกว่า และควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเพราะจะส่งผลเสียมากขึ้น 

ขอบคุณข้อมูลจาก http://icare.kapook.com/suicide.php?ac=detail&s_id=12&id=1362


วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559

โรคกล้ามเนื้อเสื่อม ตอนที่ 1




    โรคกล้ามเนื้อเสื่อม เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดเป็นมาแต่กำเนิด อันเนื่องมาจากความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ทำให้เส้นใยกล้ามเนื้อลายเสื่อมสภาพแบบช้าๆ และค่อยๆอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีอายุมากขึ้น ในความผิดปกติทางพันธุกรรมนั้นมีได้หลายรูปแบบ มีความรุนแรง หรืออัตรากล้ามเนื้อเสื่อมเร็วช้าที่แตกต่างกัน

โรคกล้ามเนื้อเสื่อมพบได้ประมาณ 5 ถึง 90 รายต่อประชากร 1 ล้านคน ขึ้นอยู่กับชนิดความผิดปกติของกรรมพันธุ์และเชื้อชาติ และเพราะเป็นโรคความผิดปกติทางพันธุกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับโครโมโซมเพศ (X-linked recessive) ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดมักเป็นเพศชาย

สาเหตุของโรคกล้ามเนื้อเสื่อม

เป็นโรคที่เกิดจากการกลายพันธุ์ในของยีน (Gene) ชื่อ ดิสโทรฟิน (Dystrophin gene) ที่อยู่บนโครโมโซมเอ็กซ์ (Xp21) ยีนตัวนี้จะถอดรหัสออกมาเป็นโปรตีนดิสโทรฟิน ที่เป็นโปรตีนโครงสร้างที่สำคัญของกล้ามเนื้อ หากมีการผิดปกติของยีนดังกล่าว ก็จะทำให้กล้ามเนื้อมีความผิดปกติตั้งแต่เกิดแลทำให้กล้ามเนื้อค่อยๆเสื่อมสภาพลง และอ่อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง เมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น ความรุนแรงของอาการและของโรค ขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่โปรตีนดังกล่าวผิดปกติไป

อาการโรคกล้ามเนื้อเสื่อม

อาการที่พบบ่อยของโรคนี้มีดังต่อไปนี้
มีพัฒนาการของการนั่ง เดิน และวิ่ง ที่ช้า
มีท่าเดินเตาะแตะที่คล้ายเป็ด
ลุก ยืน ขึ้นลงได้ลำบาก
ขึ้นลงบันไดได้ลำบาก
มีกล้ามเนื้อบางส่วนของร่างกายโตผิดปกติ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณน่อง (Calf hypertro phy)
มีกระดูกสันหลังผิดรูปหรือกระดูกสันหลังคด (Scoliosis)
อนึ่ง เด็กที่เป็นโรคนี้จะมีพัฒนาการที่ช้าและประมาณ 25 เปอร์เซ็นจะมีอาการพิการทางสมองด้วย มักจะตรวจพบได้เมื่อเด็กมีอายุ 3 ปี โรคนี้จะมีอาการรุนแรงมากขึ้น เด็กก็จะเดินท่าเตาะแตะลักษณะการเดินคล้ายเป็ด หลังโค้ง เพราะกล้ามเนื้อสะโพกอ่อนแรง  ขึ้นลงบันไดด้วยความลำบากมาก กล้ามเนื้อน่องแม้จะอ่อนแรงลง แต่มีขนาดใหญ่ผิดปกติเหมือนกับกล้ามเนื้อต้นแขน และผลจากการที่กล้ามเนื้อเสื่อมลงนี้เมื่อเด็กอายุได้ประมาณ 12 ปี  มักจะเดินไม่ได้

เวลาที่ควรมาพบแพทย์

หากผู้ปกครองที่สังเกตพบว่าลูกตนเอง พัฒนาการที่ล่าช้าในการ ลุก นั่ง ยืน หรือเดิน ควรพาลูกพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวที่มีประวัติทางพันธุกรรมของโรคนี้ด้วยแล้ว ยิ่งต้องสังเกตและเข้าพบแพทย์อย่างรวดเร็วว่าเป็นโรคนี้หรือไม่ 


การวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้อเสื่อมของแพทย์
แพทย์จะดูจากอาการผิดปกติดังกล่าวที่กล่าวมาแล้ว ร่วมกับตรวจร่างกายโดยเฉพาะการหาตรวจพบกล้ามเนื้อน่องโต กล้ามเนื้อต้นแขน ต้นขา สะโพก ไหล่ การอ่อนแรง การตรวจเลือด ค่าเอนไซม์กล้าม เนื้อ (CK, Creatine kinase) ที่จะสูงขึ้นไม่มาก ตรวจดูยีนผิดปกติ ตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ การวินิจฉัยที่แน่นอนก็คือ  ด้วยการตัดชิ้นเนื้อจากกล้ามเนื้อ ซึ่งจะพบลักษณะจำเพาะของโรค

ขอบคุณข้อมูลจาก http://haamor.com/th/โรคกล้ามเนื้อเสื่อม/


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน