disable right click

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

รู้ไหมว่าใบหน้าเราก็เป็นอัมพาตได้




รู้ไหมว่าใบหน้าเราก็เป็นอัมพาตได้
           ใบหน้าของเราแม้ว่าจะไม่ใช่ส่วนที่ขยับไปมาได้เหมือนแขนขาหรือส่วนอื่น ๆ ของเรากายแต่มันก็เป็นอัมพาตได้เหมือนกันนะ  และมันสามารถเป็นได้กับทุกคนไม่เลือกเพศ ไม่เลือกวัย วันนี้เรามาดูกันว่าทำไมหน้าของเราถึงเป็นอัมพาตได้แล้วจะมีอาการเป็นอย่างไร พร้อมทั้งวิธีการป้องกันและรักษา

สาเหตุที่ทำให้ใบหน้าเป็นอัมพาต
 หากจะถามหาสาเหตุที่แน่นอนก็คงยังไม่ทราบแน่ชัดแต่ว่ากันว่าอาการอัมพาตใบหน้านั้นมักจะเกิดมากจากการที่เรามีการติดเชื้อไวรัสบางชนิด หรือกับคนที่เป็นโรคเริม ตรงเส้นประสาทใบหน้าทำให้ใบหน้านั้นไม่สามารถที่จะควบคุมกล้ามเนื้อบางส่วนของใบหน้าได้ แต่ก็เป็นชั่วคราวเท่านั้น บางครั้งอาจจะเป็นอัมพาตตรงใบหน้าแค่ครึ่งเดียว ปากเบี้ยว หลับตาได้ไม่สนิท และอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับใบหน้าแต่ว่ามันก็ไม่ใช่โรคอัมพาตครึ่งซีกมันคนละอาการกัน สำหรับโรคนี้จะเป็นแค่ใบหน้าเท่านั้น

อาการของผู้ที่เป็นอัมพาตใบหน้า 
      สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นอัมพาตทางใบหน้านั้นมักจะมีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้นและมักจะเกิดในตอนเช้าด้วย เส้นประสาทเส้นที่ 7 ของใบหน้านั้นควบคุมไม่ได้ และอาการที่เรามักพบกับผู้ป่วยโรคนี้ก็คือ
ปากบิดเบี๊ยวเวลาที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้า
กลืนน้ำลายแล้วน้ำลายหกลงจากปากด้านที่เป็นอัมพาต
ลิ้นชาไม่สามารถรับความรู้สึกได้
หลับตาได้ไม่สนิทหรือหลับสนิทได้แค่ข้างเดียว
หูอื้อ
น้ำตาไหลเอง
ฯลฯ
          บางคนก็อาจจะมีอาการอย่างอื่นมากกว่านี้ สำหรับผู้ที่เป็นอัมพาตใบหน้า อาจจะเป็นทั้งหน้าหรือเป็นแค่ครึ่งเดียว  ต่อไปมาหาวิธีการรักษากันดีกว่า

วิธีการรักษาอาการอัมพาตใบหน้า
รักษาโดยการใช้ยา  สำหรับคนที่พึ่งรู้ตัวว่าเป็นอัมพาตครึ่งหน้าหรือทั้งหน้าใหม่ ๆ ควรไปพบแพทย์และหายามารับประทานเพื่อทำการรักษา อาจจะหายได้หากพึ่งเป็น แต่ถ้าปล่อยเอาไว้นานมากกว่า 1 สัปดาห์ยาอาจจะเอาไม่อยู่แล้วคงต้องหาวิธีอื่นรักษาเพิ่มเติมอีก

ทำกายภาพบำบัด  วิธีนี้ก็จะต้องได้รับการแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเหมือนกัน เพราะการเป็นอัมพาตใบหน้าวิธีการรักษาจะไม่เหมือนกับการทำกายภาพในส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย บางครั้งก็อาจจะต้องใช้พลังไฟฟ้าเข้ามาช่วยกระตุ้นเพื่อปลุกใบหน้ากลับคืนมา

รักษาโดยการผ่าตัด  เป็นวิธีการสุดท้ายแล้วสำหรับผู้ที่เป็นอัมพาตใบหน้าแบบหนักมาก และไม่สามารถรักษาในแบบอื่นได้แล้วแพทย์จะทำการวินิจฉัยเองว่าจะต้องผ่าตัดหรือไม่
สำหรับใครที่กำลังเป็นอยู่มันไม่ใช่เรื่องหน้าอายเลย ถ้าหากต้องการจะหายดีกลับมาเป็นปกติได้โดยเร็วจะต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อจะได้หาทางรักษาต่อไป หากปล่อยเอาไว้นาน ๆ การรักษาก็จะยิ่งยากขึ้น และทำให้หายช้าลงอีกด้วย

ที่มา http://www.pt.mahidol.ac.th/knowledge/?p=131

อัมพาต

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน


วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ตะคริวเป็นแล้วอย่าละเลย




เชื่อว่าเกือบทุกคนน่าจะเคยเกิดอาการเป็นตะคริวกันแล้วบ้าง 

       ตะคริว คืออาการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง สามารถเป็นได้ในทุกกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดความเจ็บปวดทรมาน และที่พบได้บ่อยคือตะคริวที่กล้ามเนื้อน่อง มีอาการนานไม่เกิน 2 นาที แต่บางครั้งอาจนานถึง 5 นาทีหรือมากกว่า การเป็นตะคริวไม่ส่งผลให้ถึงขั้นเสียชีวิต แต่ก็อาจทำเกิดอันตรายได้ถ้าเกิดขณะกำลังว่ายน้ำ  หรือขณะขับรถ ตะคริวเป็นอาการที่สามารถเกิดได้ทุกเวลา ขณะนอนหลับ เล่นกีฬา หรือทำขณะทำงาน 

        สาเหตุการเกิดตะคริวมีหลายทฤษฏี  อาจจะมาจากการสูญเสียแร่ธาตุแมกนีเซียมไปกับเหงื่อขณะออกกำลังเป็นเวลานานๆ  หรือหญิงมีครรภ์การสูญเสียแร่ธาตุให้กับลูกที่อยู่ในครรภ์  หรือการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อนั้นๆ เป็นเวลานานๆ ทำให้ขาดการไหลเวียนเลือด ขาดการนำออกซิเจนและแร่ธาตุไปที่กล้ามเนื้อ  การอาเจียน ท้องเสียก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สูญเสียแร่ธาตุแมกนีเซียมได้เช่นกัน  

     และอาจเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของเซลล์ประสาท และเส้นประสาทที่ควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อ และประการสุดท้ายอาจมาจากการหลอดเลือดตีบทำให้ไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่ดีพอ สาเหตุที่พบบ่อยๆคือ การกินอาหารชนิดเดียวซ้ำๆ ซากๆ  การขาดน้ำ และอดอาหาร

       สำหรับใครที่ต้องการจะออกกำลังกายก่อนที่จะออกกำลังกายทุกครั้งควรจะต้องมีการวอล์มอัพก่อนเพื่อให้กล้ามเนื้อได้เตรียมพร้อมไม่เกร็งไม่ยึดในขณะที่เรากำลังเล่นกีฬาอยู่ เมื่อทำการวอล์มได้ที่แล้วค่อยลงไปเล่นกีฬาได้ตามปกติ เพื่อเลี่ยงการเป็นตะคริว ทำให้การเล่นกีฬาของเราสนุกกว่ากันเยอะ  

สำหรับใครที่ไม่อยากจะเป็นตะคริวนั้นจะต้องดูแลตัวเองให้ดี ดังนี้ 
  • กินกล้วย  สำหรับคนที่ต้องใช้พลังงานในร่างกายเยอะ ๆ กล้วยจะช่วยเพิ่มพลังให้เราได้ลดการเกิดเป็นตะคริวได้ กล้วยเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียม แคลเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งมีบทบาทสำคัญสำหรับการทำงานของระบบประสาท  การหดตัวของกล้ามเนื้อ และเป็นผลไม้ ที่ถูกย่อยและร่างกายดูดซึมได้รวดเร็ว  
  • ดื่มน้ำเยอะ ร่างกายของเราขาดน้ำไม่ได้เด็ดขาดยิ่งหากใคร ถ้าใครต้องออกกำลังกายอย่างแรงๆต้องอบอุ่นร่างกายก่อน อย่างน้อยกล้ามเนื้อจะได้ยืดหยุ่น ไม่เหนื่อย มีการเตรียมร่างกายพร้อมแล้ว 
  • อย่าอยู่ท่าเดิม เช่นการนั่งท่าเดิม ๆ จะทำให้ขาเป็นตะคริวได้ การทำอะไรซ้ำ ๆ นาน ๆ ร่างกายจะเริ่มทำให้กล้ามเนื้อยึดตัว  
           การดูแลตัวเองในทุก ๆ ด้านทำให้สุขภาพของเราดีขึ้นไม่เฉพาะแต่การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว การเลือกอาหารที่ดีมีประโยชน์ก็ทำให้ร่างกายเราแข็งแรงได้เหมือนกัน ถ้าหากตอนนี้ยังมีอาการตะคริวกินบ่อย ๆ อยู่ก็จะต้องหาเวลาดูแลตัวเองให้มากขึ้น อย่าละเลยเพราะว่าร่างกายของเราสูญสลายได้ง่าย ๆ หากเราไม่ดูแลตั้งแต่วันนี้ต่อไปร่างกายอาจจะอยู่กับเราได้ไม่นานก็เป็นได้  ตะคริวไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแม้มันจะเป็น ๆ หาย ๆ แต่ก็อันตรายไม่ใช่น้อย 

ข้อมูลจาก http://www.pt.mahidol.ac.th/knowledge/?p=67

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อาการกระดูกบางมีวิธีการป้องกันอย่างไร



อาการกระดูกบางมีวิธีการป้องกันอย่างไร
       กระดูกของคนเราไม่ได้ผุได้อย่างเดียวแต่ยังมีการลดขนาดให้บางลงได้อีกด้วยนะ แต่มันจะค่อย ๆ บางลงอย่างช้า ๆ เมื่อเราเริ่มแก่ตัวลงมาเรื่อย ๆ แต่ว่ากระดูกบางนั้นไม่เจ็บแต่ว่าความสูงของเราจะลดลงมาจากนั้นหลังของเราจะโก่งมากขึ้น เอวจะเริ่มแอ่นมากขึ้น หน้าท้องยื่น จะว่าไปอาการกระดูกบางนี่ทำให้คนหมดสวยได้เลยนะนี่ เนื่องจากมันบางมากจึงอาจจะเสี่ยงเป็นกระดูกเปราะได้ง่ายด้วย ถ้าหักขึ้นมางานนี้หนักกว่าเดิมเลย โดยเฉพาะในส่วนข้อต่อต่าง ๆ ในร่างกายของเราเมื่อพาจะรู้กันแล้วว่ามันเกิดได้เรามาหาวิธีการป้องกันดีกว่า

การป้องกันอาการโรคกระดูกบาง
        วิธีการช่วยซ่อมแซมและอาการผุของกระดูกบาง กระดูกพรุนคือการรับประทานอาหารแคลเซียมคือตัวการหลักที่เราต้องเพิ่มเข้าร่างกายจากนั้นตามด้วยวิตามินดี ผัก นม ไข่ หรือหาซื้อแคลเซียมมากินโดยตรงเลยก็ได้ นอกจากการหากินแคลเซียมแล้ว การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ กระดูกควรจะได้ออกกำลังบ้าง เคลื่อนไหวอย่างถูกวิธีเป็นการใช้พลังงานในร่างกาย ให้กระดูกมันชินกับการเคลื่อนไหวด้วย  
     อีกอย่างคือเวลาที่เรานั่งหรือยืนอย่าหลังงอ ให้พยายามทำหลังตรงเข้าไว้เพื่ออนาคตจะได้มีสุขภาพที่ดี ไม่เสี่ยงต่ออาการกระดูกบางกระดูกพรุน ทานนมเยอะ ๆ นะไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตามเพราะยังไงร่างกายก็ต้องการแคลเซียมอยู่ตลอดไม่ขาดเลย

โรคกระดูกบางเกิดกับใครได้บ้าง
      อาการกระดูกบางนี้สามารถเกิดได้กับทุกคนเลยแต่พบมากในคนที่สูงอายุแล้วและมักจะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อาจจะเพราะว่าโอกาสที่จะสูญเสียเลือดและแคลเซียมในร่างกายของผู้หญิงมันมีมากกว่าก็เป็นได้ แต่ไม่ว่ามันจะเกิดกับใครมากกว่าก็ตาม การดูแลตัวเองเพื่อให้ห่างไกลจากโรคก็เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ใน 1 สัปดาห์หาเวลาในการออกกำลังกายอย่างน้อยให้ได้สักวันละ 30 นาทีก็กำลังพอดีเลย 
    อย่ารอให้แก่ค่อยดูแลตัวเองถ้าวันนี้ยังมีแรงที่จะเลือกสิ่งดี ๆ ให้กับร่างกายก็ควรจะทำเสียดีกว่า เพราะมันจะส่งผลในระยะยาวไปถึงอนาคตอีกด้วย การเลือกทานอาหารสำคัญมากการออกำลังกายก็สำคัญเช่นกัน ทำคู่กันไปเป็นประจำยังไงร่างกายก็ต้องแข็งแรงอย่างแน่นอน



วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ปัสสาวะเล็ดเกิดจากสาเหตุอะไร


ปัสสาวะเล็ดเกิดจากสาเหตุอะไร
         อาการปัสสาวะเล็ดอาจจะมองเป็นเรื่องปกติที่ไม่ร้ายแรงอะไรนักแต่ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ปกติเราจะต้องกลั้นปัสสาวะไว้ได้แต่ถ้าหากมาเล็ดออกมาเฉย ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวก็แปลว่าระบบบางอย่างของร่างกายหรืออะไรสักอย่างเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะจะต้องกำลังมีปัญหาอยู่อย่างแน่นอน เรามาดูสาเหตุกันว่าปัสสาวะเล็ดเกิดมาจากสาเหตุอะไรกันบ้าง

สาเหตุของอาการปัสสาวะเล็ด
ปัสสาวะมันออกมาเองได้แสดงว่าไม่ปกติแล้วมันต้องมีอะไรสักอย่างเปลี่ยนในร่างกายเรา ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่จะมาจากส่วนของกล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกรานของกระเพาะปัสสาวะของเราอ่อนแรงลง หูรูดชักจะดีเกินไปเปิดเองได้ด้วย หูรูดนี้ที่ทำให้เยื่อบุของท่อที่ถ่ายปัสสาวะในช่องคลอดแห้งลง และมีขนาดที่บางลง อันมาจากร่างกายนั้นได้ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน อีกอย่างคือท่อปัสสาวะมีอาการติดเชื้อในทางเดินชองท่อปัสสาวะ เพราะว่ามันบางเชื้อโรคก็เลยเข้ามาได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบช่องคลอดเริ่มแห้ง แสบ และ คัน เวลาร่วมเพศจะรู้สึกเจ็บ มดลูกหย่อย ตกขาวเริ่มมีกลิ่นเหม็น มันไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

ข้อความปฏิบัติสำหรับคนที่เป็นอาการปัสสาวะเล็ด
ก่อนอื่นเลยสำหรับคนที่ชอบการดื่มกาแฟ จะต้องลดลงมาบ้างจากนั้นหาเวลาในการออกกำลังกายให้กับอุ้งเชิงกรานโดยการฝึกการขมิบ ค้างเอาไว้ในช่วงแรกสัก 5 วินาที จากนั้นเมื่อทำได้แล้วก็เพิ่มขึ้นไปเป็นการขมิบค้างไว้ 10 วินาที เวลาที่มีเพศสัมพันธ์ให้ใช้น้ำยาหล่อลื่นเข้าช่วย เรื่องการดูแลรักษาความสะอาดก็สำคัญใช้น้ำยาจุดซ่อนเร้นที่บางเบา สวมใส่ชุดที่สบายตัว เมื่อมีอาการไอ หรือว่า จาม ให้ขมิบไปด้วย ทำให้มันชินแล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ อย่าปล่อยปัญหานี้เอาไว้ให้นาน รีบเร่งแก้ปัญหาจะดีกว่าก่อนที่มันจะแก้ยาก แล้วให้กลั้นปัสสาวะให้ได้ถ้าไม่ปวดจนเกินไปแต่ก็ไม่ควรจะกลั้นนานเพราะนั่นก็จะเป็นอันตรายเหมือนกัน ก็คือ ใน 1 วันให้เข้าห้องน้ำแต่พอดีก็พอ พยายามรักษาความสะอาด ควบคุมอาหารการกินด้วย ออกกำลังกายให้ทุกส่วนและพยายามอย่ายกของหนัก 


วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2558

กายภาพบำบัดสามารถลดความเครียดได้




กายภาพบำบัดสามารถลดความเครียดได้
             ทุกวันนี้มีเรื่องให้คนเราต้องปวดหัวมากมาย เครียดไปในทุก ๆ เรื่องรอบตัวบางครั้งการจะจำกัดความเครียดนั้นมันก็ไม่ใช่ของง่ายเลย ถ้าหากว่าเราต้องการที่จะลดความเครียดและค่อย ๆ หายไป มันก็มีวิธีแต่ว่าแต่ละคนนั้นจะเลือกใช้วิธีไหนในการขจัดความเครียดให้กับตัวเอง แต่อีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจและสามารถนำไปใช้ได้ทุกคนเพื่อการลดความเครียดก็คือ การทำกายภาพบำบัดให้กับตัวเองเป็นการกายภาพบำบัดทางจิตใจอย่างหนึ่ง

วิธีการทำกายภาพบำบัดเพื่อการลดความเครียดได้ด้วยตัวเอง

·    💝     นั่งหลังให้ตรงในเก้าอี้ ทำให้หลังและคอนั้นตรงอยู่ตลอดและเก้าอี้ต้องมีพนักพิงและให้เอาหลังพิงไปได้เลย เก็บคาง ผายไหล่ วางมือและท่อนแขนเอาไว้ทำให้ได้ความงอของข้อศอกประมาณ 90 องศา และสำหรับช่วง ขาและ สะโพกนั้นก็ต้อง งอเข่าเข้าให้ได้เป็น 90 องศา เช่นกัน

·    💝     การเปลี่ยนอิริยาบถ สำหรับคนที่นั่งทำงานท่าเดิมเป็นเวลานาน หากว่านั่งโดยไม่ยอมเปลี่ยนท่าเลยเสี่ยงต่อการทำให้เส้นเอ็นนั้นตึงและทำให้ปวดได้ อย่างน้อย ๆ ใน 1 – 2 ชั่วโมงควรจะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นได้อาจจะลุกเดินเล่น ยืดเส้นยืดสาย และพักสายตาบ้างสักประมาณ 1 ชั่วโมงพักสัก 15 นาทีกังพอเหมาะเลย โดยที่เลือกให้สายตาได้มอบอะไรไกล ๆเข้าไว้และมองสีเขียวจะทำให้สบายตาขึ้น

·     💝    ประคบ โดยเฉพาะการทำกายภาพบำบัดในช่วง คอ บ่า หรือ สะบัก การประคบนั้นจะต้องเป็นการประคบร้อนหรืออุ่นตรงบริเวณที่กำลังปวดอยู่ ให้ทำการประคบประมาณ 20 นาที และยืดเส้นสายอยู่บ่อย ๆ ให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นได้ทำงานได้เป็นอย่างดี  

·     💝    การออกกำลังกาย   การออกกำลังกายเป็นการทำกายภาพบำบัดอย่างหนึ่ง หากร่างกายยังไม่พร้อมทำงานหนักการออกกำลังกายก็ควรอยู่ในระดับเบา ๆ ก่อน เมื่อร่างกายแข็งแรงดีแล้ว ค่อยเริ่มเพิ่มระดับการออกกำลังกายมากขึ้น  


            ยังมีอีกหลายวิธีที่เป็นการทำกายภาพบำบัด เพื่อการลดความเครียด ถ้าตอนนี้คุณกำลังเครียดอยู่ ลองเลือกวิธีการทำกายภาพบำบัดสักวิธีเพื่อที่จะได้ช่วยตัวเองให้พ้นจากความเครียด  การบริหารทางด้านร่างกายส่วนต่าง ๆ จะเป็นตัวที่ช่วยกระตุ้นต่อมความเครียดให้มันลดลงและต่อมของความสุขจะกลับมาแทนที่ มีสมองพร้อมสำหรับการทำงานและทำกิจกรรมอื่น ๆ มากยิ่งขึ้น  ถ้ามองดี ๆ กาบภาพบำบัดบางอย่างก็เป็นการออกกังกายอย่างหนึ่งนี่เอง ที่มีทั้งเราสามารถทำเองได้และเราก็สามารถทำด้วยตัวเองได้

ปวดหลัง

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เอ็นข้อไหล่ฉีก คืออะไร และเกิดจากอะไร



เอ็นข้อไหล่ฉีก คืออะไร และเกิดจากอะไร
โรคเอ็นข้อไหล่ฉีก ก็คือ กลุ่มของเอ็นและกล้ามเนื้อ บริเวณไหล่ที่มีหน้าที่ในการเชื่อมระหว่าง Humerus (แขนบน) Scapula (ไหปลาร้า) เข้าด้วยกัน ทำให้ไหล่มีความแข็งแรงและกล้ามเนื้อส่วนนั้นสามารถหมุนได้ หากเอ็นข้อไหล่เกิดการฉีกขาด จะทำให้มีอาการเจ็บปวด และไม่สามารถยกแขนขึ้นได้ตามปกติ อาการของไหล่ฉีกสามารถพบได้กับผู้ที่มีอายุในช่วงของวัยกลางคน และผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวไหล่มาก่อน เมื่อผู้คนเหล่านี้ ยกของหนักจะทำให้เอ็นข้อไหล่เกิดการฉีกขาดได้ง่ายกว่าผู้ที่มีร่างกายปกติ อย่างไรก็ตามคนวัยหนุ่มสาวก็สามารถเกิดการบาดเจ็บของข้อไหล่ได้เช่นกัน เมื่อมีการใช้งานหัวไหล่มากเกินไป หรือการเกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงบริเวณหัวไหล่ สิ่งเหล่านี้เป็นความเสี่ยงต่อการเกิดข้อไหล่ฉีกขาดได้

สาเหตุของอาการเอ็นข้อไหล่ฉีก ได้แก่
1.       1. การเสื่อมสภาพของเอ็นข้อไหล่ตามระยะเวลาของการใช้งาน ร่างกายของเราจะมีเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอยู่แล้ว ทำให้ร่างกายสามารถรักษาตัวเองได้อย่างรวดเร็วเมื่อมีการบาดเจ็บ แต่มีบางส่วนที่เลือดไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงได้อย่างเต็มที่ อย่างเช่น ส่วนของเอ็นข้อไหล่ ทำให้บริเวณส่วนนั้น เกิดการเสื่อมสภาพไปตามระยะเวลาได้ และเป็นผลทำให้กลุ่มเส้นเอ็นมีความเปราะ ทำให้เกิดการฉีกขาดได้ง่าย เอ็นข้อไหล่ฉีกจึงเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสุขภาพที่พบกับผู้สูงอายุ
2.       2. หัวไหล่มีการเคลื่อนไหวลักษณะเดิมเป็นเวลานาน ๆ เมื่อมีอาการเสื่อมของข้อไหล่ร่วมด้วย จะทำให้อาการของเอ็นข้อไหล่เริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ จากสาเหตุนี้สามารถพบได้กับนักกีฬาที่ต้องเขวี้ยงมือเป็นประจำ อย่างเช่น นักเบสบอล รวมถึงการทำกิจวัตรประจำวันด้วย อย่างเช่น การเช็ดหน้าต่าง การล้างรถ และการทาสีบ้าน เมื่อต้องเคลื่อนไหวหัวไหล่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เอ็นข้อไหล่เกิดการฉีกขาดได้
3.       3. การออกแรงมากเกินไป ก็คือ แรงที่เกิดจากความพยายามที่จะจับวุตถุที่กำลังหล่นลงพื้น หรือการยกวัตถุที่มีน้ำหนักมากเกินไป รวมถึงแรงที่มากระทบกระแทกบริเวณไหล่โดยตรง ซึ่งทำให้เกิดการบาดเจ็บและทำให้เอ็นข้อไหล่ฉีกขาดได้

เอ็นข้อไหล่ฉีก มีอาการอย่างไร
เอ็นข้อไหล่ฉีกจะมีอาการเจ็บปวดอย่างมาก และจะมีอาการอ่อนแรงบริเวณหัวไหล่ เมื่อรอยฉีกมีมากเท่าไร ก็จะทำให้มีอาการเจ็บปวดอย่างมาก และมีอาการอ่อนแรงบริเวณหัวไหล่มากขึ้นเช่นกัน ในกรณีที่อาการของข้อไหล่ฉีกบางส่วน จะมีอาการเจ็บปวดแต่ยังสามารถเคลื่อนไหวแขนได้ตามปกติ และอาการเจ็บบริเวณหัวไหล่ก็ไม่แสดงอาการปวดได้อย่างชัดเจนนัก อาจจะมีอาการเจ็บแปลบขึ้นมาในขณะที่ใช้แขน และในผู้ที่มีอาการบางรายไม่สามารถนอนหลับได้เนื่องจากมีอาการปวดอย่างมากจนไม่สามารถนอนหลับได้นั้นเอง ในบางกรณีไม่สามารเคลื่อนไหวแขนได้อย่างที่เคย หรือไม่สามารถกางแขนออกจะข้างลำตัวได้ เนื่องจากเอ็นข้อไหล่มีการฉีกขาดทั้งหมดทำให้ไม่สามารถขยับแขนหรือใช้งานส่วนแขนได้

ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ https://www.bumrungrad.com/th/orthopedic-surgery-care-center-bangkok-thailand/condition/shoulder-rotator-cuff-surgery

ปวดไหล่

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

แนวทางการผ่าตัดเพื่อรักษาข้อเสื่อม




แนวทางการผ่าตัดเพื่อรักษาข้อเสื่อม

           ศูนย์ข้อสะโพก และข้อเข่ากรุงเทพ พร้อมด้วยเทคโนโลยีของการผ่าตัดและห้องผ่าตัดที่มีความทันสมัย อย่างเช่น “ชุดอวกาศสำหรับการผ่าตัด” (Surgical Space Suit) มาใช้ยังห้องที่มีการป้องกันการติดเชื้ออันเกิดมาจากลมหายใจของศัลยแพทย์และระบบการไหลเวียนของอากาศภายในห้องที่ต้องทำการผ่าตัดควรเป็นทิศทางเดียวกัน (Lamina air flow and positive pressure) ที่สามารถป้องกันฝุ่นละอองฟุ้งกระจายภายในห้องผ่าตัดและช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อที่อาจจะเกิดบริเวณของแผลผ่าตัดได้

วิธีการผ่าตัด ควรทำอย่างไร
           การรักษาด้วยการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้ที่มีอาการในแต่ละคน การผ่าตัดมี 2 แบบด้วยกันคือ
1.  การผ่าตัดแบบเก็บข้อเอาไว้ Joint Preservation
2. และการผ่าตัดแบบเปลี่ยนข้อ Joint Replacement

           การผ่าตัดทั้ง 2 แบบ จะต้องอาศัยเทคโนโลยีในการผ่าตัด ด้วย “โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการสร้างแบบจำลองเฉพาะผู้ที่มีอาการรายบุคคล” (Digital Template) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวางแผนการรักษาให้ได้ขนาดของข้อเทียมที่มีความเหมาะสมกับผู้ที่มีอาการแล้ว
            ยังต้องให้เทคโนโลยี Computer Assist Navigating TKR หรือการผ่าตัดเปลี่ยนข้อด้วยการใช้คอมพิวเตอร์นำวิถี เพื่อให้ข้อเทียมที่ใส่อยู่ตรงกับตำแหน่งที่มีความเหมาะสม        เพื่อลดความผิดพลาดในการวางข้อเทียม จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่มีความแม่นยำมากขึ้น แผลจะมีขนาดเล็ก และได้ขนาดของข้อเทียมที่มีความเหมาะสมกับผู้ที่มีอาการรายบุคคล
            ซึ่งในการเลือกข้อเทียมจะสามารถเลือกได้ทั้งแบบเซรามิค และแบบโลหะชนิดใหม่ Hyper Porous Metal เป็นวัตถุที่มีความสามารถเข้ากับกระดูกของเราได้เป็นอย่างดี มีผลให้มีการเชื่อมติดของกระดูกและข้อเทียมได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

เมื่อมีอาการเจ็บปวด ควรทำอย่างไร
              เพราะว่าการดูแลเกี่ยวกับเรื่องของความเจ็บปวดก็จัดเป็นอีกหนึ่งหัวใจหลักของการรักษาแบบองค์รวม ทางแพทย์จะใช้วิธีการดูแลความเจ็บปวดตั้งแต่ก่อนการผ่าตัด ไปจนถึงหลังจากการผ่าตัว (Multimodal Preemptive Pain Management Protocol) มาใช้กับผู้ที่มีอาการข้อเสื่อมที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม เพื่อป้องกันและบรรเทาอาการเจ็บ เน้นการให้ยาระงับความปวดตั้งแต่ก่อนการผ่าตัด ในระหว่างของการผ่าตัด และหลังจากการผ่าตัด เพื่อให้ผู้ที่ได้รับการรักษาไม่มีความเจ็บปวดและทรมาน สามารถที่จะลุกออกจากเตียงและทำการฝึกเดินได้ในวันรุ่งขึ้น ไม่เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน จากการที่ร่างกายได้รับยาแก้ปวดชนิดมอร์ฟีนอีกต่อไป

การฟื้นฟูหลังจากการผ่าตัด ควรทำอย่างไร
                หลังจากการผ่าตัด นักกายภาพบำบัดจะช่วยทำการบริหารกล้ามเนื้อต้นขา และการใช้เครื่อง CPM ในการช่วยปรับองศาของข้อเข่า และช่วยในการฝึกการเดิน ด้วยการใช้ Walker และ การฝึกทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเอง อย่างเช่น การเข้าห้องน้ำ มีการนำเครื่องหัดเดินมีลักษณะสภาวะไร้น้ำหนัก Anti Gravity Treadmill ที่สามารถแบ่งการรับน้ำหนักของร่างกาย เอาไว้ได้อย่างสูงที่สุดประมาณ 80% ของน้ำหนักตัว มาใช้ช่วยในการฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของร่างกายหลังจากการผ่าตัด

ชอบคุณข้อมูลจาก : Bangkok Hospital http://www.bangkokhospital.com/index.php/th/diseases-treatment/symptoms-and-treatment

ปวดหัวเข่า

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อาการของโรคกระดูกคอเสื่อมที่สามารถสังเกตุพบ



อาการของโรคกระดูกคอเสื่อมที่สามารถสังเกตุพบ
       โรคของกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม (Cervical Spondylosis) เป็นอาการที่สามารถพบได้บ่อย ก็คือ บริเวณส่วนของการปวดคอ ปวดบ่า หรือการที่ปวดไหล่เรื้อรัง ผู้ที่มีอาการดังกล่าวจะมีอาการปวดร้าวอย่างมากบริเวณคอลามไปจนถึงบริเวณของท้ายทอย อาการปวดจะสามารถบรรเทาลงได้ด้วยการนวดหรือว่าการฝังเข็ม แต่ก็จะมีอาการปวดแบบนี้กลับมาได้ ไม่สามารถหายขาดจากอาการปวดแบบนี้ได้เช่นกัน

อาการที่จะพบบริเวณส่วนของแขน
        เป็นอาการที่จะแสดงที่ส่วนของแขนมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบคือ อาการปวดชาหรือมีอาการอ่อนแรงอย่างมากบริเวณของกล้ามเนื้อแขน สามารถเกิดมาจากการที่เส้นประสาทบริเวณสังหลังส่วนของคอถูกการรบกวน ผู้ที่มีอาการปวดบริเวณแขน จะมีอาการชาร่วมด้วย ลงยังส่วนบริเวณของข้อศอก หรือบริเวณส่วนของปลายนิ้วมือได้ ความอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ จะสามารถมีอาการคล้ายอาการปวดและอาการชา และจะมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อส่วนที่มัดที่เลี้ยงจากเส้นประสาทที่ได้ถูกการกดทับ ผู้ที่มีอาการปวดและอาการชาบางรายอาจจะไม่สามารถใช้มือทำงานต่างๆได้ เหมือนเดิม อย่างเช่น การที่ต้องเซ็นชื่อเขียนหนังสือ การเล่นดนตรี และการติดกระดุมเป็นต้น

อาการที่สามารถพบกับส่วนของขา
เป็นอาการที่เกิดจากการกดทับเส้นประสาทของไขสันหลัง จะไม่มีการแสดงอาการปวด แต่จะมีอาการในลักษณะของการเดินที่มีความผิดปกติ รู้สึกถึงความโคลงเคลงเหมือนจะล้มได้ง่าย ในการเดินก้าวสั้นๆ หรือว่าจะไม่สามารถเดินตามผู้อื่นได้ทัน ผู้ที่มีอาการลักษณะนี้บางราย จะมีลักษณะของการเดินเหมือนตะเกียบ หรือการเดินเหมือนกับหุ่นยนต์ อาการทั้งหมดเหล่านี้หากปล่อยทิ้งไว้นาน จะทำให้อาการแย่ลงจนมีกล้ามเนื้อลีบ จนในที่สุดไม่สามารถเดินได้อีกต่อไป

สาเหตุของอาการส่วนใหญ่คือ
1.การที่ก้ม การแหงนหน้า และการสะบัดคอบ่อยๆ จนกลายเป็นนิสัยทำให้เกิดอาการปวดคออย่างมากได้
2.การที่นั่งทำงานด้วยท่าเดิมตลอดทั้งวัน หรือเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง โดยไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกายในท่าอื่น ทำให้เกิดอาการกดทับเส้นประสาททำให้เกิดอาการปวดได้
3.การที่ได้รับอุบัติเหตุอย่างหนัก ทำให้เกิดบาดเจ็บเกี่ยวกับกระดูกสันหลังทำให้มีอาการเคลื่อนตัว จนกระทั่งมีกระดูกงอกมาแทนทีทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทของสันหลังได้

 การรักษาอาการของโรคกระดูกคอเสื่อม
1.การทำกายภาพบำบัด เพื่อช่วยในการบรรเทาอาการปวดหลังและสามารถช่วยให้กระดูกสันหลังที่มีการกดทับคลายลงได้ เป็นอย่างดี
2.การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าทางโพรงประสาท ควรที่จะทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เนื่องจากการใช้ยาสเตอรอยด์นั้น มีผลกระทบต่อร่างกายถ้าได้รับปริมาณที่มากจนเกินไปได้
3.การผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนหมอนรองกระดูกเทียมบริเวณส่วนคอ ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถได้ผลเป็นอย่างดี แต่ควรที่จะทำการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ดูก่อนเนื่องจากค่าใช้จ่ายของการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนหมอนรองกระดูกเทียมนั้นมีราคาที่ค่อนข้างสูง
4.การผ่าตัดกระดูกส่วนที่มีการกดทับเส้นประสาท ควรที่จะให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาเกี่ยวกับการรักษาด้วยวิธีนี้ เพื่อป้องกันอันตรายและข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัดแล้วก็เป็นไปได้

อ้างอิงข้อมูลจาก : Bumrungrad International Hospital https://www.bumrungrad.com/th/spine-institute-surgery-bangkok-thailand-best-jci/cervical-spondylosis

ปวดคอ

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อาการของโรคฝ่าเท้าอักเสบเป็นอย่างไร



🌻 อาการของโรคฝ่าเท้าอักเสบเป็นอย่างไร 🌻
โรคฝ่าเท้าอักเสบ หรือที่เรียกกันว่า “รองช้ำ” มีอาการอักเสบบริเวณของเอ็นฝ่าเท้า เกิดจากการที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณส่วนที่เป็นเอ็นฝ่าเท้า และบริเวณเอ็นส้นเท้าในบริเวณที่เกาะกับส่วนของบริเวณกระดูกส้นเท้า เอ็นบริเวณฝ่าเท้ามีหน้าที่ในการยึดติดกับส่วนของกระดูกส้นเท้าไปยังส่วนของบริเวณนิ้วเท้า สามารถช่วยในการรักษารูปทรงของเท้า และยังสามารถช่วยในการลดกการกระแทกเมื่อเวลาเราต้องใช้เท้าในการเดินและในการวิ่งนั้นเอง

🌹 อาการของโรคเอ็นบริเวณฝ่าเท้าอักเสบ 🌹
ผู้ที่มีอาการของเอ็นบริเวณฝ่าเท้าเกิดการอักเสบ จะเริ่มมีอาการปวดเนื่องจากมีการกดทับบริเวณของเส้นประสาทส้นเท้า ในระยะของอาการแรกๆ จะเกิดมาจากภายหลังการออกกำลังกาย การเดิน และการยืนเป็นเวลานานๆ ถ้ามีการแสดงอาการมากขึ้น ผู้ที่มีอาการเอ็นบริเวณฝ่าเท้าอักเสบจะมีความรู้สึกว่าปวดบริเวณของส้นเท้าอยู่ตลอดเวลา

🌹 ลักษณะของโรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบเป็นแบบไหน 🌹
ลักษณะของโรคนี้ เมื่อเวลาที่ได้ลุกขึ้นเดินได้เพียงประมาณ 2 – 3 ก้าวแรกหลังจากการตื่นนอนในช่วงเช้า หรือหลังจากที่ได้นั่งพักเป็นเวลานานๆ จะมีความรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากบริเวณของส้นเท้า เนื่องจากอาการแบบนี้จะเกิดมาจากการกระชากของเอ็นบริเวณฝ่าเท้าที่มีอาการอักเสบอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อเราเริ่มเดินได้ประมาณหนึ่ง เอ็นบริเวณฝ่าเท้าก็จะเริ่มมีการยืดหยุ่นขึ้น ทำให้อาการเจ็บในตอนแรงเริ่มบรรเทาลงเรื่อยๆ
อาการของโรคนี้แม้ว่าจะมีอาการเป็นๆ หายๆ แต่ก็ไม่ควรที่จะปล่อยเอาไว้เป็นเวลานานๆ หรือมีอาการปวดแบบเรื้อรัง เพราะจะทำให้ส่งผลกระทบอย่างมากในเวลาที่เราต้องทำกิจวัตรประจำวัน และการทำงานที่ต้องมีการเดิน และการยืนเป็นเวลานานๆ ผู้ที่มีความเครียด ความวิตกกังวล จะทำให้เกิดอาการหินปูนเกาะบริเวณส่วนของกระดูกส้นท้าที่มีการอักเสบของเอ็นบริเวณฝ่าเท้าได้ จะทำให้เกิดอาการปวดบริเวณของข้อเท้าอย่างมาก มีอาการปวดเกร็ง และมีอาการตึงบริเวณส่วนของกล้ามเนื้อ และในส่วนของเอ็นร้อยหวาย หากจังหวะของการเดินหรือการลงน้ำหนักตัวลงสู่ฝ่าเท้าผิดท่าหรือผิดปกติจากเดิม จะทำให้เกิดอาการเจ็บปวดบริเวณส่วนของส้นเท้าเป็นอย่างมาก

🌹 ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่ออาการเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ 🌹
ส่วนมากจะเป็นกับผู้หญิงที่มีการทำงานเกี่ยวกับการยืน การเดินตลอดทั้งวัน หรือเป็นเวลานานๆ ในทุกๆ วันจะทำให้บริเวณใต้ฝ่าเท้าเกิดการอักเสบได้ และผู้หญิงที่นิยมสวมรองเท้าส้นสูงหรือมีลักษณะของรองเท้าที่สวมไม่เหมาะสมกับเท้าจะทำให้เกิดการอักเสบบริเวณเอ็นของฝ่าเท้าได้ง่ายกว่าผู้ชาย ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากจนเกินไปหรือผู้ที่อาการของโรคอ้วนจะทำให้เกิดการอักเสบของส่วนเอ็นฝ่าเท้าได้ง่ายๆ เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก : Bangkok Hospital https://www.bangkokhospital.com/th/centers-and-clinics/bone/podiatry-clinic/foot-tendon-inflammation

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อาการกระดูกบางคืออะไร




อาการกระดูกบางคืออะไร ควรทำกายบริหารอย่างไร
              โรคกระดูกบาง ก็คือ โรคที่เกิดจากมวลของกระดูกภายในร่างกายมีความลดต่ำกว่าค่ามาตรฐานแต่ไม่ต่ำถึงขั้นเป็นโรคกระดูกพรุน ค่าของมวลกระดูกของโรคกระดูกบางจึงอยู่ในช่วง -1 ถึงน้อยกว่า -2.5 เอสดี อาการของโรคกระดูกบางเมื่อเป็นแล้วไม่รีบการรักษาหรือปล่อยทิ้งไว้นาน จะส่งผลให้เกิดการเสียของมวลกระดูกเพิ่มมากยิ่นขึ้น จนกลายเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ในบางคนอาจจะเป็นโรคกระดูกพรุน ได้ด้วยการผ่านการเป็นโรคกระดูกบางมาก่อนก็เป็นไปได้ เรื่องของโรคกระดูกบางสามารถเกิดมาจากหลากหลายสาเหตุด้วยกัน อย่างเช่น สาเหตุของปัจจัยที่มีความเสี่ยงในการเกิดอาการของโรคกระดูกบาง และอื่นๆ เช่นเดียวกับอาการที่ทำให้เกิดกระดูกพรุน

การออกกำลังกายในผู้ที่มีอาการกระดูกบาง
ปัญหาเกี่ยวกับผู้ที่มีอาการกระดูกบาง เมื่อมีการออกกำลังกายอย่างหนัก จะทำให้เกิดอาการของกระดูกหักได้อย่างง่าย เวลาที่หกล้ม ส่งผลให้กระดูกหลังเกิดการยุบเป็นเหตุทำให้หลังค่อมได้ การออกกำลังกายสามารถช่วยลดอัตราการเกิดอาการกระดูกบางได้ และยังสามารถช่วยในการกระตุ้นทำให้เกิดกระดูกหนาขึ้นมาได้ การออกกำลังกายที่จะสามารถทำให้ร่างกายได้ประโยชน์ข้างต้น จะต้องเป็นการออกกำลังกายที่มีน้ำหนักกดลงบนกระดูก อย่างเช่น การเกิด การวิ่งเหยาะ การเต้นแอโรบิค การเต้นรำ การกระโดดเชือก การขี่จักรยาน การรำมวยจีน แต่ส่วนการเล่นดัมเบลล์จะใช้มือในการยกสามารถช่วยกระตุ้นเฉพาะกระดูกส่วนแขนเท่านั้น

วิธีเลือกประเภทของการออกกำลังกาย
  •  การเลือกจะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลว่ามีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามหรือไม่
  •  ในระยะเวลาของการออกกำลังกาย ควรทำอย่างน้อยประมาณ 20 – 30 นาทีต่อครั้ง
  •  สถานที่ในการออกกำลังกายควรเลือกที่มีความปลอดภัย และควรใส่รองเท้าที่ให้ความกระชับ เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุลื้นล้ม หากเป็นคนเบื่อง่ายควรที่จะหาเพื่อนไปร่วมกิจกรรมต่างๆ ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับท่าบริหารที่ควบคู่กันไป
  •  ท่ากายบริหาร เพื่อป้องกันอาการหลังค่อม หรือกระดูกเกิดการยุบตัว การบริหารส่วนของกล้ามเนื้อหลัง ด้วยการนอนคว่ำ ให้ใช้หมอนรองหน้าท้องเอาไว้ แอ่นหลังขึ้นเท่าที่จะทำได้ (ห้ามแอ่นหลังมากจนมีอาการเจ็บ เพราะว่าผู้ที่มีอายุมากๆจะมีอาการของกระดูกสันหลังเสื่อมได้) การบริหารส่วนของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ด้วยการนอนหงายแล้วยกขาขึ้นทั้ง 2 ข้าง ประมาณ 15 – 20 องศา จากนั้นควรนอนหงายชันเข่า ผงกศีรษะขึ้นในขณะที่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อ(ห้ามยกหลัง) การบริหารด้วยการยืดกล้ามเนื้ออก ควรที่จะยืดหลังให้ตรงหลีกเลี่ยงการก้มหรือการบริหารที่ต้องโค้งตัวหลังงอ เพราะว่ากระดูกหลังที่บางจะมีการยุบตัวด้านหน้าในบางรายอาจจะต้องใส่อุปกรณ์เสริมหลังเพื่อไม่ให้หลังค่อมโค้งลง การบริหารด้านความสามารถในการทรงตัว เนื่องจากผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุนจะมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะทำให้เกิดอาการกระดูกหักได้ จึงจำเป็นจะต้องมีการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความทรงตัวได้ดีเป็นการลดความเสี่ยงได้อย่างหนึ่ง

ท่าในการบริหารที่เหมาะสำหรับอาการกระดูกบาง
  • ท่าสวนสนามเป็นการยืนย่ำเท้าอยู่กับที่ร่วมกับการแกว่งแขนสลับกันซ้าย – ขวา นับประมาณ 20 ครั้งต่อชุด
  • ท่ายืนเขย่ง ด้วยการนำมือมาจับพนักเก้าอี้ทั้ง 2 ข้าง ยืนเขย่งด้วยปลายเท้าประมาณ 10 ครั้งต่อชุด
  • ท่ายืนขาเดียว ด้วยการยืนตรงมือซ้ายจับพนักเก้าอี้ ยกขาขวาขึ้นค้างไว้วประมาณ 5 วินาที แล้ววางขาลง ทำซ้ำจนครบทั้ง 5 ครั้ง แล้วทำสลับไปอีกด้านแต่ถ้าปัญหาปวดข้อเข่าให้งดท่านี้
  • ท่าก้าวไปข้างหน้า ด้วยการยืนตรงก้าวขาขวาพร้อมกับการถ่ายน้ำหนักไปทางข้างหน้า ก้าวกลับทำซ้ำประมาณ 5 ครั้งแล้วสลับทำอีกข้าง
  • ท่าถอยไปข้างหลัง ด้วยการยืนตรงถอยขวาพร้อมกัน ถ่ายน้ำหนักไปทางข้างหลัง ก้าวกลับทำซ้ำประมาณ 5 ครั้งแล้วทำสลับทำซ้ำอีกข้าง
  • ท่าก้าวหน้ายกแขน ด้วยการยืนตรง ก้าวขาขวาไปทางด้านหน้าพร้อมกับการยกแขนขวาให้ขึ้นเหนือศีรษะแล้วก้าวกลับทำซ้ำประมาณ 5 ครั้งต่อข้าง
  •  ท่าก้าวหน้ากางแขน ควรยืนตรง ก้าวขาไปด้านหน้าพร้อมกับการกางแขนออกไปด้านข้าง ก้าวกลับมาพร้อมกับการลดแขนลงทำซ้ำประมาณ 5 ครั้งต่อข้าง ถ้ามีอาการปวดเข่าให้งดทำท่านี้ทันที

อ้างอิงข้อมูลจาก : โรงพยาบาลรามคำแหง http://www.ram-hosp.co.th/Exercise_patients.htm

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อาการปวดหลังที่มีอันตรายและต้องรีบพบแพทย์




อาการปวดหลังที่มีอันตรายและต้องรีบพบแพทย์
หากพบว่าตนเองมีอาการปวดหลังดังกล่าวต่อไปนี้ ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อการรักษาที่ทันท่วงทีก่อนที่จะเกิดผลร้ายแรงตามมาภายหลังได้

1.ผู้ป่วยมีอาการอ่อนแรง หรือชาร่วมกับอาการปวดหลัง หรือสูญเสียสมดุลของร่างกาย สาเหตุเกิดมาจากเส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของอวัยวะนั้น ถูกกดทับ ทำให้ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของระยางค์นั้น ๆ ได้

2.ผู้ที่มีอาการปวดหลังทั้งๆที่อยู่ในขณะพักหรือไม่มีกิจกรรมใดๆ อาจจะมีหรือไม่มีเหงื่อออกในตอนกลางคืน  ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะการติดเชื้อของกระดูกสันหลัง หรือมีการกระจายของมะเร็งทำให้มีอาการปวดมากแม้เวลาอยู่ในขณะนอนพักก็ตาม

3.ผู้ที่มีอาการปวดที่หลังพร้อมทั้งชาบริเวณรอบๆทวารหนัก หรือสูญเสียความรู้สึกรอบ ทวารหนัก เกิด จากมีการกดทับของเส้นประสาทที่ควบคุม และรับความรู้สึกในบริเวณรอบทวารหนัก

4.ผู้ที่มีอาการปวดหลังพร้อมทั้งมีน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว อาจมีสาเหตุจากภาวะมะเร็งแพร่กระจายมาที่กระดูก เพราะการที่กระดูกสันหลังติดเชื้อ ทำให้มีอาการเบื่ออาหาร ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายและน้ำหนักลด

5.ผู้ที่มีอาการไข้ไม่ว่าระดับสูงหรือต่ำ ร่วมกับอาการปวดหลัง สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการติดเชื้อในร่างกาย บางครั้งติดเชื้อที่บริเวณกระดูกสันหลัง โดยอาจจะมีการติดเชื้อในบริเวณอื่นของร่างกายก่อน เช่น ระบบทางเดินปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โดยเฉพาะในหญิงวัยหลังหมดประจำเดือน ทำให้มีการแพร่กระจายเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด และเกิดการติดเชื้อบริเวณกระดูกสันหลัง กระดูกและเนื้อเยื่ออ่อนบริเวณรอบ ๆถูกทำลาย ผู้ป่วยมีอาการปวดหลังอย่างรุนแรงร่วมกับอาการไข้ พบว่าส่วนใหญ่มักเป็นเชื้อแบคทีเรีย หรือในบางครั้งอาจจะพบมีการติดเชื้อวัณโรคของกระดูกสันหลังก็เป็นได้

6.ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรงก่อนจะปวดหลัง  ร่วมกับมีอาการปวดหลังแบบเฉียบพลันนั้นอาจจะทำให้เกิดกระดูกสันหลังหัก ยุบได้

7.ผู้ที่ปวดหลังที่มีประวัติตนเองเคยเจ็บป่วยเป็นโรคมะเร็ง เพราะมีโอกาสที่มะเร็งจะกระจายมาที่บริเวณกระดูกสันหลังได้ มะเร็งที่พบ ได้แก่ มะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก ปอด ระบบทางเดินอาหาร ต่อมไทรอยด์ ซึ่งบริเวณกระดูกสันหลังจะถูกกระตุ้นให้เกิดการทำลายกระดูกเป็นอย่างมาก ทำให้โครงสร้างกระดูกที่ปกติถูกทำลายลงจากการที่กระดูกสันหลังยุบตัวลง ก่อให้เกิดอาการปวดหลังมาก ถ้ามะเร็งแพร่กระจายไปกดทับเส้นประสาทและไขสันหลังก็จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการชา อาการอ่อนแรงของขา เคลื่อน ไหวไม่ได้ อาจจะไม่สามารถกลั้นอุจจาระและปัสสาวะได้ ทำให้เป็นอัมพาต

8.ผู้ที่มีอาการปวดหลังและสังเกตพบว่าความสูงลดลง อาจเนื่องมาจาก ความผิดรูปของหลังหรือหลังคด โรคกระดูกพรุนร่วมกับการเกิดกระดูกสันหลังยุบตัวลง ทำให้เกิดหลังโก่งค่อม และส่วนสูงลดลง ทำให้เกิดมีอาการปวดมาก มักจะเกิดในผู้สูงอายุ

ขอบคุณข้อมูลจาก
นพ.ภัทร โฆสานันท์  ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ-โรคกระดูกสันหลัง  โรงพยาบาลเวชธานีวินิจฉัยสาเหตุของโรคปวดหลัง
http://www.thairath.co.th/content/449771
http://www.thaihealth.or.th/Content/26978

ปวดหลัง

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน


วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การรักษาอาการของข้อไหล่ติด ได้อย่างไร



การรักษาอาการของข้อไหล่ติด ได้อย่างไร
การดูแลและการรักษาอาการของข้อไหล่ติด จะประกอบไปด้วยการช่วยในเรื่องของการบรรเทาอาการเจ็บปวดและการทำกายภาพบำบัด ผู้ที่มีอาการของข้อไหล่ติดส่วนมากจะมีความเจ็บปวดน้อยลงเมื่อได้ทำตามขั้นตอนด้านล่างนี้ แต่จะใช้เวลาในการทำกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการเจ็บปวด และการรักษาอาการข้อไหล่ติดอาจจะต้องมีการรักษากันหลายเดือนกว่าอาการข้อไหล่ติดจะดีขึ้น

การทำกายภาพบำบัดอาการของข้อไหล่ติด
1   1.การออกกำลังกายด้วยการเหยียดแขน เป็นการช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ และสามารถช่วยลดอาการกล้ามเนื้อเกิดการลีบ ผู้ที่เริ่มมีอาการเจ็บปวดบริเวณข้อไหล่ควรที่จะทำการบริหารทุกๆ วันอย่างสม่ำเสมอ ทำหลายๆ ครั้งต่อวันด้วย มิใช่แค่ทำเฉพาะนักกายภาพมาช่วยในการบำบัดเท่านั้น

     2. การประคบด้วยน้ำอุ่นอย่างน้อยควรทำประมาณ 3 ครั้งต่อวัน อย่างน้อยประมาณ 10 นาทีต่อครั้ง เพื่อช่วยในการบรรเทาอาการเจ็บปวดบริเวณข้อไหล่ได้ ควรที่จะทำประคบอุ่นก่อนที่จะเริ่มทำการบริหารข้อไหล่

     3.การทำกายภาพบำบัด เป็นการช่วยในเรื่องของการยืดเยื่อหุ้มข้อไหล่ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ ให้สามารถเหยียดไหลได้ดีมากขึ้น ภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัด

     4.รับประทานยาสำหรับช่วยลดอาการบวมบริเวณส่วนข้อไหล่ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ผู้ที่มีอาการปวดจะหายจากโรคของข้อไหล่ติดได้ เพียงแต่ช่วยในการบรรเทาอาการปวด และอาการบวมเท่านั้น

     5.การฉีดยาคอทีโซน ทั่วๆไปจะใช้เพื่อช่วยให้อาการปวดบวมของข้อไหล่ลดลง แต่จะไม่เป็นผลที่มีความแน่ชัดว่าจะให้ผลการรักษาที่ดีเพียงใด แต่สามารถช่วยในการบรรเทาอาการเจ็บปวด และอาการบวมบริเวณข้อไหล่เท่านั้น

     6.หากผู้ที่มีอาการของข้อไหล่ติด รับการรักษาข้างต้นไม่เป็นผล ผู้ที่มีอาการของข้อไหล่ติดแพทย์จะมีการพิจารณาเกี่ยวกับการรักษาอาการด้วยการผ่าตัด ด้วยทางแพทย์จะให้ยาสลบกับผู้ที่มีอาการข้อไหล่ติดและจัดการกระดูกให้เข้าที่ (Manipulation Under Anesthesia)   ในกรณีที่แพทย์ทำการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องเพื่อไปตัดพังผืดหรือเนื้อเยื่อที่มีการยึดข้อไหล่ ทำให้ไหล่เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น นอกจากนี้ วิธีการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องยังทำให้แพทย์สามารถหาสาเหตุอื่นๆ ในบริเวณข้อไหล่เพิ่มขึ้นได้อีกด้วย ทำให้การรักษาเป็นไปได้ด้วยดี อย่างเช่น การเย็บซ่อมเอ็นบริเวณกางไหล่ หลังจากการผ่าตัดผู้ที่ได้รับการผ่าตัดจะต้องเชื่อฟัง คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และควรพยายาม ขยับบริเวณข้อไหล่ให้ได้เร็วที่สุด เนื่องจากอาจจะไม่ได้ผลรวมถึงผู้ที่มีอาการต้องได้รับการทำกายภาพบำบัดหลังจากการผ่าตัดด้วย เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะว่า ถ้าไม่ทำกายภาพบำบัดหลังจากการผ่าตัดนั้น ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดอาจจะมีโอกาสกลับมาเป็นอาการข้อไหล่ติดได้

หลังจากผู้ที่มีอาการไหล่ติดได้รับการดูแลรักษาตามวิธีข้างต้นนี้แล้ว ส่วนมากผู้ที่มีอาการไหล่ติด มีอาการติดขัดในการเคลื่อนไหวของข้อไหล่จะลดลง สามารถทำกายภาพบำบัดตัวเองเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดอาการของไหล่ติดอีก ด้วย ใช้บันได ฝาห้อง คานโหน เพื่อช่วยในการทำกายภาพบำบัดบริหาร ถ้าทำแล้วมีอาการเจ็บมากควรที่จะรีบปรึกษาแพทย์ เป็นการป้องกันไม่ให้อาการกลับมารุนแรงได้

อ้างอิงข้อมูลจาก : บทความจาก Vejthani Hospital http://www.vejthani.com/web-thailand/Shoulder-contact.php


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน