disable right click

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559

ลักษณะกระดูกคอเป็นอย่างไร


ลักษณะกระดูกคอเป็นอย่างไร
บริเวณลำคอของเรานั้น ประกอบไปด้วยกระดูกคอทั้งหมด 7 ข้อด้วยกัน ในแต่ละข้อจะมีแผ่นของกระดูกอ่อน หรือที่เรียกว่า หมอนรองกระดูกคั่นกลาง ซึ่งมีหน้าที่ในการป้องกันการเสียดสีของกระดูกคอแต่ละข้อ เป็นเสมือนกับโช๊คอัพ เพื่อค่อยดูดซับแรงกระทบและทำหน้าที่กระจายแรงอัดนั้นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้บริเวณกระดูกคอเกิดการอักเสบ เมื่อต้องกระทบกับแรงกระแทกโดยตรง
กระดูกคอที่เราสามารถคลำได้จะเป็นตุ่มๆ บริเวณด้านหลังของคอนั้น คือ กระดูกที่ยื่นออกมาจากบริเวณส่วนของหลังกระดูกคอ บริเวณส่วนตรงกลางของกระดูกคอนี้จะมีลักษณะเป็นเสมือนกับรูเส้นประสาทไขสันหลัง และหลอดเลือดสามารถส่งผ่านในทางนี้เพื่อไปหล่อเลี้ยงส่วนอื่นได้ ระหว่างรอยต่อของกระดูกคอในแต่ละส่วนของข้อกระดูกนั้น จะมีลักษณะเป็นช่องว่าง ให้รากเส้นประสาทสามารถงอกออกมาได้ เพื่อจะได้นำคำสั่งที่ได้จากสมองส่งต่อไปยังกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย ตั้งแต่กล้ามเนื้อส่วนไหล่ ลงไปยังส่วนแขน และส่วนของมือ เพื่อสามารถรับความรู้สึกต่างๆ ส่งกลับไปยังสมองได้
ส่วนกระดูกที่มีขนาดเล็ก มีหน้าที่ในการแบกรับน้ำหนักของศีรษะที่มีจะต้องมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา จึงเป็นผลให้เกิดความบอบช้ำ และเกิดการบาดเจ็บได้ง่าย เมื่อกระดูกส่วนนั้นเกิดความเสื่อมสภาพลงจะทำให้มีผลกระทบไปยังเส้นประสาท หลอดเลือดและ ไขสันหลังที่อยู่ในบริเวณที่มีการเสื่อมสภาพของกระดูก จะทำให้เกิดอาการปวดบริเวณคอและปวดบริเวณศีรษะ ลามลงมายังไหล่และสะบัก จะมีอาการปวดร้าวอย่างมาก และเริ่มมีอาการชาลงมายังส่วนของแขน จนถึงส่วนมือด้วย ร่วมกับอาการอื่นๆ ที่จะมีการสลับแทรกซ้อน จนในบางครั้งนึกไม่ถึงว่าการเจ็บ ปวดทรมานนี้เกิดมาจากกระดูกส่วนของคอเรานั้นเอง

สาเหตุของอาการโรคกระดูกคอมีดังนี้
  • 1.       ภาวะของกระดูกคอที่เกิดการเสื่อมสภาพ สามารถพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุประมาณ 10 ปีขึ้นไป
  • 2.       การที่มีอิริยาบถหรือท่าทางที่ผิดทางสุขลักษณะ อย่างเช่น การหนุนหมอนที่มีความสูงมากจนเกินไป การทำงานในท่าเดียวเป็นเวลานานๆ หลายชั่วโมง การนั่งอ่านหนังสือด้วยการก้มหน้าเป็นเวลานาน การนั่งดูเอกสารในท่าเดียว การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ในท่าเดิมๆ เป็นเวลามากกว่า 2 – 7 ชั่วโมงขึ้นไป และการนั่งดูโทรศัทน์เป็นเวลานานๆ
  • 3.       อาการของคอเคล็ดหรืออาการยอก เกิดมาจากบริเวณส่วนคอมีการเคลื่อนไหวเร็วเกินไป หรือมีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงมากเกิดไป
  • 4.       การได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
  • 5.       อาการของข้ออักเสบแบบเรื้อรัง อย่างเช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
  • 6.       อาการที่อักเสบบริเวณส่วนของร่างกาย อย่างเช่น บริเวณคอเกิดการอักเสบ และบริเวณส่วนหูเกิดการอักเสบ ทำให้เกิดการกระตุ้มอาการของโรคกระดูกคอมากขึ้น
  • 7.       ภาวะทางความเครียดที่เกิดมาจากการทำงานหนัก และสภาพจิตใจ ซึ่งไปจดจ่ออยู่กับกล้ามเนื้อที่มีอาการปวดมากจนเกินไปทำให้อาการของโรคกระดูกกลับกลายเป็นอาการปวดแบบเรื้อรังแทน
        ขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.bangkokhospital.com/images/enewsletter/e-digest-th_jun09.htm?utm_source=e-Digest&utm_medium=Email&utm_campaign=e-Digest-Jun09
       
       ปวดคอ

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

การผ่าตัดเชื่อมกระดูกสันหลังส่วนคอ เป็นอย่างไร





การผ่าตัดเชื่อมกระดูกสันหลังส่วนคอ เป็นอย่างไร
การผ่าตัดเชื่อมกระดูกสันหลังส่วนคอ ก็คือ การผ่าตัดเพื่อช่วยคลายการกดทับของเส้นประสาท และไขสันหลัง โดยการเชื่อมข้อกระดูกสันหลังส่วนคอเข้าหากัน แพทย์จะทำการแนะนำการผ่าตัดด้วยวิธีนี้ ก็ต่อเมื่อมีการกดทับเส้นประสาท หรือมีการกดทับที่ไขสันหลัง และมีอาการปวดอย่างเรื้อรัง จากภาวะของกระดูกสันหลังเสื่อม

วิธีการผ่าตัดเชื่อมกระดูกสันหลังส่วนคอ คือ
การผ่าตัดจะเริ่มจากคอด้านหน้า ลักษณะของแผลที่ผ่าจะมีเส้นตรง ขนาดประมาณ 3 เซนติเมตร ศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดผ่านช่องว่างของกล้ามเนื้อ โดยไม่มีการตัดกล้ามเนื้อออกเลย ต่อจากนั้นก็ทำการคลายการกดทับของเส้นประสาทผ่านกล้องจุลทรรศน์ แล้วจึงใส่อุปกรณ์สำหรับการเชื่อมกระดูกเข้าไป อุปกรณ์ดังกล่าวก็คือ กระดูกเทียม หรือเป็นชิ้นส่วนกระดูกของผู้ที่รับการผ่าตัดก็ได้ ในผู้ที่มีรับการผ่าตัดบางรายจำเป็นจะต้องมีการยึดกระดูกเทียมด้วยสกรูเพื่อเสริมความแข็งแรงของกระดูกส่วนคอที่ทำการเชื่อมด้วย

ข้อดีของการผ่าตัดเชื่อมกระดูกสันหลังส่วนคอ
·        ความเจ็บปวดจากการผ่าตัดมีน้อยมาก เนื่องจากไม่มีการตัดกล้ามเนื้อออกเลย
·        ระยะเวลาในการพักฟื้นร่างกายสั้น สามารถนอนโรงพยาบาลแค่ประมาณ 1 – 2 คืน ก็สามารถกลับบ้านได้เลย
·        เป็นการผ่าตัดที่ได้มาตรฐานที่ให้ผลสำเร็จสูง
·        เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการผ่าตัดหมอนรองกระดูกเทียม

ความเสี่ยงในการผ่าตัดและภาวะแทรกซ้อนมีอะไรบ้าง

ความเสี่ยมของการผ่าตัดเชื่อมกระดูกสันหลังส่วนคอนั้น วิธีการเชื่อมข้อกระดูกสันหลังส่วนคอ เป็นผลทำให้ข้อกระดูกสันหลังถัดไปนั้น มีการทำงานที่มากขึ้น และทำให้ข้อกระดูกถัดไปเกิดความเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้นกว่าปกติได้ การกลืนอาหารลำบาก มีเสียงที่แหบลงหลังจากการผ่าตัดในช่วงแรก กระดูกไม่สามารถเชื่อมติดกันได้ตามธรรมชาติ มีการแทรกซ้อนโดยทั่ว ๆ ไป อย่างเช่น การเสียเลือดจากการผ่าตัด การติดเชื้อ และผลข้างเคียงจากยาสลบ ก่อนที่จะรับการผ่าตัดควรที่จะมีการปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลการรักษาและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ อย่างละเอียด และควรที่จะทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดด้วย

ข้อมูลจาก https://www.bumrungrad.com/th/spine-institute-surgery-bangkok-thailand-best-jci/anterior-cervical-discectomy-fusion


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

อาการ “โรคข้อและข้อสันหลังอักเสบ” มีสาเหตุมาจากอะไร



อาการ “โรคข้อและข้อสันหลังอักเสบ” มีสาเหตุมาจากอะไร
ในปัจจุบันนี้ ทางการแพทย์จะยังไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการของโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบได้อย่างแน่ชัด แต่จากการศึกษาสามารถทราบได้คร่าว ๆ ว่าโรคกลุ่มนี้จะเกิดมาจากปัจจัยประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ ผู้ที่มีอาการของโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบนี้ จะเกิดมาจากการถ่ายทอดพันธุกรรมจึงทำให้เกิดอาการของโรคกลุ่มนี้ได้ อย่างเช่น มีพันธุกรรมชนิดที่เรียกว่า “HLA-B27” เป็นการถ่ายทอดมาแต่พ่อ แม่ หรือปู่ ย่า ตา และยายของผู้ป่วย ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นโรคนี้เสมอ แต่ต้องมีปัจจัยภายนอกอื่น ๆ มาเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคนี้
ปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคกลุ่มนี้ยังไม่ทราบได้อย่างแน่ชัด แต่อาจจะมาจากการติดเชื้อโรคบางชนิด อย่างเช่น การติดเชื้อลำไส้อักเสบจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิด ทำให้เกิดอาการท้องเดินท้องเสีย และมีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ รวมถึงการติดเชื้อหลอดลมอักเสบ แต่การติดเชื้อเหล่านี้ไม่ใช้แบบเป็นเรื้อรัง เมื่อได้รับการรักษาก็จะสามารถหายได้ หากแต่การติดเชื้อนั้นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันมีการเปลี่ยนแปลง คล้ายกับจะมองว่า ข้อหรือเส้นเอ็นเป็นสิ่งแปลกปลอม ทำให้เกิดอาการอักเสบเรื้อรังบริเวณข้อและเส้นเอ็นจนเกิดเป็นโรคกลุ่มนี้ขึ้นมา อาการของกลุ่มโรคนี้มักจะแสดงออกในช่วงวัยรุ่น หรือวัยทำงานนั้น ก็เพราะว่าในช่วงนี้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีความแข็งแรงที่สุด ดังนั้นอาการอักเสบจากระบบภูมิคุ้มกันก็จะมีความรุนแรงที่สุดเช่นเดียวกัน

การรักษาอาการของโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบ ทำได้อย่างไร
เนื่องจากผู้ที่มีอาการของโรคนี้ จะมีลักษณะอาการปวดบวมบริเวณข้อและเส้นเอ็นต่าง ๆ อาการปวดนี้ในบางรายจะไม่รุนแรง แต่ในบางรายจะมีความรุนแรงมาก และมีอาการปวดอย่างเรื้อรังทำให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมาก ดังนั้นการรักษาที่สำคัญประการแรกก็คือ จะต้องได้รับยาต้านการอักเสบ ซึ่งส่วนมากคือยาในกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ที่มีประสิทธิภาพสูง อย่างเช่น ยา Indomethacin และควรที่จะได้รับยาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ๆ เนื่องจากผู้ที่มีอาการของโรคกลุ่มนี้จะมีอายุน้อย ดังนั้นผลข้างเคียงของยาในกลุ่มนี้ก็จะไม่มากนัก แต่ควรจะใช้อย่างระมัดระวัง
โรคกลุ่มนี้เกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิคุ้มกัน ดังนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนภูมิคุ้มกัน หรือมีการปรับเปลี่ยนตัวโรค อย่างเช่น ยาซัลฟาซาลาซีน (Sulfasalazine) หรือยาเมโธรเทรกเซต (Methotrexate) ควรที่จะใช้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ๆ ในปัจจุบันเนื่องจากผู้ที่มีอาการบางรายมีการตอบสนองต่อยาปรับเปลี่ยนตัวโรคที่ไม่ดีนัก โดยเฉพาะกับผู้ที่มีอาการของโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบ จึงต้องนำยาในกลุ่มของชีวภาพ (Biologic Agent) มาใช้ในการรักษาอาการของโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบ (Ankylosing Spondylitis) และโรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน  อย่างเช่น ยากลุ่มต้านสาร Tumor Necrotic Factor-TNF (Anti-TNF) สามารถออกฤทธิ์ต่อต้านสารจากระบบภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดอาการอักเสบโดยตรงได้ ในยากลุ่มนี้แม้จะมีประสิทธิภาพสูงมาก และออกฤทธิ์เร็วก็ตาม แต่เนื่องจากมีราคาแพงมาก ทำให้มีการนำมาใช้ในบ้านเราน้อย และไม่มีอย่างแพร่หลายนัก

วิธีการรักษาอาการของโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบนี้ อีกประการหนึ่งที่สำคัญอย่างมาก ก็คือ การทำกายภาพบำบัด โดยการออกกำลังกาย อย่างเช่น การว่ายน้ำ และการบริหารกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหลัง และข้อกระดูกสันหลัง เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดอาการของข้อติดยึด และเกิดพิการ การทำกายภาพบำบัดนี้ ควรทำอย่างสม่ำเสมอ และทำควบคู่กับการรักษาด้วยยาไปตลอดการรักษา จะสามารถช่วยให้อาการของโรคดังกล่าวดีขึ้น และอาจใช้ยาน้อยลงหรือสามารถหยุดการใช้ยาได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ผู้ที่มีอาการของโรคกลุ่มนี้ เกิดมีความพิการเกิดขึ้น อาจจะมีความจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด อย่างเช่น การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก หรือการผ่าตัดแก้ไขความพิการของกระดูกสันหลังที่จำเป็น

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.bangkokhospital.com/index.php/th/diseases-treatment/geriatric_rehab_06


ปวดหลัง

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

โรคข้อและข้อสันหลังอักเสบ เป็นอย่างไร




โรคข้อและข้อสันหลังอักเสบ เป็นอย่างไร
ในทางการแพทย์ ได้กล่าวถึง “โรคข้ออักเสบเรื้อรัง” ไว้ว่า เป็นกลุ่มโรคหนึ่งที่ทำให้เกิดความพิการได้ในผู้ที่มีอายุน้อย ๆ อย่างเช่น คนหนุ่ม คนสาว ในบรรดาโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่มีอยู่หลาย ๆ โรค แต่มีอยู่กลุ่มหนึ่งที่ คนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย โชคร้ายต้องมาป่วยเป็น โรคกลุ่มนี้ นั้นก็คือ “กลุ่มโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบ” ที่ภาษาทางการแพทย์เรียกกลุ่มโรคนี้ว่า “Spondyloarthropathy

เหตุใด แพทย์ถึงให้ความสำคัญเกี่ยวกับโรคนี้
เนื่องจากตามสถิติแล้วผู้ที่มีอาการของโรคข้ออักเสบในกลุ่มนี้ จะพบได้ประมาณ 1 – 2 เปอร์เซ็นต์ ของประชากร นั้นก็แสดงว่า ผู้ที่มีอาการของโรคข้ออักเสบที่อยู่ในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ ล้านกว่าคนได้ ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย โรคข้อสันหลังอักเสบส่วนมากจะเกิดกับผู้ที่มีอายุน้อย ๆ ในช่วงวัยรุ่น วัยเรียน รวมถึงวัยทำงาน ซึ่งคนเหล่านี้ เป็นกำลังสำคัญของชาติบ้านเมืองในอนาคต ทำให้ประเทศชาติจะต้องเสียกำลังคนที่สำคัญไปกลุ่มใหญ่ กลุ่มหนึ่งที่มีอาการของโรคข้อสันหลังอักเสบ โรคนี้มักจะแสดงอาการไม่เด่นชัดนักทำให้แพทย์ส่วนมากไม่ได้นึงถึง หรือไม่คุ้ยเคย ผู้ที่มีอาการของโรคข้อสันหลังอักเสบมักจะไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้ได้รับการรักษาอย่างไม่ถูกต้อง และมีความล่าช้าทำให้บางคนเกิดการความเจ็บปวดทรมานเป็นระยะเวลานาน ๆ หรือจนถึงขั้นเกิดความพิการขึ้นได้ ความรุนแรงของอาการโรคข้อสันหลังอักเสบ ในแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน บางคนจะมีอาการที่ไม่รุนแรง บางคนอาจมีอาการที่รุนแรง แพทย์ที่ทำการรักษาจึงต้องมีประสบการณ์ในการรักษาพอสมควร เพื่อจะได้ปรับการรักษาให้มีความเหมาะสมกับผู้ที่มีอาการในแต่ละคน และมีการติดตามผลการรักษาได้อย่างถูกต้อง ประกอบกับการที่มีอาการของโรคข้ออักเสบเรื้อรัง จะต้องมีการติดตามผล และปรับเปลี่ยนวิธีการรักษาให้มีความเหมาะสมกับโรคได้อย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลานาน ดังนั้น แพทย์ที่ให้การรักษาอาการของโรคข้อสันหลังอักเสบจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคข้อสันหลังอักเสบ อย่างเช่น แพทย์ในสาขารูมาโตโลจิส เป็นต้น

กลุ่มโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบคืออะไร
การที่เรียกโรคกลุ่มนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยหลาย ๆ โรคที่มีข้ออักเสบเรื้อรังว่า “โรคข้อและข้อสันหลังอักเสบ” เนื่องจากเกือบทุกโรคในกลุ่มนี้ จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน อย่างเช่น มีอาการของข้ออักเสบบริเวณข้อแขนและขา จะแสดงอาการอย่างมากบริเวณขา ข้อเข่า ข้อเท้า จะมีอาการบวม ร่วมกับการอักเสบบริเวณข้อกระดูกสันหลัง ทำให้เกิดอาการปวดหลัง แม้บางคนจะไม่มีอาการปวดบริเวณหลังก็ตาม แต่สามารถเป็นอาการของโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบได้เช่นเดียวกัน


โรคในกลุ่มนี้จะประกอบด้วยกันหลาย ๆ โรค คือ
·        โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบ (Ankylosing Spondylitis) ซึ่งจะมีอาการเกี่ยวกับข้อกระดูกสันหลังเป็นหลัก แต่ก็มีข้อของขาและแขนเกิดการอักเสบร่วมด้วยได้
·        โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Psoriatic Arthritis) ที่มีอาการเกี่ยวกับโรคผิวหนังสะเก็ดเงิน (Psoriasis) อยู่
·        โรคข้ออักเสบรีแอคตีฟ (Reactive Arthritis) ที่มีอาการอักเสบของข้อต่าง ๆ  หลังจากมีการติดเชื้อ
·        โรคข้ออักเสบที่เกิดร่วมกับลำไส้อักเสบ (Inflammatory Bowel Disease) จะพบได้ไม่บ่อยนักในบ้านเรา อาการมีลักษณะไม่เข้ากับโรคต่าง ๆ

ขอบคุณข้อมูล  http://www.bangkokhospital.com/index.php/th/diseases-treatment/geriatric_rehab_06

ปวดหลัง


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559

รู้ทันพฤติกรรม ทำลายกระดูก



รู้ทันพฤติกรรม ทำลายกระดูก
ปัญหาที่เกี่ยวกับกระดูกมีหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน Androgen การโภชนาการที่ไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกาย และการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งในบางครั้งคุณเองก็อาจจะไม่รู้ตัว เกี่ยวกับพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ไปทำลายกระดูกของคุณเอง ในอดีตผู้คนส่วนมากจะมองว่าปัญหาเกี่ยวกับกระดูกจะเป็นเฉพาะกับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ในปัจจุบันกับพบว่า ประชากรวัยหนุ่มสาว จนถึงวัยทำงานมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความผิดปกติของกระดูกที่อยู่ภายในร่างกาย อย่างเช่น อาการปวดหลัง อาการปวดคอ ไปจนถึงกระดูกสันหลังเสื่อม โรคกระดูกสันหลังคดงอผิดรูป และโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่งอาการเหล่านี้ ก็คือปัญหาที่เกี่ยวกับกระดูกทั้งสิ้น อาการต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้มักจะเกิดมาจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในการใช้ชีวิตประจำวันนั้นเอง
พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อป้องกันปัญหาเกี่ยวกับความเสื่อมของกระดูก
·        การนั่ง อย่างเช่น การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้เกิดการกดทับน้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง มีผลให้กระดูกบริเวณสันหลังบริเวณอุ้งเชิงกรานมีอาการคต โค้งงอ และมีอาการปวดคอและปวดหลังตามมาได้
·        การนั่งกอดอก จะทำให้กระดูกสันหลังช่วงบนสะบัก และหัวไหล่ถูกยืดออก ทำให้หลังช่วงบนเกิดการงองุ้ม กระดูกช่วงคอยื่นไปข้างหน้า มีผลต่อการทำงานของเส้นประสาทที่ไปหล่อเลี้ยงบริเวณส่วนแขน อาจเป็นเหตุให้กล้ามเนื้อบริเวณมือมีความอ่อนแรงและทำให้เกิดอาการชา ทั้งนี้ หากกระดูกช่วงคอเกิดการผิดรูป ทำให้กล้ามเนื้อคอเกิดการหดเกร็ง ส่งผลเสียต่อการทำงานของหลอดเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงสมอง ซึ่งอาจนำไปสู่อาการปวดศีรษะเรื้อรัง หรือ อาการไมเกรนได้
·        การนั่งหลังงอ หลังค่อม เป็นเวลานาน ๆ อย่างเช่น นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง ก่อให้เกิดการคั่งของกรดแลคติก ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยที่บริเวณหัวไหล่ และสะโพก อาจทำให้เกิดกระดูกผิดรูปอีกด้วย การนั่งเก้าอี้โดยไม่พิงพนักหรือการนั่งไม่เต็มก้น จะทำให้ การรับน้ำหนักตัวน้อยกว่าที่ควร ส่งผลทำให้กล้ามเนื้อที่หลังทำงานหนักกว่าปกติ และเกิดเป็นผลเสียต่อกระดูกสันหลังได้
·        การยืน อย่างเช่น การยืนหลังค่อม หรือการแอ่นตัวไปข้างหน้า จะทำให้มีอาการปวดหลังได้ เนื่องจากเกิดความผิดปกติของแนวกระดูกช่วงล่าง การยืนหลังตรง และการเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องเพียงเล็กน้อยจะเป็นการดีที่สุด เพื่อป้องกันอาการกระดูกสันหลังเสื่อม
·        การยืนโดยการทิ้งน้ำหนักลงที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง จะส่งผลเสียทำให้ขาข้างที่ได้รับน้ำหนัก มีอาการปวด และเป็นตะคริวได้ ท่ายืนที่ถูกต้องควรที่จะยืนให้น้ำหนักลงมาที่ขาเท่ากันทั้ง 2 ข้าง เพื่อความสมดุลของร่างกาย
·        การนอนคว่ำ โดยเฉพาะการนอนคว่ำเพื่ออ่านหนังสือ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากจะทำให้กระดูกสันหลังแอ่นมาก และก่อให้เกิดอาการปวดคอและปวดหลังด้วย
·        นอนขดตัวคุดคู้ การนอนหดแขนและขาจะทำให้กระดูกสันหลังงอบิดผิดรูป และเกิดอาการเจ็บที่กล้ามเนื้อได้ ท่านอนที่ถูกต้องนั้น แนะนำให้นอนหงายและใช้หมอนหนุนศีรษะที่ไม่แข็งหรือนิ่มจนเกินไป ไม่ควรนอนบนหมอนที่สูงเกินไป   
·        นอนดูโทรทัศน์หรืออ่านหนังสือคนทั่วไปมักชอบนอนเอนหลังดูโทรทัศน์หรืออ่านหนังสือ มักเป็นท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วไถลตัวไปบนโซฟาหรือเตียงนอน ทำให้งอลำคออาจเป็นเหตุผลให้กระดูกคอสึก และอาการปวดหลัง เพราะกระดูกหลังแอ่น

·        และเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยงคือ น้ำอัดลม แอลกอฮอล และ กาแฟไม่ควรดื่มมากกว่า 2 ถ้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.bumrungrad.com/th/betterhealth/2554/pain-free/posture-matters

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

โรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อนเป็นอย่างไร



โรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อนเป็นอย่างไร
โรคหินปูนในหูชั้นเคลื่อน (Benign Paroxysmal Positional Vertigo: BPPY) หรือเรียกโรคเวียนศีรษะขณะเปลี่ยนท่า หรือโรคนิ่วในหูชั้นใน  มีสาเหตุมาจากความเสื่อมของอวัยวะภายในหูที่สามารถพบได้กับผู้สูงอายุ อาการของโรคนี้จะทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะหรือ “บ้านหมุน” จะสามารถพบได้บ่อยที่สุดกับผู้สูงอายุนั้นเอง

โรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อนเกิดจากอะไร
อาการของโรคนี้ สามารถพบได้จากตะกอนแคลเซียมที่สะสมอยู่บริเวณอวัยวะการทรงตัวของหูชั้นใน เมื่อมีการเคลื่อนไหวศีรษะจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนที่ของตะกอนแคลเซียมตัวนี้ ซึ่งจะเคลื่อนที่ได้ก็ต่อเมื่อน้ำในหูเกิดการเคลื่อนไหว จึงส่งผลในการกระตุ้นอวัยวะการทรงตัว ทำให้เกิดการเวียนศีรษะ “บ้านหมุน” ขึ้นมาได้

อาการของโรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน คือ
อาการของโรคนี้จะเป็นลักษณะเฉพาะ ก็คือ อาการเวียนศีรษะ “บ้านหมุน” ในขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงท่าทางของศีรษะ จะแสดงอาการทันที อย่างเช่น การล้มตัวลงนอน หรือการลุกจากที่นอน การพลิกตัวในที่นอน การก้มดูของหรือการเงยหน้าขึ้นด้านบน แต่อาการดังกล่าวจะอยู่ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แล้วอาการค่อย ๆ หายไป เมื่อขยับศีรษะกลับมาในท่าเดิมอาการก็จะกลับมาเป็นอีกได้ แต่ไม่มีความรุนแรงเท้ากับครั้งแรก อาการเวียนศีรษะที่เกิดมาจากโรคนี้ สามารถเป็นหลาย ๆ ครั้งต่อวัน แต่อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น หลังจากนั้นประมาณ 3 – 4 สัปดาห์ อาจจะกลับมาเป็นซ้ำอีกได้

การวินิจฉัยโรคหินปูนเกาะหูชั้นในเคลื่อน ได้แก่
·        การซักประวัติเกี่ยวกับอาการ อย่างเช่น ลักษณะของอาการเวียนศีรษะ ปัจจัยและท่าทางที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ
·        การตรวจร่างกาย อย่างเช่น การตรวจหู คอ จมูก และระบบประสาทเพื่อหาสาเหตุของอาการเวียนศีรษะ
·        การตรวจจำเพาะ อย่างเช่น การทดสอบ Dix-Hallpike Maneuver เป็นการทดสอบที่เกี่ยวกับโรคนี้ โดยการให้ผู้ที่มีอาการเวียนศีรษะล้มตัวลงนอนหงายอย่างรวดเร็ว ในท่าศีรษะตะแคง และห้อยศีรษะเล็กน้อย หากพบการกระตุกจอลูกตา ร่วมกับอาการเวียนศีรษะ นั้นแสดงว่าเป็นอาการของโรคนี้อย่างแน่นอน
·        การตรวจการได้ยิน เพื่อแยกอาการของโรคอื่น ๆ ที่มีลักษณะที่คล้ายกัน

แนวทางการรักษาอาการหินปูนเกาะหูชั้นในเคลื่อน

การรักษาตามอาการและให้คำแนะนำ อย่างเช่น ควรหลีกเลี่ยงท่าทาง หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการ การรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการเวียนศีรษะ ส่วนมากอาการจะค่อย ๆ หายไปเอง ในระยะเวลาประมาณ 1 เดือนขึ้นไป อย่างไรก็ตาม โรคหินปูนเกาะกระดูกหูชั้นในเคลื่อนยังไม่มียาจำเพาะสำหรับการรักษา การทำกายภาพบำบัด ก็เป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษา กายภาพบำบัดเพื่อเคลื่อนตะกอนหินปูน มีวิธีการคือ วิธีของ Semont และ Epley (Canalith Repositioning Therapy) การทำกายภาพบำบัดเพื่อให้เกิดการปรับสมองได้เร็วขึ้น มีวิธีการคือ Brandt และ Daroff หรือ Cawthorne Vestibular Exercise และการผ่าตัดเป็นทางเลือกท้ายสุด เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูงและการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดช้า ทำให้เกิดความเสี่ยงต่ออาการอื่น ๆ ที่จะมาแทรกซ้อนได้ แพทย์จะมีการพิจารณาการผ่าตัดเพื่อรักษาก็เพราะว่า ร่างกายไม่ตอบสนองการับการทำกายภาพบำบัด และการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ 

ขอบคุณข้อมูลจาก  https://www.bumrungrad.com/th/hearing-and-balance-clinic-bangkok-thailand/condition/bppv

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

อาการกระดูกสะโพกหักเกิดขึ้นง่ายกับผู้สูงอายุ




อาการกระดูกสะโพกหักเกิดขึ้นง่ายกับผู้สูงอายุ
โรคกระดูกหักในผู้สูงอายุ (Hip Fracture in senile) คือ เป็นอาการหักของกระดูกในส่วนต้นขาและสะโพก แน่นอนว่าส่วนมากก็มาจากการหกล้มอีกเช่นกันเหมือนกับการเป็นกระดูกข้อมือหัก ส่วนของกระดูกต้นขาก็ได้รับการกระทบการเทือนมากเหมือนกันเพราะว่าล้มแล้วกระแทก แรงทุกอย่างก็ลงมาที่สะโพกเกือบหมดเลย

ปัจจัยที่เป็นสาเหตุทำให้เสี่ยงเป็นกระดูกหักเปราะบางในผู้สูงอายุ
ประการแรกเลยนั้นเป็นสิ่งที่เราเลี่ยงไม่ได้ก็คือ การแก่ชราจะต้องเผชิญกันทุกคนอย่างแน่นอน ยิ่งเราแก่มากขึ้นกระดูกก็จะพรุน เปราะบาง และอ่อนไปด้วย โดยเฉพาะกระดูกสะโพกและสันหลังที่เราต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษหน่อย อายุมากขึ้นภาวะกระดูกพรุนก็เริ่มที่จะมาเยือน การทรงตัวเริ่มลำบากมากขึ้น หกล้มง่าย เดินไม่สะดวกและอื่น ๆ มากมายก็ตามมา

ในเรื่องของเพศก็มีส่วนเกี่ยวข้องเหมือนกันอาการกระดูกสะโพกหักไม่ใช่แต่ในผู้สูงอายุแต่ถ้าเป็นผู้หญิงวัยที่ประจำเดือนหมดแล้วก็มีโอกาสที่จะเป็นมากกว่าผู้ชายเสียอีก   การเป็นโรคที่เกี่ยวด้วยโดยเฉพาะคนที่เป็นโรคเบาหวาน โรคเกี่ยวกับไขข้อและกระดูกต่าง ๆ จะทำให้เป็นกระดูกพรุนง่ายเช่นกัน หากเป็นคนที่ไม่ได้เป็นโรคดังกล่าวแต่ว่ามีการสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำก็เป็นโรคกระดูกโพกหัก โรคกระดูกพรุนเหมือนกันนะถ้าลดและเลิกได้ก็ควรทำอย่างยิ่งเลย

การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายโดยเฉพาะอาหารขยะที่อร่อยแต่หาประโยชน์ไม่ได้เลย ควรลดลงบ้างก็ดีแม้จะเป็นยุคที่อยู่กับความสะดวกสบายแต่การรับประทานอาหารเราก็ควรจะเลือกให้ดี ๆ ด้วย อย่าทำให้ร่างกายและกระดูกต้องอ่อนแอไปมากกว่านี้เลย ถ้าทานอาหารที่ไร้ประโยชน์กระดูกก็พรุนง่าย และควรเลือกทานอะไรที่มีส่วนในการบำรุงกระดูกด้วยจะยิ่งดีเลย

การออกกำลังกายเพื่อที่จะให้ข้อต่อของกระดูกและกล้ามเนื้อได้ทำงานไปด้วยกัน และเป็นการสร้างสุขภาพให้มีความแข็งแรงอีกด้วย คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำกล้ามเนื้อและกระดูกจะมีความแข็งแรงมากกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายเลยและตัวการหลักที่น่ากลัวอีกอย่างคือการใช้ยารักษาโรคต่าง ๆ ในบางตัวก็มีผลที่ทำให้กระดูกพรุนได้เหมือนกันจะต้องใช้อย่างถูกวิธีและตามแพทย์สั่งเท่านั้น

ยิ่งแก่ยิ่งเหนียวมันอาจจะไม่ใช่สำหรับกระดูกก็ได้ โดยเฉพาะกระดูกสะโพกเพราะว่ามันเสื่อมสภาพง่ายมาก ตอนนี้หากยังพอจะมีเวลาก็หันมาใส่ใจสุขภาพกันให้มากขึ้นด้วย ในอนาคตข้างหน้าเราจะต้องแก่และคงไม่มีใครอยากจะกระดูกสะโพกหักแน่ ๆ ฉะนั้นก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีกันมาก ๆ นะ 

ขอบคุณข้อมูลจาก http://haamor.com/ th/กระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุ/#article101

ปวดหลัง ปวดสะโพก


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

อาการปวดคอเกิดจากอะไรเป็นสาเหตุ




อาการปวดคอเกิดจากอะไรเป็นสาเหตุ
            เคยไหมที่รู้สึกไม่สบายตัวรู้สึกปวดต้นคอมาก ๆ โดยเฉพาะการปวดแบบเฉียบพลันที่บางทีก็ทำให้เราหมุนคอหันข้างไม่ได้เลย สาเหตุที่แต่ละคนนั้นมีอาการปวดคอมันอาจจะต่างกันไปบ้างแต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็มักจะมาจากอะไรที่คล้าย ๆ กันคือ เกิดอะไรขึ้นกับคอสักอย่างทำให้เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อตรงส่วนคอนั้นตึงและเคลื่อนไหวไม่ได้ทำให้เกิดการปวดคอ มาดูสาเหตุเหล่านั้นกันว่ามีอะไรบ้าง
สาเหตุของการปวดคอ
  •        ปวดกล้ามเนื้อลุกลาม หมายถึง เป็นอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดเส้น ปวดทุกส่วนในเรื่องกายที่มันเชื่อมกับคอแล้วมันก็ลามมาถึงต้นคอทำให้ปวดไปด้วยกัน จะมีอาการชาไปทั้งหมดที่แขน ไหล่ ต้นคอ บางทีก็ปวดร้าว ๆ ซึ่งน่ากลัวมากกับอาการนี้เพราะมันจะปวดแบบทรมาน 
  •       การอักเสบของข้อ เกี่ยวกับคออย่างไร มันเกี่ยวแน่นอนเพราะในคอของเราก็มีข้ออยู่หากเกิดอะไรขึ้นสักอย่างที่ส่งผลกระทบต่อคอนั้นจะทำให้มีอาการปวดและเสี่ยงมากที่จะทำให้เกิดอาการปวดคอแบบเรื้อรังหายยากไปเลย แต่ละครั้งที่ปวดจะรุนแรงไม่น้อยกว่าแบบแรก
  •          กระดูกคอเสื่อม หลายคนอาจจะเป็นเพราะกระดูกคอมีปัญหา อาการปวดคอแบบเป็นกระดูกคอเสื่อมนั้นมันจะเกิดเนื่องจากว่ามันจะการงอกตัวของกระดูกบางอย่างขึ้นมาระหว่างข้อต่อของต้นคอ งานนี้มีหลังอาการชาไปทั้งตัวก็มีสิทธิ์ไป ปวดทรมานจับใน ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง ขา แขน ทุกอย่างชาไปหมด
  •          เครียด บางทีคนเรามันก็มีเรื่องเข้ามาให้ปวดหัวอยู่เยอะไม่เว้นแต่ละวัน ใครที่ใช้ความคิดมาก เครียด เมื่อเครียดมาก ๆ เข้าก็จะกลายเป็นกล้ามเนื้อหดตัว เกร็งโดยไม่รู้ตัว คอก็ปวดเพราะว่าเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อนั้นตึงเกินไป
  •          นอนผิดท่า  การนอนก็สำคัญบางคนชอบนอนหันคอไปด้านใดด้านหนึ่งแบบนาน ๆ แล้วไม่หันกลับอีกด้านก็จะทำให้กล้ามเนื้อนั้นตึงและปวดคอเหมือนกัน หรือจะเป็นการนอนคอตกหมอนก็ไม่ต่างกันเลย และการนอนหมอนที่ไม่พอดีกับร่องคอ สูง หรือ ต่ำ เกินไป แบบนี้ก็เป็นสาเหตุทำให้ปวดคอได้


          ถ้าหากทราบว่าอะไรที่เป็นสาเหตุทำให้ท่านรู้สึกว่าปวดคอก็ให้เลี่ยงการกระทำเหล่านั้นเสีย เพราะหากยังฝืนทำต่อไปอาการปวดต้นคอจะยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดมากกว่าเดิม ถ้าหากว่าการปวดคอนั้นมาจากอะไรที่สร้างขึ้นมาเองเลี่ยงได้ก็ต้องเลี่ยงเพื่อสุขภาพที่ดี แต่ถ้าหากหยุดแล้วยังไม่หายก็ต้องหาวิธีการรักษาโดยเร็วก่อนที่จะเป็นโรคปวดคอแบบเรื้อรังแล้วจะยุ่งยากในการดูแลรักษา 


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

กระดูกสะโพกหักเสี่ยงเสียชีวิต






กระดูกสะโพกหักเสี่ยงเสียชีวิต
ความเจ็บป่วยไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ทำให้ตายได้เหมือนกัน โดยเฉพาะคนที่เจ็บป่วยเกี่ยวกับเรื่องของกระดูกและการเคลื่อนไหวของร่างกาย กระดูกสะโพกที่เป็นตัวสำคัญรับแรงกระแทกต่าง ๆ เวลาที่เราเกิดหกล้มและร่วงลงจากเหตุต่าง ๆ คนที่เสียชีวิตเพราะกระดูกสะโพกหักนั้นมีมากถึง 50 เปอร์เซ็นของผู้ป่วยทั้งหมดเลยซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่สูงมาก ๆ แต่ส่วนมากจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่ยอมทำการบำบัดรักษาในช่วงแรก ๆ ที่มีอาการกระดูกสะโพกหักที่เสียชีวิตนั้นเป็นเพราะว่าผู้ป่วยโรคกระดูกสะโพกหักนั้นนอกจากจะไม่ไปหาหมอในช่วงแรก ๆ เพื่อเข้ารับการรักษาแล้ว ก็ยังช่วยเหลือตัวเองค่อนข้างลำบากจึงต้องมีคนอื่นคอยช่วยและทำให้เกิดเป็นแผลกดทับได้ง่าย ๆ เมื่อเป็นแบบนั้นมันก็จะเริ่มที่จะเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น ส่วนอื่น ๆ ในร่างกายก็เริ่มมีการติดเชื้อและอักเสบมาด้วย ท้องไม่ดีท้องผูก ทางเดินปัสสาวะเริ่มอักเสบ ลำไส้ทำงานผิดปกติ เพราะแบบนี้ถึงต้องไปหาหมอและหาวิธีให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวตัวเองได้เพื่อเลี่ยงการเป็นแผลกดทับ อีกหนทางก็คือกระดูกสะโพกตัวที่หักนั้นเอาออกไปเลยแล้วเปลี่ยนมาใช้เป็นกระดูกเทียมเข้าไปทดแทนกันก็ได้

การดูแลผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักตามแพทย์แนะนำ
สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดรักษาแล้วก็จะต้องมีการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องเพื่อให้กระดูกต่อกันได้ติดเหมือนเดิม แต่จะช้าหรือเร็วนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนด้วยเช่นกัน การดูแลผู้ป่วยนั้นควรจะทำตามคำแนะนำของแพทย์ โดยส่วนมากจะถามแพทย์ให้เข้าใจเพื่อเป็นช่วยผู้ป่วยเช่นคำถาม
  • ·         การจัดจับให้ผู้ป่วยนั้นพลิกตัวตะแคงได้บ่อยครั้งมากแค่ไหน
  • ·         ทำให้ผุ้ป่วยอยู่ในท่านั่งนานแค่ไหน และบ่อยไหม
  • ·         จับให้ยืนได้หรือไม่
  • ·         การพยุงเดินจะทำได้หรือไม่
  • ·         เวลาไหนที่ผู้ป่วยสามารถใช้เครื่องพยุงเดิน 4 ขา ได้ด้วยตัวเอง
  • ·         การลงน้ำหนักไปที่ขาข้างที่หักได้บ่อยแค่ไหน
  • ·         และสอบถามอื่น ๆ ตามที่คิดออกได้เลย


การปวดข้อปวดกระดูกเนื่องจากมันหักนี้ทรมานมาก ๆ เมื่อเข้ารับการรักษาแล้วก็ควรจะต้องทำตามที่แพทย์แนะนำอย่างดี ที่สำคัญหากมีการนัดเพื่อตรวจดูอาการไม่ควรจะผิดนัดเด็ดขาดจะได้ทราบความเคลื่อนไหวของกระดูกสะโพกที่หักว่าเป็นอย่างไรบ้างมีการเริ่มต่อกันติดบ้างแล้วหรือยัง  การกินยาก็จะต้องกินตามที่หมอสั่งเท่านั้นอย่าหายาทานเองและอย่าหยุดทานยาเองตามใจชอบด้วย ถ้าอยากจะหายเร็ว ๆ ก็ต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น ทุกอย่างมีทางออกเสมอถ้าหากใช้กระดูกเดิมไม่ได้แล้วการใช้กระดูกเทียมก็ทำให้เราดำเนินชีวิตได้เหมือนกัน 

ขอบคุณข้อมูลจาก ที่มา  http://haamor.com/th/กระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุ/#article102

ปวดข้อเข่า

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

การดูแลอาการกระดูกข้อมือหักในผู้สูงอายุเบื้องต้น




การดูแลอาการกระดูกข้อมือหักในผู้สูงอายุเบื้องต้น

         ยิ่งเรามีอายุมากขึ้นก็ย่อมจะต้องดูแลตัวเองให้มาก ๆ ผู้สูงอายุเองในเรื่องของกระดูกนั้นไม่ได้แข็งแรงเหมือนกับตอนยังเป็นหนุ่มสาว ยิ่งแก่กระดูกก็เปราะบางและเป็นกระดูกพรุนกันเยอะเลย จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องมีบ้างที่จะเป็นอาการกระดูกหัก โดยเฉพาะในส่วนของกระดูกมือที่บอบบางอย่างมาก เวลาที่หกล้มแล้วเอามือมายันน้ำหนักตัวเองเอาไว้ก็ทำให้กระดูกมือในผู้สูงอายุหักนั้นเอง เพราะกระดูกข้อมือไม่แข็งแรงมากพอที่จะรับน้ำหนักได้เยอะเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

การดูแลผู้สูงอายุที่มีกระดูกข้อมือหักในเบื้องต้น
         หากเกิดความไม่แน่ใจว่าการดูแลกระดูกข้อมือของผู้สูงอายุเวลามันหักในเบื้องต้นควรทำอย่างไร ลองมาทำตามวิธีของเราได้เลย อย่างน้อยก็จะช่วยให้ลดอาการเจ็บปวดลงได้บ้าง อาจจะเป็นการรักษาในเบื้องต้นหาบริเวณที่หัก อาจจะถามเจ้าตัวเองได้และเราก็ทำการดามกระดูกด้วยอุปกรณ์ที่เหมาะสมและมีความแข็งแรง ถ้าไม่แน่ใจว่าทำถูกวิธีไหมควรไปพบแพทย์จะดีกว่า แต่ว่าหากทำได้ถูกต้องอาการปวดจะลดลงในทันทีเลย 
     
  และการดามกระดูกแบบเบื้องต้นนั้นก็ทำให้ไม่ให้มันเคลื่อนย้ายไปมากกว่าเดิมเพราะว่ากระดูกอาจจะไปทำลายส่วนอื่น ๆ ของร่างกายโดยเฉพาะเส้นเลือดและเส้นประสาทของผู้ป่วย เมื่อดามแล้วเราก็ย้ายผู้ป่วยได้สะดวกมากขึ้นแต่ต้องระวังในส่วนที่หักไม่ให้โดนอะไรเพื่อเสี่ยงต่อการที่กระดูกข้อมือนั้นจะเคลื่อนไปส่วนอื่น ๆ ทำให้เกิดความเจ็บปวดอีกรอบ  การดามเราเรียนรู้ได้จากหลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเลย ถ้าหากในกรณีไหนที่หาของที่แข็งแรงมากพอไม่ได้ก็ใช้เป็นกระดาษหนังสือพิมพ์มาพับเข้ากันหลาย ๆ ชั้นทำเป็นทางยาว ๆ และต้องหนา ๆ ด้วยต้องไม่หักง่าย ก็คือทำให้มันแข็งแรงมาก ๆ ที่จะใช้ในการดามกระดูกคนได้และเพิ่มการรักษาด้วยกระประคบเย็นก็จะช่วยได้ดีอีกระดับ เนื่องจากผู้สูงอายุนั้นอ่อนแอกว่าคนปกติอย่างเรา ๆ เยอะหกล้มเพียงเล็กน้อยหรือเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นก็จะได้รับความเสียหายมากกว่าเราหลายเท่าเลย ยิ่งถ้าเป็นกระดูกข้อมือจะยิ่งหักง่าย แตกง่าย เป็นพิเศษเพราะเป็นข้อต่อที่เล็กนิดเดียว ผู้สูงอายุจะทำอะไรก็ต้องระวังเป็นพิเศษอย่าให้เกิดอุบัติเหตุอะไรกับตัวเองถ้าเป็นไปได้ เพราะยิ่งถ้าหากเกิดกระดูกแตก กระดูกร้าวขึ้นมาจะรักษายากมาก ร่างกายของเราจะต้องให้ความสำคัญมาก ๆ และเมื่อกระดูกข้อมือหักหากดามเบื้องต้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วจะต้องรีบนำตัวส่งแพทย์ในทันทีเพื่อที่จะได้เข้าสู่ขั้นตอนการรักษาอย่างถูกต้องต่อไปและผู้ป่วยเองก็จะต้องดูแลตัวเองและทำตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดเพื่อจะได้หายเร็ว ๆ 

ขอบคุณข้อมูลจาก http://haamor.com/th/กระดูกข้อมือหักในผู้สูงอายุ/#article101 

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

กระดูกสามารถอักเสบได้ด้วยจริงหรือ



กระดูกสามารถอักเสบได้ด้วยจริงหรือ
           เราอาจจะคาดไม่ถึงว่ากระดูกที่ดูจะแข็งแรงในร่างกายของเรานั้นสามารถเกิดการอักเสบได้เหมือนกันโดยจะเป็นหนอง อักเสบ และติดเชื้อ ไม่ต่างอะไรกับส่วนอื่น ๆ ของร่างกายเราเลย แต่มันก็ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนด้วย สาเหตุหลัก ๆ เลยที่ทำให้กระดูกอักเสบนั้นมาจากแบคทีเรียซึ่งก็มีหลายชนิดด้วยกันที่เป็นต้นเหตุ แน่นอนว่าเราเป็นแล้วก็จะปวดข้อ ปวดกระดูกของเราเพิ่มมาทันทีเลย กระดูกทุกส่วนในร่างกายสามารถติดเชื้อและเกิดการอักเสบได้ ไม่ว่าจะเป็นกระดูกขา เท้า สันหลัง และกระดูกในส่วนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน

ทำไมกระดูกถึงเกิดการอักเสบได้
มันต้องมีสาเหตุถึงจะเกิดการอักเสบขึ้นมาได้ เรามีดูสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้กระดูกอักเสบกันว่ามีอะไรบ้างดังนี้

  •       เกิดจากการติดเชื้อในทางกระแสเลือด (Hematogenous Osteomyelitis) สาเหตุนี้เป็นไปได้เหมือนกัน โอกาสที่จะทำให้เราติดเชื้อเข้ากระดูกจนอักเสบจากกระแสเลือดมีถึง 20 เปอร์เซ็นกันเลย โดยตัวเชื้อแบคทีเรียที่เข้ามาในร่างกายของเรานั้นจะมุ่งเข้าสู่กระแสเลือดอย่างเร็วเลย รวมไปถึงการกระจายตัวไปถึงอวัยวะในส่วนอื่น ๆ ของร่างกายอีกด้วย เมื่อกระดูกอักเสบแล้วนอกจากอาการปวดข้อที่ตามมาอาจจะมีโรคอาการป่วยอื่น ๆ ตามกันมาอีกด้วย
  •  .      เกิดจากการติดเชื้อมาจากเนื้อเยื่อ (Contiguos – focus and post traumatic Ostemylitis) เป็นอีกหนึ่งต้นเหตุที่ทำให้เป็นกระดูกอักเสบเหมือนกัน การติดเชื้อเหล่านี้อาจจะมาจากคนที่ป่วยและเป็นแผลติดเชื้อได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว หรือว่าจะมาจากความผิดปกติทางกระดูกเองที่หัก แตก และสร้างอาการเจ็บปวดให้กับส่วนอื่นในร่างกายก็สามารถติดเชื้อมาจากเนื้อเยี่ยได้ และสาเหตุนี้ทำให้เป็นกระดูกอักเสบได้มากถึง 50 เปอร์เซ็นเลย
  •        เกิดจากการติดเชื้อในเนื้อเยื่อกระดูกที่เกิดการขาดเลือดหรือเลือดที่ไหลเวียนผิดปกติ (Osteomyelitis due to vascular Insufficiency) สาเหตุนี้ก็ทำให้เกิดเป็นกระดูกอักเสบได้ 30 เปอร์เซ็นเลย แบคทีเรียในเลือดนั้นจะมีมากเกินไปและเนื้อเยื่อก็ขาดด้วย ขาดเลือดก็ขาดออกซิเจนด้วยเช่นกัน  


             เราจะพบผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกอักเสบได้นั้นส่วนใหญ่จะเกิดจากผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุต่าง ๆ แล้วกระทบกับกระดูกหรือป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับระบบของเลือด โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด เป็นต้น เมื่อเป็นโรคกระดูกอักเสบแล้วอาจจะมีโรคแทรกซ้อนตามมา เช่น มีไข้ ปวด ระบม  เบื่ออาหาร ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ อ่อนเพลีย เป็นต้น แต่เมื่อเป็นแล้วก็มีทางรักษาเหมือนกัน หากรู้จักที่จะดูแลร่างกายตัวเองดี ๆ อาการป่วยก็หายได้เหมือนกันบ้างก็อาจจะต้องมีการทำกายภาพบำบัด และปฏิบัติตัวตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดใครที่รู้สึกเจ็บปวดที่ข้อต่อในร่างกายต้องรีบปรึกษาแพทย์โดยทันทีเลย 

ขอบคุณข้อมูลจาก haamor.com/th/กระดูกอักเสบ/#article102


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน