disable right click

วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

พังผืดคืออะไร



พังผืดก็คือ เยื่อบางๆ แต่มีความเหนียวอยู่ภายใต้ผิวหนัง มีหน้าที่ในการห่อหุ้มกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นในทุกๆ ส่วนที่อยู่ภายในร่างกาย ให้เกิดการยึดติดกันเป็นมัดๆ เมื่อเวลาตัดตามขวางของกล้ามเนื้อแต่ละมัด จะสามารถพบกล้ามเนื้อทุกมัดจะมีพังผืดห่อหุ้มอยู่ รวมถึงกระดูกน้อยใหญ่ที่อยู่กระจายโดยทั่วภายในร่างกายก็จะมีพังผืดหุ้มด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าหากบริเวณของกล้ามเนื้อไม่มีพังผืดห่อหุ้มอยู่ เมื่อกล้ามเนื้อเกิดการหดตัวจะทำให้กล้ามเนื้อเละ เนื่อกจากไม่มีอะไรมายึดเกาะมันเอาไว้ด้วยกัน กล้ามเนื้อที่หุ้มด้วยกระดูกสามารถที่จะรัดติดกับกระดูกได้ เพราะว่าพังผืดหดตัวเมื่อขาดพังผืดมาช่วยในการรัดแล้วเวลาที่กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว กล้ามเนื้อส่วนนั้นก็จะกระจัดกระจายไปคนทิศละทาง

ด้วยเหตุนี้ การที่พังผืดเกิดขึ้นก่อนจะสร้างกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและกระดูกนั้น จึงทำให้พังผืดสามารถขยายตัวเพื่อห่อหุ้มไปเรื่อยๆ ได้ กระทั่งเยื่อที่ยึดอวัยวะภายในร่างกาย นับตั้งแต่ ส่วนของสมอง ส่วนของหัวใจ ส่วนของปอดและส่วนของลำไส้ ให้มีการติดกับผนังด้านในของส่วนต่างๆ ของร่างกาย ก็คือพังผืดชนิดเดียวกัยที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จะมีความแตกต่างกันตรงพังผืดที่หุ้มกล้ามเนื้อเส้นเอ็น และกระดูกจะมีความเหนียว มีความหนามากกว่า จึงเรียกว่าพังผืดที่หุ้มอวัยวะภายในร่างกายว่า “เนื้อเยื่อยึดเหนี่ยว”
ดังนั้นเส้นทางของการขนส่งที่อยู่ภายในร่างกายจะมีองค์ประกอบหลักอยู่ด้วยกัน 3 ระบบ ที่จะมีความคล่องจตัวและมีประสิทธิภาพที่สมบรูณ์แบบ ก็ต่อเมื่อไม่มีการปิดกั้นจากส่วนของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและพังผืด โครงสร้างของร่างกายจะต้องอยู่ในสภาวะที่มีความสมดุลอย่างมาก เพราะว่ากล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืด นั้นเราถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่ง กับโครงสร้างของร่างกาย การที่ส่วนของกล้ามเนื้อ ส่วนของเส้นเอ็น และก็ส่วนของพังผืด สามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ โดยไม่มีการปิดกั้นเส้นทางของระบบการขนส่งที่มีอยู่ภายในร่างกาย ก็คือ โครงสร้างของร่างกายที่อยู่ในภาวะสมดุลตามปกตินั้นเอง

องค์ประกอบของโครงสร้างพื้นฐานของร่างกาย

 โครงสร้างพื้ฐานของร่างกายนั้น ก็คือ โครงกระดูกที่ประกอบไปด้วย กระดูกที่มีรูปร่างและมีขนาดที่แตกต่างกันไป เรียงเชื่อมต่อกันทั้งหมดประมาณ 206 ชิ้น โดยกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืด มีหน้าที่ในการเป็นตัวช่วยในการดึงและการยึดกระดูกทั้งหมดเหล่านั้นไว้ด้วยกัน การที่ร่างกายได้มีการเคลื่อนไหวหรือมีการบิดไปทางใดทางหนึ่งจะขึ้นอยู่กับกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และก็พังผืดเสมอ เนื่องจากกระดูกมีการเคลื่อนไหวด้วยตัวของมันเองไม่ได้ ไม่สามารถตั้งด้วยตัวของมันเองด้วย กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืดจึงเป็นส่วนสำคัญของระบบการทำงานของกระดูกที่อยู่ภายในร่างกายของเรา โครงสร้างของร่างกายมีลักษณะเหมือนกับหุ่นชัก แต่จะมีความแตกต่างกันตรงที่กระดูกไม่ได้ใช้เชือกเพื่อยึดโครงสร้างแต่เป็นเส้นเอ็นและพังผืดนั้นเอง การที่กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืดทำงานด้วยกันอย่างสมดุลแล้ว ทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายมีความสมดุลเป็นปกติเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก  http://health.dmc.tv/รู้ทันโรคจากภาวะภายในร่างกาย-353/พังพืดคืออะไร.html

ไหล่ติด
สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line เพิ่มเพื่อน

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สาระหน้ารู้เกี่ยวกับอาการปวดหลัง




สาระหน้ารู้เกี่ยวกับอาการปวดหลัง
การผ่าตัดเพื่อช่วยในการรักษาอาการของโรคปวดหลัง อาการของโรคปวดหลังจะต้องมีการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด จะเกิดมาจากสาเหตุต่างๆ คือ อาการของหมอนรองกระดูกสันหลังเกิดการทรุดหรือมีการแตก ไปกดทับกับระบบเส้นประสาท (เส้นประสาทและไขสันหลัง) กระดูกสันหลังมีความเสื่อมและเกิดการทรุดตัว ร่วมกับการที่มีหินปูนเกาะกระดูกสันหลังด้วย ทำให้เกิดการกดทับที่เส้นประสาท กระดูกสันหลังเกิดการเคลื่อนที่ เนื่องมาจากความเสื่อมของกระดูกหรือที่เกิดมาจากอุบัติเหตุ และการที่มีเนื้องอกในระบบเส้นประสาท หรือในส่วนของกระดูกสันหลัง

การผ่าตัดผ่านทางกล้อง เพื่อรักษาอาการของโรคปวดหลัง
โรคปวดหลังที่ต้องมีการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด จะเกิดมาจากสาเหตุหลักๆ ก็คือ
  • 1.       หมอนรองกระดูกสันหลังมีการทรุดหรือมีอาการแตก ไปกดทับระบบของประสาท (เส้นประสาทและไขสันหลัง)
  • 2.       กระดูกสันหลังมีความเสื่อมและมีการทรุดตัว ร่วมกับมีอาการที่มีหินปูนงอกออกมากดทับบริเวณเส้นประสาท
  • 3.       กระดูกสันหลังมีการเคลื่อนตัว เนื่องมาจากเกิดความเสื่อมของกระดูกสันหลังหรือการที่ได้รับอุบัติเหตุ
  • 4.       การที่มีเนื้องอกในระบบประสาทหรือในกระดูกสันหลัง


สาเหตุดังกล่าวจะสามารถให้พบอาการได้พบที่สุดคือ
  • 1.       มีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ และบริเวณของแขนหรือขา
  • 2.       มีอาการชาบริเวณของปลายนิ้วมือ และส่วนของปลายนิ้วเท้า
  • 3.       มีลักษณะของอาการกล้ามเนื้อที่ลีบลง ผู้ที่มีอาการจะมีความรู้สึกตัวว่ากำลังของมือและขามีความลดลง
  • 4.       การทรงตัว การเดินจะมีความลำบาก แม้เวลาที่เดินในระยะทางที่ไม่ไกลเท่าไร
  • 5.       มีอาการปวดอย่างรุนแรง หรือจะมีอาการปวดจนไปรบกวนการทำงานในชีวิตประจำวันได้ (การที่ปวดคอ ปวดหลัง ปวดเอว และการปวดศีรษะ) และจะไม่สามารถตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาหรือการทำกายภาพบำบัดได้


ทำไมจะต้องผ่านตัดด้วย “กล้อง”

เนื่องจากอาการเหล่านี้ เมื่อแพทย์มีการวินิจฉัยอย่างแน่ชัด ว่าจำเป็นจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ทางเลือกที่ดีที่สุดในปัจจุบันนี้ ก็คือการรักษาด้วยการผ่าตัดด้วยการผ่านกล้อง เพื่อแก้ไขความผิดปกติ ดังกล่าวได้ การผ่าตัดผ่านกล้องจะมีข้อดีเหนือกว่าการผ่าตัดด้วยตาเปล่ามากมาย อย่างเช่น ช่วยลดโอการสผิดพลาดในการผ่าตัด ที่เป็นสิ่งที่ผู้ป่วยมีความกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัดจะทำให้เกิดการเป็นอัมพาตต่อไปได้ สามารถช่วยลดระยะเวลาที่ต้องการนอนพักในโรงพยาบาล เหลือเพียงแค่ประมาณ 2 – 3 วันเท่านั้น (อาจสั้นหรือว่านานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความซับซ่อนของโรค และความรุนแรงของอาการปวดหลังที่เป็นอยู่นั้นเอง) 

ขอบคุณข้อมูลจาก  โรงพยาบาลวิภาวดี http://www.vibhavadi.com/mobi/health_detail.php?id=377

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ไม่อยากมีอาการปวดคอป้องกันได้ไม่สายเกินไป



ไม่อยากมีอาการปวดคอป้องกันได้ไม่สายเกินไป 
คอเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญอย่างมากและคอทำหน้าที่ในกานแบกรับน้ำหนักที่มากของศรีษะตลอดเวลาทั้งยามหลับและตื่น ไม่ว่าจะทำกิจกรรมใดๆทั้งเอี้ยวคอ ก้มๆ เงยๆ ทำให้คอต้องทำงานหนักตลอดเวลา โดยเฉพาะวัยทำงานไม่ได้มีเวลาในการพักผ่อนมากนัก ยังคงทำงานที่หนักทั้งวัน เช่น การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน การนั้นทำงานบนโต๊ะทั้งวัน เป็นต้นการทำงานที่หนักจะนำมาซึ่งความเครียด รวมไปจนถึงพฤติกรรมต่างๆ อย่าง การนอนหมอนที่สูงเกินไป การนอนคว่ำหน้าเป็นประจำ เกร็งไหล่อยู่เป็นประจำ ใช้คอหนีบโทรศัพท์ เป็นต้น พฤติกรรมเหล่านั้นล้วนแต่ส่งผลให้เกิดอาการปวดคอได้ หรือกรณีกล้ามเนื้อต้นคอเกิดการอักเสบ ก็ส่งผลทำให้มีอาการปวดคอ ได้เช่นกัน 
อาการปวดคอมีความรุนแรงที่แตกต่างกันสามารถแยกออกได้ดังนี้ 

1. อาการปวด 
- มีอาการปวดร้าวเฉพาะที่ไม่มีการปวดบริเวณอื่นใดเรียกว่าอาการปวดตามแกน 
- มีอาการปวดคอตรงที่เป็นสาเหตุของอาการปวดและมีอาการปวดร่วมกับบริเวณใกล้เคียงที่ไม่ใช่สาเหตุของอาการปวดเรียกว่าการปวดแบบส่งต่อ 
- มีการปวดร้าวไปตามเส้นประสาทรากประสาท ซึ่งเกิดจากการที่รากประสาทถูกกดทับทำให้เกิดการเจ็บปวดเกิดขึ้น 
2. รากประสาทและไขกระดูกสันหลังถูกเบียดทับ กระดูกสันหลังผิดรูปหรือไม่มั่นคงเป็นต้น 

การดูแลรักษาอาการปวดคอสามารถแก้ไขและป้องกันได้เบื้องต้นดังนี้ 
1. เมื่อพบอาการปวดคอต้องพบแพทย์ทานยาแก้ปวดแก้อักเสบ คลายกล้ามเนื้อที่ไม่มีสเตรอยด์ เพื่อช่วยให้อาการปวดบรรเทาลงไป 
2. ลดกิจกรรมหรือพฤติกรรมต่างๆที่ทำให้เกิดอาการปวดคอ เช่นการนั่งทำงานผิดท่า นอนหมอนที่สูงเกินไป การสะบัดผม เป็นประจำ หากผู้ปวดลดกิจกรรมเหล่านี้ลงได้อาการเจ็บปวดก็จะทุเลาลง 2-3 สัปดาห์ 
3. การใส่ปอกคอเพื่อเป็นการจำกัดการเคลื่อนไหวคอของผู้ป่วย 
อย่างไรก็ตามอาการปวดคอนั้นสามารถดูแลป้องกันให้หายได้หากผู้ป่วยดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอและลดกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดคอซึ่งวิธีการดูแลตนเองอยู่อย่างสม่ำเสมอนั้นจะช่วยให้เราทราบสาเหตุและปัญหาของการปวดคอ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ถูกต้องและทันท้วงที เนื่องจากอาการปวดคอจะทำให้คุณภาพชีวิตของคนเราแย่ลงไปแล้ว บางครั้งหากรักษาไม่ถูกวิธีแล้วจะทำให้เราสูญเสียโอกาสในหลายๆด้านหรือนำมาซึ่งโรคที่ร้ายแรงได้เนื่องจากอาการปวดคอมากๆจะทำให้แขนและขาชา เดินเกร็ง ใช้มือลำบากและหากเกิดกรณีรุนแรงอาจทำให้เป็นอัมพาตทั้งแขนและขาได้เช่นกัน 
แหล่งที่มา : 
http://www.sukumvithospital.com/content.php?id=46 

ปวดคอ

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

มาทำความรู้จักกับโรคสะเก็ดเงินกันมากขึ้น




มาทำความรู้จักกับโรคสะเก็ดเงินกันมากขึ้น

โรคผิวหนังบางชนิดเป็นโรคที่หลายๆคนค่อนข้างรังเกียจทั้งๆที่บางครั้งโรคเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เกิดการติดต่อหรือไม่ได้เป็นโรคติดต่อแต่อย่างใด และโรคผิวหนังที่พบว่าค่อนข้างพบเห็นได้เรื่อยอย่างโรคสะเก็ดเงินนับได้ว่าเป็นโรคผิวหนังชนิดเรื้อรังที่เห็นได้ชัดเจนทำให้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตผู้ที่เกิดโรคบางท่าน โรคสะเก็ดเงิน และโรคด่างขาวเป็นโรคเกิดขึ้นไม่บ่อยมาก แต่ก็เกิดขึ้นเรื่อยๆและยังสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเพศหญิงและชายได้เท่าๆกัน ช่วงอายุการเป็นโรคพบว่าเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแต่พบว่าผู้ที่มีอายุมากกว่า 20 ปีพบได้มากกว่า

 การเกิดโรคสะเก็ดเงินยังระบุสาเหตุหลักไม่ได้ แต่ได้ทำการศึกษาพบว่าโรคสะเก็ดเงินเกิดจากการแบ่งตัวของผิวหนังที่เร็วผิดปกติทำให้ผิวหนังหนาขึ้น รวมกับอาการอักเสบส่งผลให้เป็นแผ่น เป็นตุ่มแดงมีขอบชัดเจน หนานูนขึ้น คัน ตกสะเก็ดเป็นสีเงิน ทำให้เรียกว่าสะเก็ดเงิน และสามารถเกิดขึ้นได้กับผิวหนังทุกส่วนของร่างกาย การเกิดโรคสะเก็ดเงินและด่างขาวนั้นเป็นโรคผิวหนังที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอนแต่ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่พบบ่อยๆคือ ผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคสะเก็ดเงินหรือกรรมพันธุ์นั้นเอง ผู้ที่มีประวัติภูมิคุ้มกันบกพร่องเนื่องจากสามารถพบได้มากจากกลุ่มผู้ติดเชื้อ HIV หรือเอดส์ ผู้ที่ติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียบางชนิดๆบ่อยครั้ง ผู้ที่มีความเครียดสะสมส่งผลให้มีภูมิคุ้มกันต่ำลง ผู้ที่ดื่มสุราเรื้อรังและสูบบุรี่เป็นประจำเป็นต้น เมื่อเกิดโรคสะเก็ดเงินส่งผลทำให้เกิดอาการข้างเคียงหรือโรคข้างเคียงได้ เช่นมะเร็งผิวหนังโรคข้ออักเสบ หรือเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้

การรักษาโรคสะเก็ดเงินและด่างขาวนั้นจะรักษาได้ดีโดยการใช้ยาทาและการทานยาร่วมด้วย แต่เนื่องจากโรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้จึงทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาเป็นได้อีกครั้งหากไม่มีการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง  แต่พบว่าในปัจจุบันด้วยนวัตกรรมที่เจริญก้าวหน้ามากขึ้น ได้มีการค้นพบวิธีการรักษาโรคสเก็ดเงินและด่างขาวได้ผลถึง 85% โดยการใช้แสง UV หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปที่เรียกว่ารังสีอัลตราไวโอเลต (การฉายแสงอาทิตย์เทียมเป็นนวัตกรรมที่สามารถรักษาอาการโรคสเก็ดเงินและด่างขาวได้ผลเป็นอย่างดีรวดเร็วขึ้น รังสีอัลตราไวโอเลตที่ใช้ในการรักษาโรคสเก็ดเงินและด่างขาวมีอยู่ด้วยกัน ชนิด ได้แก่ รังสี UVB คลื่นความยาว 290-320นาโนเมตร และรังสีอัลตราไวโอเลต เอ คลื่นความยาว 320-400 นาโนเมตร แต่ต้องทำการรักษาหรือทำการฉายแสงตามความรุนแรงของโรคและรับประทานยาร่วมด้วยจึงจะส่งผลให้ดารรักษาได้ผลยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามโรคสเก็ดเงินเป็นโรคที่รักษาไม่หาย 100% ดังนั้นผู้ที่เกิดโรคต้องมั่นดูแลและใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้นเพื่อคุณภาพชีวิตของตนเอง

แหล่งที่มา : http://haamor.com/th/สะเก็ดเงิน/

โรคสะเก็ดเงิน

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ไซนัสอักเสบเกิดขึ้นได้อย่างไรป้องกันอย่างไรถึงห่างไกลโรค



ไซนัสอักเสบเกิดขึ้นได้อย่างไรป้องกันอย่างไรถึงห่างไกลโรค
                อาการของการคัดจมูก ที่เกิดจากภูมิแพ้ต่าง ๆ มักมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากที่ป่วยเป็นโรคนี้ แต่ผู้ป่วยบางคนถึงกับแยกไม่ออกว่าตนเองเป็นโรคไซนัสอักเสบ โดยอาการหลาย ๆ อย่างจะมีความคล้ายกับการเป็นไข้หวัด เช่น มีน้ำมูก คัดจมูก จาม ในช่วงระยะเวลาสั้น หรือเป็นอยู่ตลอด ไซนัส คือการเกิดการอักเสบที่เยื่อบุจมูก และโพงอากาศ ซึ่งมีสาเหตุของการเกิดโรค อาการของโรค กลุ่มความเสี่ยงของการเกิดโรค และวิธีการรักษาป้องกันการเป็นไซนัสอักเสบทำได้อย่างไรนั้น เราไขข้อสงสัยทั้งหมดในวันนี้
                ไซนัส โรคชนิดนี้เกี่ยวข้องกับจมูกทางเดินระบบหายใจ ซึ่งการหายใจส่วนใหญ่ในแต่ละวัน จะมีฝุ่นละออง หรือสิ่งแปลกปลอม เข้ามาสู่ร่างกายแต่ด้วยระบบภายในจมูกมีสิ่งป้องกันสิ่งเหล่านี้อยู่จนไม่ต้องเป็นกังวลมากนัก แต่สาเหตุหลัก ๆ นั้น เกิดจากโรคคือการได้รับเชื้อโรคเข้าไปในโพงอากาศ ทำให้เยื่อบุเกิดการติดเชื้อ และมีอาการอักเสบขึ้นเรื่อย ๆ จนมีอาการปวดตรงบริเวณหน้าเป็นส่วนใหญ่ ปัจจัยที่ทำให้เกิดไซนัสมีอยู่ 3 อย่างได้แก่

1.          อารมณ์, สิ่งแวดล้อม
2.          โรคภูมิแพ้
3.          แบคทีเรีย

3 สิ่งนี้เป็นปัจจัยนี้หากไม่ได้รับการรักษา หรือรักษาที่ไม่ถูกต้อง และไม่ถูกวิธี จะทำให้เกิดผลร้ายทางร่างกายจนช่องของจมูก มีอาการไซนัสเพิ่มขึ้นทำให้ตีบตันบวมตัวขึ้น และติดหนองที่ร้ายแรง และการสังเกตอาการของไซนัสไม่ยาก ซึ่งจะต่างจากหวัดทั่ว ๆ ไปคือ มาอาการปวดที่บริเวณหน้าเพิ่มเติม เช่น หน้าผาก ตา และโหนกแก้ม โดยการอาการปวดดังกล่าวผู้ป่วยจะมีอาการเพิ่มเติมคือมักจะมีน้ำมูก จนทำให้ผู้ป่วยนั้นหายใจไม่ออก จนเกิดอาการที่เรียกว่าคัดจมูก ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ว่าใคร ๆ ก็สามารถเป็นโรคนี้ได้ทั้งนั้น โดยมีกลุ่มเสี่ยงดังนี้
1.       ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ เพราะเมื่อเกิดอาการแพ้ อัตราในการเกิดไซนัสก็จะเกิดขึ้นได้ เพราะมีการอักเสบจากอวัยวะภายในอื่น ๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นการเกิดโรค
2.       ความผิดปกติทางช่องจมูก ซึ่งเมื่อผิดปกติ สามารถเกิดการติดเชื้อได้มากกว่า
3.       มลภาวะที่เป็นพิษ ควันรถ บุหรี่ สารต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเกิดโรค โดยภูมต้านทานลดลง จนทำให้เกิดอาการไซนัส
ซึ่งกลุ่มเสี่ยงที่กล่าวมาสามารถป้องกันเบื้องต้น ได้ง่าย โดยไม่มีวิธีการที่ยุ่งยาก และซับซ้อนเชื่อว่าทุกคนสามารถทำได้ เช่น การออกกำลังการบ่อย ๆ ทุก ๆ วัน ทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลตนเพื่อให้ดีที่สุดอย่าให้เป็นไข้หวัดบ่อย ๆ งดเครื่องดื่มมึนเมาทุกชนิด และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงจากการเกิดโรค เพียงเท่านี้หลายคนก็หายกังวลใจกับการเกิดอาการไซนัส ซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตของเราอย่างมาก

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.doctor.or.th/article/detail/1753

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

วิธีสูดไอน้ำร้อนเพื่อช่วยบำบัดโรคจมูกอักเสบ





วิธีสูดไอน้ำร้อนเพื่อช่วยบำบัดโรคจมูกอักเสบ
การสูดไอน้ำร้อนเป็นวิธีที่ผู้ป่วยสามารถทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้จมูกโล่ง หายใจได้สะดวกขึ้น รักษาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ที่เกิดจากโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้และไม่แพ้  โรคหวัด หรือโรคไซนัสอักเสบ รักษาอาการปวดตื้อๆ ที่ศีรษะซึ่งเกิดจากการไหลเวียนของอากาศในไซนัสที่ไม่ดีจากเยื่อบุจมูกที่บวมไปอุดกั้นรูเปิดของไซนัสในโพรงจมูก และทำให้การพ่นยาชนิดต่างๆ ตามที่แพทย์สั่งเข้าไปในจมูกมีประสิทธิภาพมากขึ้น  นอกจากนั้น ยังทำให้ระบบทางเดินหายใจส่วนล่างโล่งขึ้น และช่วยลดอาการของโรคหืดได้ด้วย

การสูดไอน้ำร้อน อาจใช้น้ำเดือดธรรมดา หรือมีการผสมยาหรือน้ำมันหอมระเหย หรือสมุนไพรบางอย่างที่ออกฤทธิ์ในระบบทางเดินหายใจ หรือที่ใช้สำหรับรักษาอาการของทางเดินหายใจลงไปด้วยก็ได้  เป็นการทำให้ประสิทธิภาพของการรักษาดีขึ้น  


ขั้นตอนของการสูดไอน้ำร้อน  มีดังนี้

1.   ต้มน้ำในหม้อให้เดือด และเตรียมภาชนะที่มีปากกว้างๆ อย่างเช่น อ่าง ชาม มีขนาดใหญ่นิดหนึ่ง และทำด้วยวัสดุทนความร้อน สำหรับใส่น้ำเดือดไว้สูดไอน้ำร้อน
2. เทน้ำเดือดจากหม้อต้มใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้  ถ้าในกรณีที่แพทย์ไม่ได้ให้ยาเพื่อเติมลงไปในน้ำเดือด สามารถเริ่มสูดไอน้ำร้อนได้เลย ในกรณีที่แพทย์ให้ยาเพื่อเติมลงไปในน้ำเดือด ควรเริ่มเติมยาลงไปในหม้อขนาดน้อยๆ ก่อน ไม่ต้องมากเกิน เช่น สักครึ่งฝาของขวดยา หรือประมาณครึ่งช้อนชา ถ้ากลิ่นไม่ฉุนเกินไป หรือผู้ป่วยทนได้ อาจ เพิ่มขนาดได้ในครั้งต่อไป หรือจะใช้ตามขนาดที่ต้องการ ก็ได้ หลังจากนั้นคนให้ยาผสมเข้ากับน้ำที่เดือดให้เข้ากัน
3.    ยื่นหน้าไปอังอยู่เหนือน้ำเดือด ซึ่งอยู่ในภาชนะที่เตรียมไว้ หลังจากนั้นสูดหายใจเข้าออกตามปกติ โดยอาจนำผ้าเช็ดตัว หรือผ้าสะอาดผืนใหญ่ๆ มาคลุมโปงศีรษะและภาชนะใส่น้ำเดือด หรือพับกระดาษลักษณะเป็นรูปกรวย หรือรูปทรงกระบอก ช่วยในการสูดไอน้ำร้อนก็ได้
4.   ถ้าไอน้ำเดือดร้อนมากเกินไปขณะที่อบ สามารถหยุดพักได้ชั่วคราว โดยเอาหน้าออกจากภาชนะที่ใส่น้ำเดือด พอรู้สึกดีขึ้น หรือร้อนน้อยลง จึงค่อยสูดไอน้ำร้อนต่อ ควรสูดไอน้ำร้อนจนกว่าไอน้ำเดือดจะหมด และควรจะสูดไอน้ำร้อนก่อนการพ่นยาในจมูกทุกครั้ง โดยเฉพาะ ในผู้ป่วยที่มีอาการคัดจมูก เพื่อให้ยาเข้าไปสัมผัสกับเยื่อบุจมูกได้มากขึ้นและออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น 
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.doctor.or.th/clinic/detail/9165

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ไซนัส แพ้อากาศ โรคยอดฮิตที่ป้องกันได้



ไซนัส แพ้อากาศ โรคยอดฮิตที่ป้องกันได้
ปัญหาสุขภาพเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน และผู้คนจำเป็นต้องดูแลใส่ใจตัวเองเป็นพิเศษเนื่องจากในปัจจุบันด้วยสภาพแวดล้อมที่แออัด หากยิ่งเป็นสังคมเมืองละก็อากาศนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นมลพิษมลภาวะ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ จำเป็นที่ต้องรณรงค์ให้ผู้คนต้องหันหน้ามาใส่ใจกับปัญหาสุขภาพมากยิ่งขึ้น โรคที่พบว่าคนไทยส่วนใหญ่เป็นส่วนใหญ่จะเป็นโรคภูมแพ้อากาศ และอาการของไซนัสตามมา ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าโรคภูมิแพ้อากาศ และโรคไซนัส ประชาชนเป็นโรคเหล่านี้ได้ง่ายๆ หากดูแลตนเองไม่ดี ถึงแม้บางครั้งปัญหาของอาการเหล่านี้อาจไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่ก็สร้างความรำคาญได้ไม่น้อยเลยละ ถึงแม้จะเป็นโรคยอดฮิตแต่ก็ยังมีหลายคนมีความสับสนระหว่าง โรคภูมิแพ้อากาศ และ ไซนัสอยู่ ดังนั้นเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน วันนี้จึงอยากมาบอกเล่าเกี่ยวกับ อาการของไซนัสและภูมิแพ้อากาศให้ได้เข้าใจกันง่ายๆดังนี้
1.       แพ้อากาศ จะมีลักษณะอาการคันจมูกอย่างมาก เมื่อคันจมูกทำให้ขยี้จมูกจนเป็นรอย มีอาการจาม มีน้ำมูกใสๆไหลตลอดเวลา ซึ่งการแพ้อากาศจะมีสิ่งกระตุ้นให้เกิดการแพ้ เช่น ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์เลี้ยง ฝุ่นละออง ควัน บริเวณที่เป็นมลภาวะทั้งหลาย และอาการแพ้อากาศบางครั้งจะเกิดตามฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ความชื้นในอากาศก็สามารถกระตุ้นอาการแพ้อากาศได้
การรักษา : เมื่อมีอาการแพ้อากาศจะสามารถรักษาให้หายได้ไม่ยาก แต่ต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ที่มีอาการโดย ผู้ที่แพ้อากาศต้องจัดบริเวณที่อยู่และที่ทำงานให้มีสภาพเหมาะสม ทำความสะอาดสม่ำเสมอ ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง คือการดูแลสุขภาพโดยรวมของตนเองเป็นหลักเพราะสามารถช่วยได้มาก หากมีอาการมากก็ต้องให้ยา อาจเป็นยาพ่นจมูก ยาทาน หนืออาจฉีดยาให้วัคซีนป้องกันโรคภูมิแพ้ เป็นต้น

2.       ไซนัส เป็นอาการที่เกิดจากการอักเสบของจมูกอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทรีเรีย แพ้อากาศ เป็นหวัด ซึ่งเป็นสาเหตุให้ท่อต่อที่เชื่อมระหว่างโพรงไซนัสเกิดการตีบตัน เกิดการคลั่งของมูกที่โพรงไซนัส เมื่อมีการคลั่งอยู่ภายในโพรงไซนัสมากเกิดอาการบวมและติดเชื้อในที่สุดอักเสบในเวลาต่อมา และอาการที่พบมีลักษณะมีน้ำมูกไหลออกจากรูจมูก 1 ข้างมีลักษณะข้นหนืด เมื่อหายใจเข้าไปจะมีกลิ่น

การรักษา : สามารถรักษาได้ตามอาการเช่นหากเป็นไซนัสเฉียบพลันต้องรับการรักษาแบบทานยาปฎิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ใช้ยาพ่นยาทานเพื่อลดการปวดบวม เป็นต้น การรักษาไซนัสเรื้อรังหากทานยาแล้วไม่หายอาจต้องผ่าตัดแต่การผ่าตัดรักษาในปัจจุบันมีความปลอดภัยและได้ผล
อย่างไรก็ดีอาการทั้ง 2 ไม่ว่าจะเป็นไซนัสหรือภูมิแพ้อากาศ สามารถรักษาให้หายหรือป้องกันได้เพียงการดูแลตัวเอง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำสะอาดมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด และพยายามอยู่ในสถานที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพียงเท่านี้อาการเหล่านี้ก็หายไปได้อย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูล http://phyathai.com/page.aspx?LangID=th&pageid=239
http://si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=196

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

รู้ทันไว้ป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต



รู้ทันไว้ป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต

โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นในวัยสูงอายุเพียงอย่างเดียว แต่นั่นคือการเข้าใจผิด โรคนี้สามารถเกิดได้กับหลายวัย ขึ้นอยู่กับการทำงานของระบบประสาท และสมองว่ามีการทำงานที่ปกติหรือไม่ หากมีการทำงานที่ผิดปกติโรคนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งอาการของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต สามารถเป็นได้ทั้งซีกซ้าย หรือซีกขวาก็ได้ หรืออาจจะเรียกกันว่า อัมพาตครึ่งซีก จะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของโรคที่เกิดขึ้นภายในสมองนั่นเอง และสาเหตุหลัก ๆ ของการเกิดโรคก็คือ การทำงานของสมอง ได้แก่
1.       หลอดเลือดสมองตีบตัน เกิดจากการที่หลอดเลือดแดงที่ส่งไปเลี้ยงสมองนั้นเกิดอาการแข็งตัวนานขึ้นจะทำให้พื้นที่หลอดเลือกส่วนนั้นค่อย ๆ แข็งตัว และตีบแคบลงทีละน้อย ๆ โดยอาการของสาเหตุนี้ผู้ป่วยจากโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ไม่รู้ตัวจนเกิดการตัน ที่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ และผลที่ตามมากล้ามเนื้อแขน และขาจะเริ่มอ่อนแรงลง ความรุนแรงของโรคนี้จะแตกต่างกันไป ซึ่งบางรายการฟื้นตัวอาจจะสามารถเดินได้โดยใช้ไม้เท้า สาเหตุนี้จะแตกต่างจากสาเหตุอื่น ๆ คือ จะไม่มีการเสียชีวิตแบบฉับพลัน แต่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคอื่น ๆ ได้ง่ายมากกว่า ซึ่งจะเป็นสาเหตุที่เสียชีวิต
2.       หลอดเลือดสมองมีลิ่มเลือดมาอุดตัน สาเหตุนี้มักจะพบกับผู้ป่วยที่มีภาวะกลุ่มโรคหัวใจ เกิดจากการที่หัวใจมีรอยรั่วที่ผนัง และภาวะเหล่านี้จะทำให้เกิดลิ่มเลือดที่หัวใจหลุดออกไปยังหลอดเลือดสมอง โรคนี้จะเกิดขึ้นฉับพลันโดยไม่มีการแสดงอาการมาก่อน
3.       หลอดเลือดสมองแตก จะเกิดกับโรคความดันสูง และรุนแรง หรือขาดการควบคุมเป็นเวลานาน ๆ  ทำให้หลอดเลือดของสมองเปราะบาง และแตก ผู้ป่วยในสาเหตุนี้มักมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงซึ่งต่างจากสาเหตุอื่น จากนั้นจะมีอาการหมดสติ เมื่อรู้สึกตัวอาการโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตจะเกิดขึ้นทันที ซึ่งสาเหตุจะอันตรายกว่าสาเหตุอื่น ๆ ถ้ากระทบถูกสมองส่วนสำคัญอาจเกิดอันตรายจนถึงขึ้นเสียชีวิตทันที

สาเหตุที่เกิดขึ้นดังกล่าวที่กล่าวมาข้างต้น อาจจะป้องกันได้ หรือป้องกันไม่ได้ โดยการป้องกันที่ดีที่สุดคือการ รักษาหลอดเลือดสมอง ซึ่งสามารถทำได้โดยรักษาสุขภาพร่างกายให้สมบรูณ์ แข็งแรงอยู่สม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย ไม่สูบบุหรี่หรือ ดื่มแอลกอฮอล์จัด และควรตรวจสุขภาพเป็นประจำเป็นระยะ หากเป็นผู้ที่มีปัจจัยสุ่มเสี่ยงควรทำตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ก็สามารถดูแลหลอดเลือดสมองให้ปกติไม่อยู่ในสุ่มเสี่ยงในการเกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตที่เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวที่เราไม่อาจรู้ตัวได้


ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.doctor.or.th/article/detail/1785

อัมพฤกษ์
สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

มารู้วิธีการใช้ยาสามัญประจำบ้านให้ถูกต้อง




มารู้วิธีการใช้ยาสามัญประจำบ้านให้ถูกต้อง

การใช้ยาสามัญประจำบ้านให้ถูกต้องนั้น ผู้ที่จะใช้ยาควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้เพื่อให้ได้ผลในการรักษาเต็มที่และเกิดข้อเสียจากการใช้ยาให้น้อยที่สุด โดยมีหลักว่า จะต้องใช้ยาให้ถูกกับโรค ถูกกับบุคคล เช่นวัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ หญิงตั้งครรภ์  และใช้ยาให้ถูกเวลา ถูกวิธี ถูกขนาด ดังนี้

1.       ใช้ยาให้ถูกโรค ถูกขนาน  ก่อนใช้ยาบำบัด หรือเพื่อบรรเทาอาการที่เป็น ควรศึกษาก่อนว่า อาการนั้นเกิดจากสาเหตุใด และควรใช้ยาขนานใดให้ตรงกับการแก้ปัญหาหรือสาเหตุนั้น เช่น ปวดท้อง  ให้สังเกตว่าเป็นท้องผูก หรือท้องเสีย หรืออาหารไม่ย่อย การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการปวดท้องจากสาเหตุต่างๆ จะมีตัวยาไม่เหมือนกัน

2.       ใช้ยาให้ถูกกับบุคคล ร่างกายจะตอบสนองต่อยาในแต่ละบุคคลจะต่างกัน โดยเฉพาะต่างเพศหรือต่างวัย เด็กและคนชราจะตอบสนองต่อยาไวกว่าวัยกลางคน  บางชนิดใช้กับสตรี บางชนิดสตรีตั้งครรภ์และเด็กห้ามใช้ เช่น เตตราชัยคลีน เป็นต้น ดังนั้นไม่ควรนำยาของบุคคลหนึ่งมาใช้กับอีกบุคคลหนึ่งที่ต่างเพศต่างวัยกัน ควรรับประทานตามแพทย์แนะนำ

3.       ใช้ให้ถูกขนาด ให้ตรงกับขนาดที่ระบุเท่านั้น สำหรับการใช้ยาต้านจุลชีพ ไม่ว่าจะเป็นยาภายในหรือยาภายนอก จะต้องใช้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอจนกว่ายานั้นจะหมด ถ้าลืมรับประทานยา เมื่อนึกได้ให้รีบทานยาทันทีโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยา สำหรับยาน้ำ ควรใช้ช้อนตวงที่ให้มากับยาเท่านั้น

4.       ใช้ยาให้ถูกเวลา  ช่วงห่างของเวลา ควรมีระยะเท่าๆกัน ในแต่ละครั้ง อย่างเช่น ใช้ยาทุก 4 ชั่วโมง เพื่อให้ระดับยาในเลือดไม่ต่ำเกินไปคงที่ และ มีการกำหนดว่าเป็นยาก่อน หรือหลังอาหารด้วย

-  ยาก่อนอาหารต้องรับประทานยานั้นก่อนอาหาร 30 นาที  1 ชั่วโมง เพราะตอนท้องว่างจะช่วยในการดูดซึมยาผ่านผนังกระเพาะอาหารเข้าสู่เส้นเลือดได้ดี นอกจากนี้ยางบางประเภท เช่นยาปฏิชีวนะจะถูกทำลายได้ง่ายโดยน้ำย่อยอาหารที่หลั่งออกมาโดยอัตโนมัติ เมื่อเริ่มรับประทานอาหารเป็นต้น
-  ยาหลังอาหาร จะรับประทานยานั้นภายหลังการรับประทานอาหารไปแล้วทันที หรือ ผ่านไป 15 นาทีก็ได้  แต่ถ้ามีการระบุว่ารับประทานทันที ก็ต้องรับประทานทันที เพราะยานั้นมีฤทธิ์กันกร่อนหนังกระเพาะ ซึ่งจำเป็นต้องใช้อาหารเป็นเกราะกำบังไว้มิให้ยาสัมผัสผนังโดยตรง
-   ยาหลังอาหาร 1-2 ชั่วโมง  เช่นยาเคลือบผนังกระเพาะอาหารหรือยาลดกรด เพื่อรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ควรรับประทานหลังอาหารไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง หรือก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง เพื่อให้ยาทำตามหน้าที่ได้อย่างเต็มที่โดยไม่ให้มีอาหารเป็นเครื่องกีดขวาง
-   ยาระบายแก้ท้องผูก ยานั้นจะต้องออกฤทธิ์หลังจากรับประทานเข้าไปแล้วประมาณ 6-8 ชั่วโมง ดังนั้นหากต้องการให้เกิดการถ่ายในตอนเช้า จะต้องรับประทานยาก่อนนอน
-   การรับประทานยาแก้อาเจียน แก้ปวดท้อง ให้รับประทานก่อนอาหารประมาณ 20-30 นาที เพื่อมิให้เกิดอาการ เมื่อเริ่มทานอาหารเข้าไป

-   ยาขับปัสสาวะ มักใช้กับผู้ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง เพื่อลดปริมาณน้ำในร่างกาย จะมีผลให้ความดันโลหิตลดลง นิยมทานยาในมื้อเช้าหรือกลางวันเท่านั้น เนื่องจากทานในมื้อเย็นจะทำให้คนไข้ต้องลุกมากลางดึกเพื่อปัสสาวะ
จากหนังสือ คู่มือการตรวจโรคด้วยตนเองเบื้องต้น 



บทความ
สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

มีอาการปวดคอทุกวันหลังเลิกงานเกิดจากอะไร




มีอาการปวดคอทุกวันหลังเลิกงานเกิดจากอะไร
          ปวดคอทุกวันคนอะไรจะปวดได้ทุกวันขนาดนั้น แต่มันก็เป็นไปได้หากทำงานที่ต้องเกร็งคอนาน ๆ หรอทำอะไรนาน ๆ กับ โดยเฉพาะคุณเป็นคนทำงานบริษัทหรือเป็นหนุ่มสาวออฟฟิตจะปฏิเสธอาการปวดเมื่อยคอไปไม่ได้เลย ก็อาจจะพาทราบกันอยู่แล้วว่าสาเหตุของการปวดคอนั้นมาจากอะไรหลังจากเลิกงานมาต้องบ่นเมื่อยหาคนมานวดให้ทายาให้หรือนอนหลับเป็นตายไปเลย

สาเหตุของอาการปวดคอหลังเลิกงาน

  •       นั่งทำงานมาทั้งวันหน้าคอม อย่างน้อย ๆ ก็ 8 ชั่วโมงถือว่านานมากสำหรับการทำอะไรเดิม ๆ หรืออยู่ในท่าเดิมทั้งวัน ปวดไหล่ ปวดคอ ปวดหลัง ปวดได้หมดทุกอย่าง สิ่งนี้คือสาเหตุหลักเลย
  • .      ก้มนานตั้งหน้าตั้งตาทำงานมากจนเมื่อยคอเลย สังเกตไหมเวลาที่ทำงานอยู่หน้าคอมฯ เราจะตั้งใจทำกันมากเพื่อให้งานเสร็จทันเวลาที่กำหนด พอแหงนหน้าขึ้นมาอีกทีก็แทบเคล็ดเลย
  • .      เกร็งคอก็เป็นเพราะการนั่งทำงานอีกเหมือนเดิมเพราะว่าเวลาที่เราเกร็งนั้นอาจจะไม่รู้ตัว ตื่นเต้น งานเร่ง งานด่วน ทำให้เราต้องรีบกว่าจะคลายตัวออกมาแบบสบาย ๆ ก็เส้นยึดหมดแล้ว
          สาเหตุหลัก ๆ จากคนที่ทำงานออฟฟิตที่ทำให้มีอาการปวดคอก็มีเท่านี้ ยกเว้นแต่ว่าจะปวดเพราะอย่างอื่นเช่นได้ประสบอุบัติเหตุและได้รับการกระทบกระเทือนมาถึงส่วนของลำคอหรือไม่ก็เป็นอุบัติเหตุเกี่ยวกับคอโดยตรง ถ้าแบบนี้อาจจะแย่สักหน่อยเพราะว่าคอคงปวดน่าดูและต้องใช้เวลานานสำหรับการรักษาให้คอกลับมาเป็นปกติ ถ้าจะถามถึงวิธีการรักษาเวลาที่ปวดคอแบบดีที่สุดก็คงจะไม่พ้นการไปหาหมอยังไงมันก็ดีกว่าจะรักษาเอง ถ้ารักษาอาการปวดคอด้วยตัวเองก็ทำได้ เช่น
  •     ซื้อยามาทา หรือจะเป็นยากินก็ได้ ถ้าไม่ได้ปวดมาก 
  •     นวดคลายเส้น จะเข้าไปร้านนวดหรือจะเป็นนวดเองเลยก็ได้เพราะแค่ตรงบริเวณคอถ้านวดเป็นก็นวดเองเลย
  •    พักผ่อน การพักผ่อนให้พักพอก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้หายปวดคอได้โดยเฉพาะการนอนคอจะได้หยุดการใช้งานไปอย่างน้อยก็ 5 – 8 ชั่วโมง
       หากตอนนี้คุณปวดคออยู่ไม่จำเป็นจะต้องมองหาสาเหตุหรือจะมองหาก็ได้ รีบหาวิธีการรักษาดีกว่าจะหากรู้สาเหตุเราก็ควรเลี่ยงสิ่งที่นั้นเพราะหากยังทำอยู่แบบเดิมยังไงอาการปวดคอก็จะไม่หายไปอยู่ดี ฉะนั้นแล้วหากเป็นคนนั่งทำงานนาน ๆก็ออกมาเดินยืดเส้นยืดสายบ้านให้ได้พักทุกส่วนค่อยกลับไปทำงานต่อ


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อาการปวดหลังกับการนั่งไม่ถูกท่า




อาการปวดหลังกับการนั่งไม่ถูกท่า
             เคยปวดหลังหรือไม่ปวดเวลาที่นั่งทำงานเวลานาน ๆ โดยเฉพาะพนักงานบริษัทที่จะต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมบนเก้าอี้ตัวเดิมอยู่ทั้งวันและทุกวันๆ ละ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ยิ่งถ้าหากมีโอทีจะยิ่งต้องนั่งต่อไปอีกยาวเลย  การนั่งนั้นสำคัญหากเรานั่งไม่ถูกจะทำให้กระดูกสันหลังผิดเพี้ยนแก่ตัวมาจะทำให้หลังค่อมได้ หรือไม่ต้องรอให้ถึงตอนแก่หลังก็เริ่มปวดแล้วหรือหมอนรองกระดูกอาจจะเริ่มมีปัญหาตั้งแต่วัยกลางคนเลยก็ได้

นั่งอย่างไรถึงจะไม่ปวดหลัง
          การนั่งที่ถูกท่าและป้องกันการปวดหลังได้มากที่สุดจะเป็นการนั่งแบบหลังตรง ปกติเวลาที่คนเราจะนั่งมักจะนั่งหลังงอหลังค่อมโดยไม่รู้ตัว ทำให้ปวดหลังได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งเก้าอี้ นั่งบนพื้น นั่งเรียน นั่งทำอะไรก็ตามถ้าไม่ได้เป็นกิจกรรมบังคับว่าจะต้องนั่งหลังงอก็ต้องทำให้หลังตรงอยู่ตลอดเวลาให้ได้ สำหรับคนที่ฝึกการนั่งให้หลังตรงครั้งแรกอาจจะเหนื่อยหน่อยเพราะว่าไม่ชิน หรืออาจจะเมื่อยเพราะว่าฝึกหลังตรงแต่มันก็แค่เมื่อยจากการฝึกแต่มันไม่ได้เกิดอาการปวดหลังแต่อย่างใด หากเรานั่งหลังตรงจนเป็นปกติแล้วเราก็จะลืมไปเลยว่าเรานั่นฝึกอยู่นั่งทุกที่หลังจะตรงเองโดยไม่ต้องสั่งการซ้ำเลย 

 วิธีรักษาอาการปวดหลัง
  •        นอนพัก   นอนหงายให้หลังราบกับพื้นจะได้ให้หลังได้พักจากการนั่งนาน ๆ
  •        นวด เป็นการนวดหลังให้คลายกล้ามเนื้อส่วนหลัง แต่ก็ต้องนวดให้ถูกวิธีด้วยนะ
  •        ทายาคลายเส้น  หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปจากนั้นก็ให้ทาบาง ๆ นวดเบา ๆ พอให้ตัวยาซึมเข้าผิวหนัง
  •       พบหมอ    ปวดหลังมาก ๆ หากแก้ยังไงก็ไม่หายอาจจะไม่ใช่แค่การปวดหลังธรรมดาก็ได้ไปหาหมอเพื่อจะได้ตรวจดูอาการที่แท้จริงจากนั้นค่อยหาทางรักษาต่อไป


               การพบแพทย์อาจจะเป็นทางออกที่ดีแต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะดีที่สุด หากเป็นแค่การปวดหลังธรรมดา ๆ ก็รักษาเองได้ ทานยา ทายา นวด พักผ่อน เปลี่ยนอิริยาบถบ้างมันก็จะหายและรู้จักวิธีการป้องกันไม่ให้หลังนั้นทำงานหนักโค้งงอผิดรู้ด้วย โดยเฉพาะการนั่งหากทำได้ต้องพยายามนั่งให้หลังตรงที่สุดจะเป็นการดีต่อสุขภาพและที่สำคัญการนั่งหลังตรงนั้นทำให้เป็นคนที่มีบุคลิกภาพดีอีกด้วย สร้างความมีเสน่ห์และน่าเชื่อถือให้กับตัวเองได้เป็นอย่างดี หันมาดูแลสุขภาพกันเถอะเพื่อจะได้สนุกกับการใช้ชีวิตในวันข้างหน้าให้ยาวไกล


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อาการปวดเข่ากับเด็กเกิดขึ้นได้น้อยจริงหรือไม่



อาการปวดเข่ากับเด็กเกิดขึ้นได้น้อยจริงหรือไม่
           เด็ก ๆ จะมีสุขภาพที่แข็งแรงหากว่าไม่ได้เจ็บป่วยเป็นโรคอะไรตั้งแต่กำเนิด อาการปวดเข่ากับเด็กใครว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้เกิดได้หมดแต่อาจจะไม่เหมือนกับผู้ใหญ่เพราะว่าเด็กๆ ยังคงแข็งแรงอยู่และไม่ได้ใช้งานร่างกายมากมาย ไม่มีการยกของหนัก ไม่มีการใช้กำลังขากำลังเข่าที่หนักจำต้องทำให้เกิดอาการปวดข้อเข่าได้แต่ว่ามันก็มีนะที่เด็กจะปวดเข่าและยิ่งถ้าเป็นวัยกำลังซนจะยิ่งต้องดูแลอย่างดีเป็นพิเศษ เด็ก ๆ ปวดเข่าได้อย่างไร

สาเหตุที่ทำให้เด็กปวดเข่า
  • 1.     วิ่งเล่นเป็นเวลานาน ๆ สนุกสนานจนลืมว่าตัวเองเหนื่อย
  • 2.      นอนหลับท่าที่ทับขาและพับข้อเข่าเป็นเวลานานจนลืมพลิกตัวเปลี่ยนท่านอน
  • 3.      นั่งเล่นกับท่านั่งไม่ถูกต้อง ห่วงเล่นแต่ไม่สนใจท่านั่ง
  • 4.      พลิกล็อค กับอิริยาบถผิดท่า
  • 5.      เด็กถือของหนักเกินไป
  • 6.      อุบัติเหตุ หกล้ม ฯลฯ

          แม้จะเป็นเด็กก็ไม่ได้จะแข็งแรงไปทุกส่วนเป็นเด็กก็ปวดเข่าได้เหมือนกันนะ แต่เราจะห้ามเด็ก ๆ ไม่ให้เล่นก็คงไม่ได้ ห้ามไม่ให้นั่งก็คงไม่ได้ และเราก็ไม่มีทางรู้ด้วยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ บ้างที่เป็นอันตรายมาก ๆ หรืออันตรายขั้นต้องปวดข้อเข่า ผู้ปกครองจะต้องเอาใจใส่บุตรหลานของตนเองให้ดี ระวังพยายามอย่าให้เล่นอะไรที่หนักและรุนแรง ระวังอย่าให้เด็ก ๆ ไปเล่นในสถานที่ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายขึ้น จะต้องเล่นให้อยู่ในขอบเขตที่ปลอดภัยและถ้าเป็นไปได้ควรจะอยู่ในระยะสายตาของผู้ปกครองด้วย

         ถ้าหากเด็ก ๆ มีอาการปวดเข่าที่ไม่ได้เป็นแผลให้เรามองเห็นบางทีก็บอกอาการให้รู้ได้ยากว่าปวดแบบไหน ไปโดนอะไรมาทำไมถึงปวด ปวดนานหรือยัง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ล้วนไม่ใช่ของง่าย ถ้าจะให้ดีคือระวังอย่าให้เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นจนต้องทำให้เด็ก ๆ ต้องปวดข้อเข่าเลยคงจะทรมานและเจ็บปวดมาก ๆ เพราะว่าเด็กนั้นห้ามความรู้สึกยากมากถ้าเจ็บก็จะทำอะไรไม่ได้เลยจะร้องไห้อย่างเดียว

       อย่าลืมดูแลบุตรหลานในความดูแลของท่านอย่างใกล้ชิดเพื่อให้พวกเขาได้เล่นอย่างสนุกสนานและไม่อันตราย ไม่ต้องกลัวว่าจะปวดเข่า ปวดแขน ปวดตัว ปวดทุกอย่าง หากรู้จักเลือกสถานที่ในการเล่นให้เด็ก ๆ ได้ปลอดภัยดีแล้ว ที่เหลือก็ต้องบอกให้เล่นด้วยความระมัดระวังและคอยช่วยเหลือและมองดูความสนุกของพวกเขาอยู่ใกล้ ๆ แต่ไม่เป็นที่เกะกะการเล่นของพวกเขาเท่านี้เด็ก ๆ ก็ลดความเสี่ยงอันตรายว่าจะปวดเข่าลงได้แล้ว

ปวดเข่า
สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน