disable right click

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

เรียนรู้และรับมือกับอาการเจ็บปวดอย่างได้ผล



เรียนรู้และรับมือกับอาการเจ็บปวดอย่างได้ผล
         ความเจ็บปวดหลายอย่างภายในร่างกายของเรานั้น  ไม่ใช่เรื่องอันตรายหรือน่ากลัวแต่อย่างใดทั้งนั้น เนื่องจากความเจ็บปวดเป็นสื่อกลางแทนการแสดงออกของร่างกายเพื่อให้เราทราบถึงความผิดปกติภายในร่างกายของตัวเองได้ อีกทั้งอาการปวดนั้นยังสามารถช่วยป้องกันเราจากการบาดเจ็บที่ร้ายแรงมากกว่าเดิมอีกด้วย อาทิ เมื่อเราเอานิ้วไปจ่อเหนือเปลวเทียนเราจะรู้สึกได้ถึงไอความร้อนที่เข้ามาสัมผัส ความร้อนจะกระตุ้นให้เรารีบชักมือกลับทันที โดยทั่วไปแล้วอาการเจ็บปวดจะหายไปทันทีหลังจากที่อาการบาดเจ็บนั้นหายไปหรือได้รับการรักษาอย่างถูกต้องแล้วเท่านั้น แต่ในบางรายอาการเจ็บปวดอาจจะหาสาเหตุไม่พบจึงต้องเจ็บปวดอยู่เป็นเดือนๆ หรือเป็นปี อย่างไรก็ตามด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ทำให้หลายคนเกิดความรู้และความเข้าใจที่จะรับมือกับอาการเจ็บปวดได้ดีขึ้น เรามาทำความรู้จักกับอาการเจ็บปวดแต่ละแบบกันเลยดีกว่า


1.      ทำความรู้จักและทำความเข้าใจในอาการปวด
            อาการเจ็บปวดในบางครั้งเป็นเรื่องของร่างกายโดยแท้จริง เพราะในบางครั้งเมื่อเกิดการเจ็บปวดขึ้นแล้วไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉันตรวจหาสาเหตุ แต่หลายครั้งแพทย์ก็ไม่สามารถค้นหาสาเหตุของอาการเจ็บปวดหรือระบุได้ว่าเกิดขึ้นมาจากอะไร แม้จะทำการวินิจฉัยดูหลายครั้งแล้วก็ตาม ทั้งนี้เนื่องจากอาการเจ็บปวดนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคลเท่านั้น อาจเกิดจากความไม่สบายภายในร่างกายเองหรือจากอารมณ์ความเครียดต่างๆ ก็สามารถสร้างความเจ็บปวดให้เกิดขึ้นกับร่างกายได้ทังนั้น ฉะนั้นการทำความเข้าใจในเรื่องอาการปวดจึงถือเป็นเรื่องสำคัญมาก อันจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับมือกับอาการเจ็บปวดได้ดีขึ้น


2.      อาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเฉียบพลันและเรื้อรัง
           อาการเจ็บปวดในบางครั้งจะเกิดขึ้นมากหรือน้อยนั้นอยู่ที่อาการของผู้ป่วยเป็นสำคัญ แต่ในบางครั้งแล้วการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอาจจะหายไปในเวลาอันสั้น หรือจะค่อยๆหายจากอาการเจ็บปวดเมื่อได้รับการรักษาอาการบาดเจ็บไปแล้วเท่านั้น ซึ่งเป็นความเจ็บปวดแบบเฉียบพลันเท่านั้น แต่ทว่ายังมีอาการเจ็บปวดแบบหนึ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่า นั่นคืออาการเจ็บปวดแบบเรื้อรัง ซึ่งจะคงความเจ็บปวดเอาไว้เป็นเวลานานแม้จะได้รับการรักษาไปบ้างแล้วก็ตาม อีกทั้งความเจ็บปวดนั้นยังสร้างความรำคาญแก่ผู้ป่วยเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น กล้ามเนื้อบริเวณที่เจ็บตึง อ่อนแรง ปวดร้าวมาก ส่วนอาการปวดหัวไมเกรน ปวดหลัง หรืออาการปวดข้อเนื่องขากไขข้ออักเสบนั้นจัดว่าเป็นอาการปวดชนิดเรื้อรังทั้งนั้น


          ลักษณะความเจ็บปวดเกิดมาจากเส้นประสาทที่ทำหน้าที่รับความรู้สึกเกิดความผิดปกติหรือถูกทำลายซึ่งสามารถส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดตามมาอีกมากมาย อีกทั้งอาการป่วยบางอย่างเช่นโรคมะเร็งก็สามารถทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้ ซึ่งผู้ป่วยหลายรายจะมีความไวต่อความเจ็บปวดมากกว่าปกติ ดังนั้นจึงควรรับมือกับอาการเจ็บปวดให้ได้ และผู้ป่วยต้องทราบถึงวิธีการควบคุมอาการเจ็บปวดเหล่านั้นด้วย  

ขอบคุณข้อมูลจาก bumrungrad.com/th/betterhealth/2550/aches-and-pains/pain-management 

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560

ลักษณะอาการผิดปกติของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อของมนุษย์



ลักษณะอาการผิดปกติของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อของมนุษย์

     มีความเป็นไปได้หลายอย่างสำหรับการผิดปกติในร่างกายของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกระดูกและกล้ามเนื้อ เพราะว่าได้รับการกระทบกระเทือนจากสิ่งต่าง ๆ แล้วพอเสียหายหรือผิดปกติก็อาจจะรักษายาก วันนี้เรามาทำความเข้าใจกันว่า ทั้งสองอย่างที่กล่าวมานั้นจะมีการเคลื่อนตัว ผิดรูป หรือได้รับบาดเจ็บจนผิดปกติได้อย่างไรบ้าง เป็นเนื้อหาในเบื้องต้นเท่านั้น เราจะยังไม่พูดถึงขั้นตอนการรักษาใด ๆ เพื่อความง่ายในการอ่านบทความนี้ แบบไหนกันนะ ที่เรียกว่าผิดปกติ สำหรับกระดูกและกล้ามเนื้อเราอาจจะรู้สึกได้เร็วกว่าส่วนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในร่างกายเพราะว่ามีเส้นประสาทอยู่ทั่วไปหมดเลย


อาการผิดปกติที่พบในระบบกล้ามเนื้อและกระดูกคนเรา
        เราจะพบเห็นกันทั่วไปเลยหรือบางคนอาจจะเคยประสบถึงความผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อด้วยตัวเองเลยก็มี โดยจะเป็นอาการปวดกล้ามเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อส่วนไหนของร่างกายก็ปวดได้หมด ปวดกระดูก กระดูกสันหลัง ตามส่วนข้อต่าง ๆ ที่สำคัญ ซึ่งอาการปวดเหล่านั้นอาจจะเกิดมาเพราะความผิดปกของร่างกายมาตั้งแต่แรก หรือบางคนก็ได้มาเพราะเกิดอุบัติเหตุจากกิจกรรมต่าง ๆ  ในส่วนที่เป็นกระดูกนั้นสามารถ แตก เคลื่อน หัก เปราะ ได้ง่าย เคล็ดขัดยอกก็ยังถือว่าเป็นอาการผิดปกติเช่นเดิมกัน  ในส่วนของกล้ามเนื้ออาการก็จะมี อักเสบ ฉีก ขาด ตึง ขัดยอก ประมาณนั้น ส่วนใหญ่แล้วทั้งสองส่วนมากจะมีอาการมาพร้อม ๆ กัน เพราะว่าทั้งกล้ามเนื้อและกระดูกทำงานอยู่ใกล้ ๆ กันแทบทุกส่วนในร่างกายเลย แต่ว่าก็ยังมีอีกส่วนที่จะผิดปกติไปด้วยคือ “เส้นเอ็น” แน่นอนว่าจะเป็นการ ขาด ตึง ฉีก หรืออื่น ๆ ก็ตาม แต่เมื่อรู้ตัวว่ากำลังได้รับการบาดเจ็บอยู่หรือปวดส่วนไหนก็ควรรีบพบแพทย์ในทันทีเลย เพื่อที่จะได้รักษาอย่างถูกต้องและทันเวลา


       ทุกวันนี้คนเราไม่ค่อยดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองบ้างเลย มัวแต่ทำงานหนัก เพื่อหาเงินมากเกินไป บ้างก็เที่ยวเล่นสังสรรค์มากเกินไปจนร่างกายเสื่อมโทรม และบางครั้งเมื่อร่างกายอ่อนเพลียก็ยังส่งผลกระทบไปทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะการขับรถที่เราเห็นเกิดอุบัติเหตุกันบ่อยครั้งทุก ๆ ที่เลย เมื่อมันเกิดแล้วบางกรณีก็รักษาหายได้ ทำกายภาพบำบัดแล้วก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแต่บางรายก็ต้องสูญเสียบางส่วนของร่างกายไป และยิ่งกว่านั้นก็อาจจะต้องเสียคนที่ตัวเองรัก หนักกว่านั้นก็ต้องเสียชีวิตของตัวเองเลย


       แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากจะได้รับบาดเจ็บจากอะไรก็ตาม แม้กระทั่งการเจ็บ ปวด กล้ามเนื้อ กระดูกที่ไม่ได้รุนแรงก็ไม่มีใครอยากจะเป็น เพราะเวลาเป็นแล้วเราจะสูญเสียตัวตนของเราไป จะทรมานเพราะเจ็บปวด จะทำอะไรต่าง ๆ ตามที่หวังไม่เต็มที่ ฉะนั้นแล้ววันนี้หันมาดูแลตัวเองให้ดูดีตลอด ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังให้มากขึ้น จะเลือกทานอะไร ดื่มอะไร ก็ให้พอดีและเป็นสิ่งที่มีประโยชน์พร้อมทั้งอย่าลืมพักผ่อนให้พอ

ขอบคุณข้อมูลจาก
www.bumrungrad.com/th/rehabilitation-clinic-sathorn/conditions/bone-muscles

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560

อาการปวดเพราะเป็นผังผืดส้นเท้าอักเสบอันตรายมากแค่ไหน




อาการปวดเพราะเป็นผังผืดส้นเท้าอักเสบอันตรายมากแค่ไหน ?
            คนเราป่วยได้ง่ายมากแม้ว่าบางคนจะบอกว่าตัวเองแข็งแรงมากแค่ไหนก็ตาม แต่หากว่าเผลอไม่ดูแลตัวเองขึ้นมาเมื่อไหร่การเจ็บป่วยยิ่งถามหาเข้ามาได้เร็วมาก อีกโรคหนึ่งที่น่ากลัวสำหรับคนทำงานนั่นคือเป็นผังผืดส้นเท้าอักเสบ  แต่ระดับความอันตรายก็ไม่ถึงกับร้ายแรงอะไรเพียงแต่พอมันเจ็บแล้วจะทรมานเวลาที่ย่ำเท้าเดิน เช็คอาการได้ง่าย ๆ ว่าเราเป็นโรคนี้หรือไม่สังเกตตัวเองในตอนที่ตื่นนอนตอนเช้า จากนั้นหากจะเดินย่ำเท้าลงพื้นในก้าวแรก ก้าวสอง เจ็บจี๊ด ๆ ใช่แน่นอน อาการของโรคผังผืดส้นเท้าอักเสบมาเยือนแล้ว

            สำหรับคนที่เป็นโรคนี้แม้ว่ามันจะไม่รุนแรงแต่มันก็ไม่ได้รู้สึกดีเลยในเวลาที่ปวด เพราะว่าโรคนี้มันเป็นแบบเรื้อรังได้ง่าย ๆ เลย เวลาที่รู้สึกเจ็บขึ้นมาให้นักพักประมาณ 3 -5 นาที อาการจะดีขึ้นค่อยใช้งานเท้าเดินได้แบบปกติ โรคนี้มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษเขียนว่า PLANTAR FASCIITIS จะเรียกว่าเป็นศัพท์ของทางการแพทย์เขาใช้กันก็ได้ คนปกติทั่วไปก็อาจจะเรียกว่าส้นเท้าอักเสบธรรมดา

เพราะเหตุใดถึงเป็นผังผืดส้นเท้าอักเสบได้
          แน่นอนว่ามันมีสาเหตุของมันอยู่ ตรงบริเวณส้นเท้าของเรานั้นจะเป็นจุดรวมกันเป็นผังผืดซึ่งตรงนั้นจะรองรับน้ำหนักของตัวเรากับพื้นที่เดินก็คือ รองกันกระแทกนั่นเอง ระหว่างกระดูกของส้นเท้ากับพื้น ทำให้เราเดินแล้วกระดูกไม่สะเทือนไม่ออกมาทิ่มพื้น แต่ว่าพอเราเดินมาก ๆ หรือใช้ส้นเท้ามาก ๆ เข้าผังผืดตรงบริเวณนั้นจะเริ่มทนแรงกระแทกและน้ำหนักไม่ไหว จึงทำให้เกิดการอักเสบขึ้นมานั่นเอง

สิ่งที่จะทำให้เกิดเป็นผังผืดตรงบริเวณส้นเท้าอักเสบได้นั้นมักจะมาจากสาเหตุเหล่านี้
-          - คนอ้วนน้ำหนักตัวมากเกินไป การถ่วงน้ำหนักมีการใช้แรงกดลงส้นเท้ามากไป
-          - ยกของหนัก
-          - การวิ่ง
-          - การเต้น
-          - การเดินขึ้นหรือลงบันได
-          - การยืนเป็นเวลานาน
      โดยอิริยาบถเหล่านี้อาจจะเป็นกิจกรรมที่ทำเป็นปกติแต่ว่าหากทำนานเกินไปก็เป็นอันตรายได้ จึงไม่ค่อยมีใครชอบการยืนนาน ๆ การวิ่งนาน ๆ วิ่งผิดท่วงท่า การยกของหนักเกินกำลัง แต่นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดเป็นผังผืดส้นเท้าอีกเสบได้อีก เกิดจากบริเวณน่องนั้นกล้ามเนื้อส่วนของเอ็นร้อยหวายนั้นไม่มีความยืดหยุ่นได้อย่างที่ควรจะเป็น จึงส่งผลให้กระทบมาถึงส้นเท้าได้เหมือนกัน และยังมีลักษณะของส้นเท้าที่ไม่ปกติ รวมไปถึงการสวมรองเท้าที่ไม่สบายเท้าเลย โดยเฉพาะสุภาพสตรีที่ชอบการใส่รองเท้าส้นสูง หรือคนที่สวมรองเท้าไม่ได้มาตรฐานไม่เหมาะกับเท้า บางมากไป หนามากไป หาความพอดีไม่ได้เลยก็เป็นสาเหตุได้เหมือนกัน ซ้ำท้ายคนที่เป็นเบาหวานก็ยังเป็นโรคนี้บ่อยมากด้วย

ลักษณะอาการ
        อาการของคนที่เป็นผังผืดส้นเท้าอักเสบจะรู้สึกเจ็บเหมือนกับโดนหนามทิ่มแทง หรือเอาเข็มมาจิ้มลงที่ปลายส้นเท้าจนทำให้เดินต่อไปไม่ได้จะต้องหยุดพักก่อน  อาการปวดจะไม่ได้พบเฉพาะเวลาที่ตื่นนอนตอนเช้าเพียงเท่านั้นเวลาที่เดินบริเวณอื่นก็อาจจะพบได้เหมือนกัน เช่น เวลาที่ต้องขึ้น – ลง บันไดต่าง ๆ การใช้ปลายเท้าในการยืน หรือแม้กระทั่งเวลาที่นั่งอยู่แล้วจะลุกขึ้นเพื่อเดินก็เจ็บได้เหมือนกัน
          ความรู้สึกปวดของโรคนี้มีทั้งแบบเฉียบพลันและแบบค่อย ๆ เป็น แล้วแต่ความรุนแรงของแต่ละคนไป หากจะถามหาว่าไปโดนอะไรมาถึงทำให้ปวดก็อาจจะตอบยากเพราะว่าส่วนใหญ่มันจะปวดตอนที่ไม่มีอะไรมากระตุ้นเลย หรือหลังจากนั้นมาแล้ว

         อย่างไรก็ตามผู้ป่วยโรคนี้สามารถเข้าปรึกษาแพทย์ได้แต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้มันปวดไปมากกว่าเดิม แม้ว่ามันจะหายยากเพราะว่าเป็นโรคที่ค่อนข้างจะเรื้อรัง การดูแลรักษาสุขภาพร่างกายเป็นอย่างดีนั้นเป็นสิ่งที่เราควรกระทำ ไม่ว่าจะป่วยหรือยังไม่ป่วยก็ตามอย่ารอให้ตัวเองเป็นอะไรไปเสียก่อน สำหรับใครที่เป็นโรคนี้แล้ว ก็ไม่ต้องคิดมากไปเพราะไม่ได้ร้ายแรง คุณยังคงใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมปกติทุกอย่างอยู่แล้ว 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.doctor.or.th/article/detail/11950

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2560

การดูแลรักษาโรคเอ็นกล้ามเนื้อหัวไหล่ถูกหนีบเป็นอย่างไร



การดูแลรักษาโรคเอ็นกล้ามเนื้อหัวไหล่ถูกหนีบเป็นอย่างไร
            สำหรับผู้ป่วยโรคนี้การทำงานโดยใช้กล้ามเนื้อส่วนของต้นแขนและหัวไหล่อาจจะต้องลำบากกันสักหน่อย จากที่ทราบกันอยู่แล้วจากบทความก่อนนี้ที่กล่าวถึงว่าสาเหตุของการเกิดโรคนี้ส่วนใหญ่มาจากการยกแขนขึ้นสูงกว่าหัวไหล่และยกขึ้นสูงกว่าศีรษะตัวเอง และยิ่งคนที่ต้องยกบ่อย ๆ มีโอกาสที่จะเป็นได้ง่ายกว่า ที่เอ็นกล้ามเนื้อโดนหนีบก็เพราะว่าเส้นเอ็นของเราเวลาที่ยกแขนขึ้นสูงนั้นจะไปเสียดเข้ากับสะบัก พอยกของน้ำหนักมาก ๆ จากนั้นกระดูกสะบักมันจะผิดรูปและไปหนีบกล้ามเนื้อ

คนทำงานอะไรบ้างที่เสี่ยงเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวไหล่โดนหนีบ
·         นักกีฬา มีหลายประเภทเช่นกันที่จะต้องใช้แขนและมีการยกขึ้นเหนือหัวไหล่และศีรษะ ไม่ว่าจะเป็น กีฬาว่ายน้ำ กีฬาโหน และอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงจำพวกที่ต้องใช้แขนอย่างเทนนิส แบตมินตัน วอลเล่ย์บอล บาสเก็ตบอล เพราะว่าจะมีการใช้แรงช่วงแขนและหัวไหล่อย่างหนักพอสมควร เส้นเอ็นและกระดูก

·         พนักงานบริการบนเครื่องบิน เพราะว่าส่วนใหญ่อาจจะได้ยกกระเป๋า สิ่งของหนัก ๆ ขึ้นที่สูงให้กับลูกค้า และพนักงานส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงที่ตัวเล็ก ๆ กำลังแขนน้อยมาก ทำให้ต้องใช้กำลังแขนและกล้ามเนื้อหัวไหล่จำนวนมาก จึงทำให้ปวดได้

·         ทำงานบ้านและโรงงาน การยกของหนักเกิดขึ้นได้อยู่บ่อยครั้งตามประเภทงานของแต่ละคน การทำงานบ้านบางครั้งเราก็จะได้ยกของขึ้นไปเก็บบนที่สูง หรือยกจากที่สูงลงมาการทำงานในอุตสาหกรรมโรงงานก็เช่นเดียวกัน แบบนี้กระดูกสะบักก็ไปหนีบกล้ามเนื้อได้ง่าย

วิธีการรักษาโรคเอ็นกล้ามเนื้อหัวไหล่ถูกบีบ

          ขั้นตอนในการรักษาผู้ป่วยแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไปแล้วใครเป็นมากน้อยมากแค่ไหน ในช่วงแรกที่กำลังปวดไม่มากอยู่นั้นใช้การประคบเย็นเข้ามาช่วย แต่ก็ต้องทำไปพร้อมกับการหยุดใช้งานกล้ามเนื้อแขน และหัวไหล่ไปก่อน เพราะจะได้เป็นการพักส่วนนั้น ๆ ไม่ให้อาการปวดมากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้าหากว่ายังมีอาการปวดอยู่หลังจากที่พักและประคบเย็นแล้ว ต้องไปพบแพทย์โดยทันทีเพื่อหาทางการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
        การรักษาของทางแพทย์นั้นเริ่มแรกอาจจะเป็นการให้ยาไปรับประทานก่อน เป็นการลดการอักเสบของกล้ามเนื้อแขนและหัวไหล่ หากยังไม่ดีขึ้นขั้นต่อมาจะเป็นการฉีดยาระงับอาการปวดและพักการใช้งานต้นแขนจนกว่าจะดีขึ้น แต่หากปวดมาก ๆ เพราะกล้ามเนื้อหัวไหล่ฉีกแล้วอาจจะต้องมีการผ่าตัดรักษาจากการส่องกล้อง ทำให้กระดูกได้รับการเสียดสีน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และช่วยคลายการโดนหนีบของกล้ามเนื้อด้วย

จะยกของขึ้น – ลง ที่สูงอย่างไรถึงจะถูกวิธี
         ที่เราต้องยกแขนขึ้นสูงสาเหตุส่วนมากก็เพราะจะต้องมีการยกของอะไรสักอย่างอยู่เป็นประจำ ซึ่งวิธีการยกของที่ถูกต้องมีหลักการดังต่อไปนี้
1.      ให้ลองยกดูก่อนว่าเราจะยกคนเดียวได้หรือไม่หากหนักเกินกว่ากำลังไม่ต้องฝืนต้องรีบหาคนมาช่วยยกทันที และผู้ที่ยกจะต้องให้ตัวเองอยู่ชิดกับของมากกว่าใครจากนั้นให้ทำหลังตรง ๆ อย่าเอียงไปทางอื่น
2.      หากต้องยกระยะไกลและของมีน้ำหนักมากให้พักการยกเป็นระยะเพื่อให้กล้ามเนื้อพัก หรือหากของหนักจากที่สูงก็ให้ค่อย ๆ เลื่อนทีละน้อยมาพักตรงบริเวณขอบของชั้นที่จะยกลงมาก่อนจากนั้นก็ดึงเข้ามาหาตัวเอง
3.       เวลาที่ยกของหลาย ๆ คน อย่าลืมมีการส่งสัญญาณเพื่อให้ยกพร้อมกันได้อย่างพร้อมเพรียงกัน ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุระหว่างการยกด้วย
             การยกของไม่ว่าจะขึ้นหรือลงควรทำให้ถูกวิธีและระมัดระวังที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวไหล่โดนหนีบโดยถึงอุบัติเหตุอื่น ๆ ด้วย แต่การยกแขนในกรณีอื่น ๆ ที่เลี่ยงไม่ได้ทำเป็นปกติประจำอยู่แล้วนั้น ทำได้ดีที่สุดคือการพักกล้ามเนื้อเพื่อให้มีร่างกายไว้ใช้งานกันได้นานขึ้น 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.doctor.or.th/article/detail/1101

ปวดไหล่

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2560

การทำงานที่ต้องยกแขนขึ้นสูง อาจทำให้เอ็นหัวไหล่ถูกหนีบได้




การทำงานที่ต้องยกแขนขึ้นสูง อาจทำให้เอ็นหัวไหล่ถูกหนีบได้
         เอ็นกล้ามเนื้อไหล่ถูกหนีบ (Impingement Syndrome) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับคนที่ต้องทำงานใช้แรงแขนอย่างหนักและต้องมีการยกให้ขึ้นสูงกว่าไหล่ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่นั้นอักเสบได้ง่าย ๆ จะมีอาการปวดแบบร้าวตามมาด้วย ซึ่งโรคนี้เป็นเพราะว่ากล้ามเนื้อที่ประคองหัวไหล่ ส่วนที่มีสะบักด้วยถูกหนีบเพราะว่าการเคลื่อนไหวของร่างกาย 

กล้ามเนื้อส่วนที่ปวดอยู่บริเวณใดของไหล่

        กล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณไหล่นั้นมีด้วยกันประมาณ 4 มัด แต่ก็อาจจะไม่ได้กระทบทั้งหมดเพราะว่ากล้ามเนื้อที่โดนหนักสุดเวลาที่ยกแขนขึ้นสูงกว่าหัวไหล่ เป็นกล้ามเนื้อที่ใช้สำหรับการกางแขน เพราะว่าส่วนนี้มันจะเชื่อมต่อกับสะบักกับกระดูกของต้นแขนด้วย

         โรคเอ็นกล้ามเนื้อไหล่ถูกหนีบจะพบกับทุกเพศทุกวัยเลย แต่ถ้าหากเป็นช่วงของวัยรุ่นอยู่นั้นส่วนมากแล้วจะเป็นโรคนี้เพราะว่าใช้งานแขนสูงกว่าระดับหัวไหล่แบบซ้ำเป็นประจำทำให้กล้ามเนื้อนั้นถูกหนีบและอักเสบอย่างมาก เส้นเอ็นก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน  สำหรับวัยกลางคนจะเกิดเป็นโรคนี้เพราะว่าเนื้อเยื่อและเส้นเอ็นตรงบริเวณหัวไหล่และแขนมีความหนามากขึ้น  สำหรับช่วงวัยสูงอายุวัยนี้กระดูกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กระดูกอาจจะมีเพิ่มไม่ว่าจะเป็นตรงแขนที่เอ็นนั้นยึดอยู่หรือจะเป็นตรงสะบัก จึงทำให้เป็นโรคนี้ได้

ลักษณะอาการของโรคกล้ามเนื้อไหล่ถูกหนีบ

             อาการนี้จะปวดมาเป็นพัก ๆ ไม่ได้ปวดอย่างต่อเนื่อง แต่เวลาจะปวดนั้นจะเป็นช่วงที่ยกแขนขึ้นสูงกว่าไหล่ เหนือหัว อีกอย่างอยู่ที่ความรุนแรงของความปวดและระยะของโรคด้วย บางคนที่อาการหนักการปวดจะเป็นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะปวดมากหน่อยช่วงไหล่ทางด้านหน้าและเริ่มลามไปทั่วทั้งบริเวณหัวไหล่

          ในช่วงเวลาตอนค่ำขณะที่นอนอาการปวดจะมีเพิ่มมากขึ้นกว่าตอนกลางวันเพราะว่าเราเองอาจจะไปเผลอนอนทับแขนและหัวไหล่ของตัวเอง อีกอย่างอากาศเย็นกว่าตอนกลางวันความปวดยิ่งเกิดขึ้นได้มากกว่าด้วย ระบบการไหลเวียนโลหิตจะลดลงจากเดิม หรือนอนนิ่ง ๆ ก็ยังปวดได้เลยเพราะความนั่งความเจ็บมันเลยเด่นชัดขึ้นมา และยิ่งคนที่ใช้แรงงานในการทำงานมาก ๆ ใช้แขนและไหล่ยกขึ้นลงบ่อยครั้งจะปวดทรมานกว่าแบบอื่นเพราะว่ากล้ามเนื้อได้มีการฉีกขาดแล้ว

          ที่ปวดก็เพราะว่ากล้ามเนื้อยังคงมีการอักเสบอยู่ โดยเฉพาะเมื่อเราใช้งานแขนยกและกางขึ้นประมาณ 70 องศา เพราะว่าทำให้เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อทำงานหนักมากจะทำให้เกิดการอับเสบ และยิ่งเมื่อเรายกสูงถึง 90 องศางานนี้ปวดและเสี่ยงต่อเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อฉีกได้เลย รู้สึกถึงความปวดร้าวถึงกระดูกทันที และสุดท้ายปวดหนัก ๆ เข้าเราจะไม่สามารถยกแขนขึ้นได้เลยจนกว่าจะหายปวดกล้ามเนื้อส่วนนี้


          จะเห็นว่าโรคกล้ามเนื้อไหล่ถูกหนีบนั้นเป็นสิ่งที่สร้างความรำคาญใจให้กับเรามาก หากเป็นแล้วการทำงานและการทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่จะต้องใช้กำลังแขน ข้อศอก และมือนั้นน้อยลงเนื่องจากมีอาการปวดร้าวจากโรคนี้ขึ้นมา สำหรับคนที่ทำงานหนักและใช้กล้ามเนื้อหัวไหล่บ่อยครั้งควรทำงานในระดับที่ตัวเองทำไหวและพักบ้าง ไม่ควรใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ มากเกินไปจะส่งผลดีต่อสุขภาพของเราเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก www.doctor.or.th/article/detail/1101

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2560

จะป้องกันทอลซิลอักเสบได้อย่างไร



จะป้องกันทอลซิลอักเสบได้อย่างไร

    การพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ เพราะในระหว่างนอนนั้นร่างกายสามารถฟื้นฟูและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไป อีกทั้งการออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์อย่างครบถ้วนเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ

     เมื่อทราบว่าผู้ใกล้ชิดที่เราสัมพันธ์ด้วยเกิดอาการป่วยขึ้น เช่น มีไข้ เจ็บคอ หนาวสั่น มีอาการทอลซิลโตร่วมด้วย ควรหลีกเลี่ยงและระมัดระวังอย่าให้ผู้ป่วยไอและจามรด อีกทั้งไม่ใช้ของร่วมกับผู้ป่วย หากแม้เลี่ยงไม่ได้จำเป็นจะต้องดูแลผู้ป่วย ก็จะต้องทำความสะอาดมือทุกครั้งที่สัมผัสข้าวของที่คิดว่าอาจจะมีเชื้อไวรัสและแบคทีเรียติดอยู่

การก่อตัวและการดำรงอยู่ของโรคทอลซิลอักเสบ
     
      หากเกิดจากการติดเชื่อไวรัสเพียงอย่างเดียว โดยมากมักจะหายได้เองภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันหรืออย่างช้า 1 สัปดาห์ น้อยมากที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน แต่ในรายที่ติดเชื้อแบคทีเรียชนิดบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ (group A beta-hemolytic streptococcus) มักจะมีอาการทุเลาเบาบางลงหลังจากได้รับยาปฏิชีวนะเพียง 48-72 ชั่วโมงเท่านั้น แต่หากไม่รับประทานยาปฏิชีวนะให้ครบกำหนดตามที่แพทย์สั่ง คือ 10 วันสำหรับยาอะม็อกซีซิลลิน อีริโทรไมซิล และเพนิซิลินวี ก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาภายหลังได้ ในบางรายเมื่อรักษาจนอาการหายดีแล้ว แต่ไม่รักษาสุขภาพ พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายอ่อนแอ อาการก็สามารถกำเริบขึ้นมาอีกได้ ซึ่งหากเป็นๆหายๆมากกว่า 4 ครั้งต่อปี จนไม่อาจดำรงชีวิตตามปกติได้เนื่องจากเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิต แพทย์จึงจะทำการรักษาโดยการผ่าตัดทอลซิล

การดูแลรักษาร่างกายเมื่อทราบว่าป่วยเป็นทอลซิลอักเสบ

1.รับประทานยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัดแม้ว่าจะมีอาการทุเลาเบาบางลงบ้างแล้วก็ตาม
2.พักผ่อนให้เพียงพอ
3.หมั่นจิบน้ำอุ่นบ่อยๆ เพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ
4.หากมีไข้สูง ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวอยู่เสมอ อาบน้ำด้วยน้ำอุ่นและรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ทุกๆ 4-6 ชั่วโมง
5.ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ เช่นข้าวต้ม โจ๊กและซุปต่างๆ เพื่อจะได้บรรเทาอาการเจ็บคอในผู้ป่วยที่มีทอลซิลบวมโตและเจ็บคอมาก
6.หลังจากรับประทานอาหารทุกมื้อ ให้หมั่นกลั้วคอด้วยน้ำกลือ โดยการผสมเกลือป่น 1 ช้อนชา ในน้ำอุ่น 1 แก้วเสมอ

  อนึ่ง ควรนำผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที หากเมื่อทำการรักษาแล้วอาการยังไม่ทุเลาลงภายในระยะเวลา 4 วัน อีกทั้งในระหว่างนั้นมีไข้สูงไม่ยอมลดลง มีอาการหายใจหอบและติดขัด รู้สึกเจ็บคอมากเกินไป กลืนอาหารและพูดลำบากเนื่องจากทอลซิลบวมโตและแดงมาก มีการตรวจพบว่าจุดหนองยังไม่หาย อีกทั้งน้ำมูกเหนียวเขียวข้นแม้จะได้รับยาปฏิชีวนะไปแล้วเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง ก็ยังไม่ทุเลาลง

ขอบคุณข้อมูลจาก www.doctor.or.th/article/detail/1572

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560

มาทำความรู้จักกับโรคสะเก็ดเงินกันเถอะ



มาทำความรู้จักกับโรคสะเก็ดเงินกันเถอะ
โรคสะเก็ดเงินคืออะไร

              โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่ใครหลายคนรู้จักดี เพราะประชากรทั่วโลกสามารถป่วยเป็นโรคนี้ได้จากพันธุกรรม สมัยก่อนคนที่ป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงินจะถูกเรียกว่าเรื้อนกวาง แต่ด้วยความที่คำว่าเรื้อนกวางทำให้ผู้คนเข้าใจว่าเป็นโรคติดต่อชนิดเดียวกันกับโรคเรื้อน จึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นโรคสะเก็ดเงินดังปัจจุบัน มีชื่อทางการแพทย์ว่า โซไรอะซิส(psoriasis) โรคสะเก็ดเงินนั้นไม่ใช่โรคติดต่อ สาเหตุองโรคนั้นไม่ได้เกิดจากไวรัสหรือเชื้อโรคแต่อย่างใดทั้งสิ้น หากแต่ว่าโรคนี้เกิดมาจากพันธุกรรมเป็นหลัก เนื่องจากการสำรวจในผู้ป่วยโรคนี้ทุกรายมักจะพบว่าพ่อแม่ป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงินอยู่แล้ว ลูกก็มีโอกาสเสี่ยงสูงมากที่จะป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงิน ด้วยความที่โรคนี้เป็นโรคสากลที่นิยมเป็นกันมากไม่ว่าจะเป็นใครหรือเชื้อชาติใด

อาการของโรคสะเก็ดเงิน
             ลักษณะอาการของโรคจะเกิดตามผิวหนัง เป็นปื้นนูนสีชมพูมีเกล็ดสีขาวหรือสีเงินห่อหุ้มอยู่อีกชั้นภายนอกผิวหนัง บริเวณที่พบบ่อยจะเป็นแผ่นหลัง แขน ขา หัวเขา ข้อศอก ก้นกบ หรือที่หนังศีรษะบริเวณไรผม หากเกิดอาการคันแล้วเกา ก็จะแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง ลามไปยังผิวหนังบริเวณใกล้เคียงได้
             สะเก็ดเงินเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ เพราะเป็นโรคที่เกิดทางพันธุกรรม แต่สามารถรักษาให้อาการทุเลาเบาบางลงได้ชั่วคราวเท่านั้นเอง โดยส่วนมาก กลุ่มยาที่ใช้รักษาโรคนี้มักจะเป็นยาทา เช่น สตีรอยด์หรือกลุ่มน้ำมันดิบ ควบคู่ไปกับการใช้ยากินร่วมด้วย ผู้ป่วยไม่ควรซื้อหายามาทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะจะเป็นอันตรายต่อร่างกายของผู้ป่ายเอง ฉะนั้นการรับประทานยา ควรอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์ผิวหนังอย่างใกล้ชิดเท่านั้น เพราะตัวยาบางชนิดหากรับประทานในปริมาณที่ไม่เหมาะสม อาจจะทำให้ตับแข็งหรือตับอักเสบได้ การรักษาโดยการฉายแสงก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารรักษาโรคสะเก็ดเงินได้อย่างปลอดภัย หากแต่ควรได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แล้วเท่านั้นว่าสามารถรักษาโดยวิธีนี้ได้ ด้วยความที่อาการป่วยของแต่ละคนจะมากน้อยไม่เท่ากันนั่นเอง

            สะเก็ดเงินเป็นโรคที่ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะสามารถรักษาให้ทุเลาเบาบางลงได้หากรู้จักการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างถูกวิธี ไม่ว่าจะเป็นการจัดบ้านผู้ป่วยให้น่าอยู่ ร่มรื่น บรรยากาศภายในบ้านไม่เครียดจนเกินไป ไม่ควรให้ผู้ป่วยพบเจอสภาวะกดดันหรือวิตกกังวล เพราะความเครียดและความกังวลจะเป็นสาเหตุหลักทางอารมณ์ทำให้สะเก็ดเงินเกิดขึ้นมาทันที การพักผ่อนและการผ่อนคลาย จะช่วยทำให้ผู้ป่วยสามารถทุเลาเบาบางอาการลงได้อย่างมาก วิธีง่ายแสนง่ายภายในบ้านอย่างนี้ที่เกิดขึ้นมาจากความรัก ความเข้าใจและความเอาใจใส่บุคคลภายในครอบครัวเป็นหลักสำคัญที่สุด

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2560

ปวดหลังแบบปวดร้าวลงถึงขา



ปวดหลังแบบปวดร้าวลงถึงขา

         การปวดหลังเกิดขึ้นได้กับทุกคนแต่จะปวดมากปวดน้อยก็ต่างกันไป  บางครั้งปวดแบบเป็นๆ หายๆ มาเป็นเวลานาน  จนบางครั้งก็มีอาการปวดร้าวยาวลงมาถึงขาด้วย  และเมื่อมาพบแพทย์ แพทย์อาจวินิจฉัยว่าเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท  หากมีอาการปวดมาก อาจจะต้องแนะนำให้ผ่าตัดบริเวณกระเบนเหน็บ ทำให้ผู้ป่วยมีความเครียด เกิดความสงสัยว่าอาการปวดที่ขา เกี่ยวอะไรกับกระดูกสันหลังด้วย  ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจลักษณะทางกายภาพของหมอนรองกระดูกสันหลังกัน

เพราะอะไรทำไมถึงปวดหลังลามไปถึงขาได้
           บริเวณกระเบนเหน็บเหนือกระดูกก้นกบ จะมีกระดูกสันหลังหลายปล้อง ซึ่งเป็นกระดูกสันหลัง โดยแต่ละปล้องนั้นก็เชื่อมติดต่อกันด้วย หมอนรองกระดูกสันหลัง ประกอบด้วยเปลือกนอก เรียกว่า Annulus fibrosus  และ ส่วนเนื้อด้านใน เรียกว่า Nucleus puiposus  โดยทำหน้าที่ในการรองรับน้ำหนักตัว และ น้ำหนักที่เราอุ้ม ยก หิ้ว แบกสิ่งของต่างๆ เมื่อเรามี การเดิน วิ่ง  กระโดด และการทำกิจกรรมทุกๆอย่าง แรงกระแทกจะลงมาที่กระดูกสันหลังส่วนเอว  กระดูกสันหลังส่วนนี้ทำหน้าที่รับแรงกระแทกทุกอย่างจึงทำให้เกิดการบิดตัวที่แรงมากได้ในบางครั้งจำให้หมอนรองกระดูกนั้นเคลื่อนหรือเปลือกของหมอนรองกระดูกหลุดออกไปทับเส้นประสาท จึงทำให้ปวดหลังและยาวไปถึงขาได้เลย  ถ้ากระดูกส่วนนี้รับแรงกระแทกหนัก ๆ บ่อยครั้งจะทำให้ฉีกขาดได้  

วิธีการรักษาอาการปวดหลังจากการเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเอว

           การเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเอวนั้นมันมีวิธีการรักษาที่หลากหลายขึ้นอยู่กับแต่ละอาการของแต่ละคน ถ้าหากเป็นการปวดหลังไม่มากนักก็แค่ทานยาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากนั้นก็ทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอ เพียงไม่นาน อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นเอวก็จะหายดี 

        หากเป็นหนักมากถึงขั้นไม่สามารถที่จะขยับตัวได้เลยหรือปวดหลังมากเป็นอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเอวที่รุนแรงมาก ขั้นนี้ยาและกายภาพบำบัดไม่อาจจะเอาอยู่ ส่วนใหญ่จะต้องผ่าตัดเพื่อเอาหมอนรองกระดูกนั้นออกไปหรือตัดส่วนที่ไปทับเส้นประสาทนั้นออกแล้วจากนั้นค่อยพักฟื้นและทำกายภาพบำบัดเป็นขั้นตอนต่อไป

     การผ่าตัดอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีนักแต่บางทีมันก็เป็นทางออกสุดท้ายที่คนเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทจะเลือกสำหรับการรักษา ถ้าวันนี้สภาพหลังของคุณยังคงเป็นปกติอยู่ก็ควรจะใช้งานร่างกายให้พอดีอย่ายกของหนักเกินไป พยายามอย่านั่งยืน หลังค่อม เพราะจะทำให้ปวดหลังได้เหมือนกัน การดูแลตัวเองเป็นเรื่องสำคัญเพราะว่าคงไม่มีใครรักตัวเรามากเท่าที่ตัวเรารักตัวเองแล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก  www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=751