โรคกรดไหลย้อน
(GERD) เป็นโรคยอดฮิตแห่งยุค เพราะคนสมัยนี้เป็นกันมาก และยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่แน่ชัด
แต่สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากความเครียด
โรคกรดไหลย้อนหรือเรียกว่าเกิร์ด (GERD-Gastroesophageal Reflux
Disease) หรือในต่างประเทศเรียกว่าฮาร์ตเบิร์น (Heartburn) คืออาการแสบร้อนในช่องอก
อาการของโรคนี้ คืออาการแสบร้อนจุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่ ท้องอืด
ท้องเฟ้อ คล้ายอาหารไม่ย่อย บางคนเรอมีกลิ่นเปรี้ยว
เนื่องจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาถึงปากและคอทำให้ลมหายใจมีกลิ่น โรคกรดไหลย้อนยังส่งผลเสียกับอวัยวะช่วงลำคอ ทำให้มีอาการไอ ระคายคอ
เสียงแหบ
และกระตุ้นโรคหืดให้กำเริบหนัก
ซึ่งโรคนี้มักมีอาการเรื้อรัง
สร้างความรำคาญใจให้แก่ผู้ป่วยบางท่านมีคำถามว่า
อาการนี้สามารถนำไปสู่โรคร้ายแรงอื่นได้หรือไม่ คำตอบคือ
ถ้าปล่อยให้มีอาการเรื้อรังเป็นเวลานาน
กรดในกระเพาะอาหารที่ล้นออกมาจะทำลายเซลล์เยื่อบุหลอดอาหารและอาจเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็งได้
เพราะอะไร
กรดจึงไหลย้อน
กลไกการเกิดโรคกรดไหลย้อนคือ หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างทำงานผิดปกติ เกิดการคลายตัวในเวลาที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะตอนกลืนอาหาร หูรูดหลอดอาหารหดตัวปิด
อาหารหรือกรดในกระเพาะอาหารจึงไม่ไหลย้อนกลับขึ้นด้านบน
แต่ทุกวันนี้ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่ทำให้หูรูดหลอดอาหารไม่ทำงาน พบเพียงแต่ว่ากระเพาะอาหารมีการบีบตัวมากเกินไปจึงทำให้หูรูดหลอดอาหารคลายตัว
รองศาสตราจารย์
ดร.ลอว์เรนซ์ โคเฮน (Dr.
Lawrence Cohen) ผู้เชี่ยวชาญด้านทางเดินอาหารแห่งมหาวิทยาลัยโทรอนโต ประเทศแคนาดา เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในสื่อออนไลน์
เดอะสตาร์ดอทคอมว่า
“ผมกล้าพูดได้ว่าสาเหตุหลักของการเกิดโรคกรดไหลย้อนเกิดจากพฤติกรรมที่เราทำอยู่เป็นประจำ เช่น
พฤติกรรมการกินที่ผิด
กินอาหารไม่ถูกต้อง
น้ำหนักมาก
และการสูบบุหรี่จัดเหล่านี้ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้”
สารพัดตัวการกรดไหลย้อน
นอกจากนี้โรคกรดไหลย้อนยังสัมพันธ์กับพฤติกรรมอื่น
ๆ ด้วย ดังนี้
- - มีความเครียด
เวลาเครียดหรือโกรธจัด
อารมณ์ที่พลุ่งพล่านจะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารออกมามากเกินไป
- - กินอาหารจนแน่นท้อง ซึ่งส่งผลให้กรดในกระพะอาหารเอ่อล้นออกมา
- - กินอาหารกระตุ้นอาการ เช่น
อาหารรสจัด ของทอด ชา
กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์
- - น้ำหนักมากเกิน
อ้วนลงพุง เนื่องจากไขมันที่มาสะสมบริเวณหน้าท้องซึ่งไขมันจะไปเบียดกระเพาะอาหาร ทำให้กรดเกิดการไหลย้อนได้
- - สวมเสื้อผ้ารัดรูป เช่น
ใส่กางเกงยืนฟิตมากเกินไปหรือใส่สเตย์รัดหน้าท้อง
- - นั่งเอนหลังหรือนอนหลังจากกินอาหารเสร็จใหม่
ๆ
- - กินยาบางชนิด เช่น
ยาลดความดันโลหิต
ยาขยายหลอดลมหรือการรับฮอร์โมน
และการสูบบุหรี่จัด
- - ตั้งครรภ์ เนื่องจากสตรีตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนของคุณแม่ตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อมีอาการกรดไหลย้อน
เรามักซื้อยาลดกรดมากินเพื่อแก้อาการซึ่งเป็นวิธีแก้แบบชั่วคราว อาการหายไปสักพักก็จะกลับมาเป็นอีก เพราะไม่ได้รับการรักษาที่ต้นเหตุ
วิธีแก้กรดไหลย้อนด้วยตัวเอง
เมื่อเป็นกรดไหลย้อนหรือโรคอะไรก็ตาม
เรามักไปหาหมอฝากหน้าที่ความรับผิดชอบไว้ให้คุณหมอ เพื่อให้ท่านสั่งยามาให้กินแล้วเราจะสบายใจว่าหายจากโรคแน่
แต่สำหรับวิธีแก้โรคกรดไหลย้อนต้องอาศัยการดูแลตัวเอง มูลนิธิ IFFGD แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาได้แนะนำให้หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะกระตุ้นการเกิดโรคทุกอย่าง และให้ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการกินอาหารให้ถูกต้อง ดังนี้
1.งดนั่งเอนหลังหรือนอนหลังจากกินอาหารมื้อใหญ่อย่างน้อย 3
ชั่วโมง
และไม่ควรกินอาหารว่างใกล้เวลาเข้านอน
2.ไม่ควรออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ต้องก้มตัวลง เช่น กวาดหรือถูบ้านหลังกินอาหาร
3.ไม่ควรกินอาหารมากเกินไป
แม้อาหารจะอร่อยมากแค่ไหนก็ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะ
4.หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการ
เช่น ของทอด นม
เนย หอมหัวใหญ่ ช็อกโกแลต
น้ำมะเขือเทศ น้ำส้ม ชา
กาแฟ เหล้า เบียร์
เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น
5.ไม่ทะเลาะหรือถกปัญหาเครียด ๆ ระหว่างกินอาหาร
ควรกินอาหารในบรรยากาศสบาย ๆ
6.ควรกินอาหารมื้อกลางวันให้มาก ๆ ส่วนมื้อเย็นกินน้อย ๆ
และเลื่อนเวลามื้อเย็นให้เร็วขึ้นเพื่อให้ห่างจากเวลาเข้านอน
7.หากมีอาการแสบร้อนกลางอกเป็นประจำ
เวลานอนควรหนุนหมอนสูงหรือหนุนผ้าบริเวณเหนือเอวให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อน
8.ควรลดน้ำหนักและบริหารร่างกายเพื่อลดไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง
สุดยอดอาหารลดกรด
ในหนังสือชีวจิต ได้แนะนำอาหารบำบัดอาการของโรคกรดไหลย้อนไว้ดังนี้
กลุ่มผัก อาร์ติโช้ก หน่อไม้ฝร่ง
โหระพา บรอกโคลี กะหล่ำปลี
แครอต เชเลอรี่ แตงกวา
มะเขือ ขิง ฟักทอง
ผักโขม วอเตอร์เครส ซูกินี
กลุ่มผลไม้ แอ๊ปเปิ้ล เอพริคอต
อะโวคาโด เชอร์รี่ กล้วย บลูเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่
แคนตาลูป มะพร้าว มะเดื่อ
องุ่น มะละกอ ลูกพีช
ลูกแพร์ สตรอเบอรี่ แตงโม
กลุ่มธัญพืชและเมล็ดถั่ว ถั่วเขียว อัลมอนด์
บัควีต ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง
งา ถั่วเหลือง
กลุ่มสมุนไพรและชาสมุนไพร
ชาคาโมมายล์ ออริกาโน ไธม์
กลุ่มอาหารอื่น ๆ
เต้าหู้ ปลาทูน่า
ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือชีวจิต เล่มที่
383 16 กันยายน
2557
