disable right click

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ไมเกรน(Migraine) รู้ทันป้องกันอาการกำเริบได้ไม่ยาก ตอนที่ 2




3. ลักษณะอาการของผู้ป่วยไมเกรน
           ส่วนใหญ่ไมเกรนจะเกิดขึ้นครั้งแรกกับเด็กวัยรุ่นไปจนถึงวัยหนุ่มสาว และมีอาการเป็นๆหายๆ ไปจนตลอดชีวิต จะมีอาการเจ็บปวดตุ้บๆ ตื้อ ๆ ที่ขมับและรอบเบ้าตา ซีกใดซีกหนึ่งเสมอ มีปวดสลับข้างกันบ้างเป็นบางคราวหรือในบางรายอาจจะปวดพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง ที่ขมับมักจะมีเส้นเลือดโป่งพองเต้นตุ้บๆและปูดขึ้นมาจนเห็นได้ชัด ในบางรายอาจจะวิงเวียนศีรษะ เห็นแสงแล้วปวดหัว ตาพร่า ตาลายหรือดวงตาอาจจะมัวไปครึ่งซีก ซึ่งอาการเจ็บปวดแต่ละครั้งจะกินเวลานาน 4-72 ชั่วโมงเลยทีเดียว แต่สำหรับรายที่เป็นไมเกรนชนิดรุนแรง อาจจะเกิดอาการชาที่ใบหน้า ริมฝีปากและมือ มองเห็นภาพซ้อนภาพ วิงเวียนศีรษะและแขนขาอ่อนแรง คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งพบได้น้อยและมักจะหายเองเมื่อให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อน

4. การแยกโรคไมเกรนออกจากโรคปวดหัวชนิดอื่น ๆ สามารถสังเกตได้อย่างไรบ้าง
    4.1 ปวดหัวเนื่องจากความเครียด จะปวดตื้อๆมึนๆทั่วทั้งศีรษะ และท้ายทอย เป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน หากเมื่อนอนหลับพักผ่อนแล้วอาการก็จะดีขึ้น ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการคิดมาก ซึมเศร้า วิตกกังวลและนอนไม่หลับ
    4.2 ปวดหัวเนื่องจากการมีสายตาที่ผิดปกติ จะปวดและล้าบริเวณกระบอกตาทั้งสองข้างเมื่อเพ่งมองอะไรเป็นระยะเวลานาน พบในผู้ที่มีสายตายาว สั้นและสายตาเอียง
   4.3 ปวดหัวเนื่องจากไซนัสอักเสบ จะมีอาการปวดตรงหัวคิ้วรอบกระบอกตาลามไปยังโหนกแก้ม อีกทั้งยังมีอาการหวัด คัดจมูกและน้ำมูกไหลเหนียวและข้น เมื่อใช้นิ้วเคาะบริเวณที่ปวดตื้อๆ จะพบว่ารู้สึกปวดมากกว่าเดิม
   4.4 ปวดหัวในผู้ป่วยที่มีความดันในเลือดสูงมักจะเกิดขึ้นเมื่อตื่นนอนใหม่ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปตอนสายๆ อาการจะทุเลาไปเอง พบได้ในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปแล้ว
   4.5 ปวดหัวเนื่องจากเกิดเนื้องอกในสมอง ซึ่งโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นวัยใด จะมีอาการปวดมึนตื้อไปทั้งศีรษะในเวลาเช้าใกล้ตื่นนอน แต่พอช่วงสายๆอาการจะค่อยๆหายไป ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ทุกวันนานเป็นเดือน มีอาการเจ็บปวดแรงขึ้นและกินเวลานานขึ้นเรื่อยๆ มักจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะร่วมด้วย
   4.6 ปวดหัวเนื่องจากต้อหินชนิดเฉียบพลัน จะมีอาการตาพร่ามัวและเกิดการปวดตาอย่างรุนแรงในข้างใดข้างหนึ่ง เมื่อตรวจดูจะพบว่าตาแดง รูม่านตาขยายโตขึ้น อาการปวดจะไม่ทุเลาลงเลย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีโดยแพทย์ มักจะพบในวัยผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีเท่านั้น
แม้ว่าอาการชาแขนขาและกล้ามเนื้ออ่อนแรงในผู้ป่วยที่เป็นไมเกรงชนิดรุนแรง แต่อาการสามารถบรรเทาได้ด้วยการพักผ่อนและรับประทานยาแก้ปวดเพื่อช่วยให้อาการปวดทุเลาลง เมื่อพักผ่อนดีแล้วอาการก็จะดีขึ้น ซึ่งแตกต่างจากโรคหลอดเลือดในสมองตีบอยู่มาก แม้อาการที่เป็นจะคล้ายคลึงกันแต่ไมเกรนจะหายในไม่กี่วัน แต่สำหรับผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองตีบนั้นจะมีอาการอัมพฤกษ์อัมพาตเรื้อรัง และพบในผู้สูงอายุ อีกทั้งพบในคนที่ป่วยเป็นเบาหวาน ความดันในเลือดสูง  โรคอ้วน คนที่สูบบุหรี่จัด และมักจะเกิดขึ้นในคนที่มีไขมันในเลือดสูง ส่วนไมเกรนมักจะเกิดขึ้นในบุคคลที่มีอายุน้อยและไม่พบโรคประจำตัวอื่นแทรกซ้อนอื่นใด

5. จะดูแลตนเองอย่างไรเมื่อทราบว่าป่วยเป็นไมเกรน
อาการปวดหัวที่สร้างความทรมานใจให้กับผู้ป่วยไมเกรนเป็นเรื่องที่รักษาได้ไม่ยากนัก แม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ก็ตาม แต่ทว่าสามารถลดความเสี่ยงและบรรเทาอาการเจ็บปวดในรายที่เป็นไมเกรนชนิดรุนแรงได้
   5.1 หมั่นสังเกตตนเองอยู่เสมอว่ามีสิ่งเร้าชนิดใดบ้างที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการไมเกรนกำเริบขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด อากาศ อาหารบางชนิด เครื่องดื่มบางชนิด และการอดนอน เมื่อทราบแล้วก็ควรหลีกเลี่ยงจากตัวการเหล่านี้ อันจะทำให้ห่างหายจากอาการได้ไม่กลับมาเป็นบ่อย
   5.2 ยาแก้ปวด เป็นยาประจำตัวผู้ป่วยไมเกรนชนิดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงพ้น  ผู้ป่วยควรพกติดตัวไว้เสมอ เมื่อเริ่มรู้สึกว่าจะมีอาการปวดหัวไมเกรนขึ้นมา เช่น เริ่มปวดหัวมึน ๆ ตื้อ ๆ ตาลายตาพร่ามัว ก็รีบรับประทานยาเข้าไปเดี๋ยวนั้นทันทีและรีบนอนหลับพักผ่อนในขณะที่รู้สึกว่าอาการเริ่มเกิดขึ้น หากว่าไม่สามารถนอนได้ ก็ควรจะนั่งพักในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย ก็จะสามารถช่วยให้อาการไมเกรนทุเลาลงได้ภายในระยะเวลาไม่นาน
   5.3 สำหรับผู้ป่วยที่เป็นไมเกรนอยู่ตลอดเวลาจนเกิดอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต เป็นๆ หายๆ อยู่เสมอ และบ่อยมากจนน่ารำคาญ แพทย์จะจัดยาให้ผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยไมเกรนจะต้องรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และห้ามหยุดรับประทานยาเองก่อนแพทย์สั่งเด็ดขาด

6. ลักษณะอาการอย่างไรที่เรียกว่ารุนแรง และควรไปพบแพทย์ทันทีอย่าปล่อยให้เสียเวลา
   6.1 เมื่อรับประทานยาแก้ปวดหรือยาใดก็ตามที่แพทย์สั่ง แล้วอาการนั้นยังไม่ทุเลาลงหลังจากเวลาผ่านไปแล้วกว่า 72 ชั่วโมง
   6.2 อาการปวดรุนแรงมากกว่าทุกๆ ครั้งที่เคยเป็นมา
   6.3 เกิดอาการเจ็บปวดศีรษะเป็นครั้งแรกในรายที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
   6.4 แขนขาชาและอ่อนแรง ไม่มีแรงจะเดินหรือลุกไปไหนได้
   6.5 หน้ามืด ตาลาย เดินเซไม่ตรงทิศ และคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นจากภาวะแทรกซ้อนอย่างอื่นร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดในสมองตีบในผู้สูงอายุ หรืออาการอย่างอื่นที่รุนแรงมากกว่าไมเกรน ในรายที่ป่วยเป็นไมเกรนชนิดรุนแรงซึ่งมีอาการอ่อนแรงของร่างกายหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา หรือกล้ามเนื้อทางเดินหายใจอ่อนแรงจนทำให้หยุดหายใจ จะต้องรีบนำตัวผู้ป่วยส่งแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษา
สำหรับสุภาพสตรี ไม่เกรนอาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากการทานยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไปจึงทำให้ปวดไมเกรนบ่อยขึ้น แพทย์จะแนะนำให้ฉีดยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนโพรเจสเตอโรนแทนในทุก 3 เดือน ก็มีส่วนบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้เช่นกัน
ไมเกรนมักจะเกิดขึ้นได้กับคนทั่วไปนาน 4-72 ชั่วโมงและอาการจะทุเลาลง อาการจะเป็นๆหายๆอยู่อย่างนั้นเมื่อผู้ป่วยอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกระตุ้น ฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงให้ได้ และผู้ป่วยอาจจะหายขาดจากอาการปวดไมเกรนได้เมื่ออายุย่างเข้าสู่วัย 55 ปีขึ้นไป มีบางรายที่ไมเกรนอาจจะกำเริบได้เรื่อยๆ จนตลอดชีวิต
แม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดจากการทรมานจากไมเกรนได้ แต่เชื่อว่าการหลีกเลี่ยงจากสภาพแวดล้อมที่เป็นตัวการทำให้เกิดไมเกนนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.doctor.or.th/article/detail/1330

ไซนัส


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ไมเกรน(Migraine) รู้ทันป้องกันอาการกำเริบได้ไม่ยาก




ไมเกรน(Migraine) รู้ทันป้องกันอาการกำเริบได้ไม่ยาก ตอนที่ 1
           โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยไมเกรน (Migraine) มักจะมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ดี แต่จะเกิดอาการปวดศีรษะขึ้นมากะทันหัน โดยการเป็น ๆ หายๆ เรื้อรังนาน 10 ปี แม้จะไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย แต่ไม่เกรนก็สามารถสร้างความทรมานและก่อความรำคาญแก่ผู้ป่วยได้เช่นกัน ในบางรายอาจจะปวดไมเกรนนานอยู่ถึง 3 วัน หากเมื่อหายดีแล้วกก็กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ซึ่งอาการของไมเกรนนั้นเกิดจากการถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้ารอบกาย ซึ่งผู้ป่วยเองจะต้องหาสาเหตุให้พบและหลีกเลี่ยงให้ได้

1. อาการปวดหัวไมเกรนเกิดมาจากอะไร
            แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดไมเกรนอย่างแน่ชัดว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่ความเจ็บปวดที่ผู้ป่วยได้รับนั้นเกิดขึ้นมากจากการเปลี่ยนแปลงการทำงานของระบบประสาทและหลอดเลือดภายในสมองอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีชื่อ ชีโรโทนิน (serotonin) ขณะที่ไมเกรนกำเริบ กลับพบว่าปริมานของสาร serotonin ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เส้นใยประสารทเส้นที่ 5 ซึ่งทำหน้าที่เลี้ยงบริเวณใบหน้าและศีรษะเกิดการอักเสบ ส่งผลให้หลอดเลือดแดงภายในและภายนอกกะโหลกศีรษะอักเสบเนื่องจากการหดตัวและขยายตัวมากผิดปกติ ซึ่งในกรณีนี้ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง อันนำมาซึ่งความเจ็บปวดอย่างกะทันหันของผู้ป่วยเอง ไมเกรนสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นเพศใด ซึ่งสามารถส่งต่อกันได้ทางพันธุกรรม เนื่องจากวิจัยพบว่าร้อยล่ะ 60-70 ของผู้ป่วยไมเกรนนั้น มีประวัติว่าคุณพ่อคุณแม่ป่วยเป็นไมเกรนด้วย

2. สาเหตุที่ทำให้เกิดไมเกรน
        การถูกกระตุ้นจากภายนอก ทำให้ไมเกรนกำเริบได้เสมอ ซึ่งสาเหตุอาจจะแตกต่างกันไปตามรายบุคคล แต่อาการเจ็บปวดนั้นเหมือนกันหมด ส่วนใหญ่อาการที่พบได้บ่อยมากก็คือ
        2.1 ใช้สายตามากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการเพ่งเล็งสิ่งของต่างๆ ส่งผลให้เกิดการเกร็ง ไม่ว่าจะเป็นการส่องกล้องหรือการเย็บปักถักผ้าก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดไมเกรนได้
        2.2 เข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดังมากเกินไป เช่น การได้ยินเสียงกลอง เสียงดนตรีและเสียงระฆังที่ดังมากและดังติดต่อกันเป็นเวลานาน
        2.3 การได้รับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ เช่นกลิ่นฉุน กลิ่นสี กลิ่นน้ำหอม กลิ่นน้ำมันเครื่องยนต์ กลิ่นควันบุหรี่และกลิ่นสารเคมีต่างๆ
        2.4 สำหรับบางราย กาแฟถือว่าเป็นศัตรูที่ทำให้ไมเกรนกำเริบ
        2.5 อาหารและยาที่รับประทานเข้าไป เช่นยานอนหลับ และอาหารบางชนิด เช่นอาหารทะเล ผงชูรส สารกันบูด เหล้า เบียร์ ตับไก่ โดยเฉพาะอาหารที่มีรสเปรี้ยวจัดเช่นมะนาว ก็ล้วนแล้วแต่สามารถกระตุ้นอาการของไมเกรนให้กำเริบได้ทั้งนั้น
        2.6 อากาศที่เย็นจัดเกินไปและร้อนเกินไป หรืออยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิอบอ้าว อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ก็มีสิทธิ์ทำให้อาการกำเริบได้
        2.7 พักผ่อนไม่เพียงพอ รวมถึงการนอนที่มากเกินความจำเป็นก็ส่งผลให้เกิดไมเกรนขึ้นมาได้ อีกทั้งการได้รับอุบัติเหตุอย่างแรงที่ศีรษะหรือการถูกกระทบกระแทกอย่างแรง เช่น การโหม่งลูกฟุตบอล การโหม่งตะกร้อ ก็สามารถเกิดไมเกรนขึ้นมาได้ฉับพลันทันที
        2.8 การนั่งรถ นั่งเรือ หรือนั่งเครื่องบิน ก็มีส่วนทำให้ไมเกรนกำเริบขึ้นเนื่องจากเกิดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้ออย่างกะทันหัน
        2.9 ออกกำลังกายมากเกินไปจนทำให้เหนื่อยหอบหายใจแรง ร่างกายเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย อีกทั้งการเป็นไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ก็มีส่วนทำให้ปวดหัวไมเกรนเช่นกัน
        2.10 ความเครียด ความคิด และอารมณ์ที่ขุ่นข้อง รวมไปถึงฮอร์โมนเพศในผู้หญิง โดยเฉพาะช่วงระหว่างการมีประจำเดือน ก็ทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้เสมอ

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.doctor.or.th/article/detail/1330

ไชนัส

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2559

การรักษาโรคภูมิแพ้ในจมูกด้วยเลเซอร์



การรักษาโรคภูมิแพ้ในจมูกด้วยเลเซอร์

โรคภูมิแพ้ในจมูก (Allergic Rhinitis) เกิดจากร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ทางการหายใจ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ พบว่าถ้าหากพ่อแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกก็จะมีโอกาสที่จะเป็นถึงร้อยละ 75 เมื่อผู้ป่วยได้หายใจเอาสารก่อภูมิแพ้เข้าไป ภายในจมูกจะมีเยื่อบุจมูกที่เป็นก้อนเนื้อมีสีชมพู(Turbinate) เป็นด่านแรกที่จะแสดงปฏิกิริยาตอบสนองกับ สารก่อภูมิแพ้ ซึ่งผู้ป่วยจะไวเกินกว่าบุคคลปกติทั่วไป อาทิเช่น อาหาร ไรฝุ่น ซากแมลงสาบ ขนสัตว์  ละอองเกสรดอกไม้ และเชื้อราในอากาศ จะไปกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารเคมีออกมาเกิดอาการ คัดจมูก มีน้ำมูกไหล จามไอ บางรายอาจหอบหืดด้วย

ศาสตราจารย์นายแพทย์สมยศ คุณจักร ให้ข้อมูลว่า วิธีสังเกต โรคภูมิแพ้ ผู้ป่วยต้องสังเกตตนเองก่อนว่า แพ้สิ่งใดบ้าง  หากผู้ป่วยไม่มั่นใจว่าแพ้อะไร แพทย์จะสุ่มตัวอย่างสารที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ที่พบทั่วไป โดยพิจารณามาจากกรรมพันธุ์ สภาพแวดล้อม รวมทั้งการใช้ชีวิตประจำวัน จนสรุปได้ว่าผู้ป่วยแพ้อะไร  พบว่า คนไทยมีการแพ้นุ่นกว่า 30 % เป็นโรคภูมิแพ้จากพันธุกรรม ร้อยละ 20 หากเมื่อพบว่าแพ้ชนิดใด  แพทย์จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดการแพ้นั้น

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจทำให้อาการภูมิแพ้ในจมูกมีความรุนแรงขึ้น
1. โรคไซนัสอักเสบ
2. การติดเชื้อบริเวณโพรงจมูก
3. เป็นหูน้ำหนวก

การรักษาภูมิแพ้ด้วยเลเซอร์

ในปัจจุบันได้มีการรักษาภูมิแพ้ในจมูกด้วยการใช้แสงเลเซอร์ที่มีความจำเพาะ  ทำลายตัวรับสัญญาณภูมิแพ้ที่บนเยื่อบุโพรงจมูกที่ทำงานไวกว่าปกติ ให้อยู่ในระดับปกติ โดยที่ยิงเลเซอร์ไปยังจุดสั่งการ ที่ทำให้เกิดอาการแพ้ รวมทั้งแสงเลเซอร์จะช่วยลดขนาด และจำนวนเส้นเลือดที่อยู่ใต้เยื่อบุโพรงจมูกด้วย ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าหายใจโล่งขึ้น มีน้ำมูกน้อยลง การใช้แสงเลเซอร์ในการรักษาโรคภูมิแพ้ให้ประสิทธิภาพดีเทียบเท่าการฉีดยา 3-5ปี ซึ่งผู้ป่วยสามารถเลือกรักษาด้วยการยิงเลเซอร์ในจมูกเพียง 1 ข้าง หรือ 2 ข้างก็ได้ พบว่าการยิงเลเซอร์เพียง 1 ข้างก็เห็นผลดีขึ้น 70 เปอร์เซ็นต์ แต่หากผู้ป่วยมีความประสงค์จะยิงเลเซอร์ทั้งสองข้างเลยก็ได้ เพราะจะได้ผลยิ่งขึ้นเป็น 80 เปอร์เซ็นต์

ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีเป็นต้นไป สามารถรักษาภูมิแพ้ด้วยเลเซอร์ได้  แต่ต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือของผู้ปกครองและผู้ป่วยรายนั้นด้วย หลังการรักษาจะสามารถควบคุมอาการได้ประมาณ 5-10 ปี ทั้งนี้พบว่าผู้ป่วยที่หอบหืดมีอาการลดลงอย่างเห็นได้ชัด

การรักษาภูมิแพ้ด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่ปลอดภัย และ ใช้เวลาน้อย หลังรับการรักษาผู้ป่วยจะมีสะเก็ดแผล และมีเยื่อบุโพรงจมูกบวม ประมาณ 1-2 สัปดาห์  ในช่วงนี้ผู้ป่วยบางรายจะรู้สึกว่าอาการกำเริบขึ้นได้ แต่หลังรักษาประมาณ 2 อาทิตย์อาการต่างๆจะดีขึ้น สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติหลังจากรักษาด้วยเลเซอร์ ก็คือ การว่ายน้ำ การแคะจมูก การสั่งน้ำมูกแรงๆ จะทำให้แผลหายช้า

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ ก็ต้องดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเอง หลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ เพราะภูมิแพ้ทำให้หายขาดไม่ได้ เพียงแต่สามารถทำให้ปฏิกิริยาในการโต้ตอบต่ออาการแพ้ลดน้อยลงได้เท่านั้น  วิธีที่ดีที่สุด คือ การป้องกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก www.laser-surgery-bangkok.com
/
สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2559

การทำอัลตร้าซาวน์บำบัดเพื่อรักษาโรคไหล่ติด




การทำอัลตร้าซาวน์บำบัดเพื่อรักษาโรคไหล่ติด

          โรคไหล่ติดเป็นที่ทราบกันในชื่อ ถุงหุ้มข้อไหล่อักเสบยึดติด ทำให้มีสภาวะที่รำคาญจิตใจ เนื่องมาจากเคลื่อนไหวของข้อไหล่ถูกจำกัด สาเหตุมาจากอายุที่มากขึ้น กิจกรรมต่างๆที่มีความรุนแรงต่อข้อไหล่ พร้อมกับการฟื้นฟูข้อไหล่ที่เป็นไปได้ช้า เนื่องจากมีเลือดไปเลี้ยงตรงส่วนนี้ได้น้อย ไหล่ติดเกิดขึ้นจากการที่ถุงหุ้มข้อไหล่ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่หุ้มข้อต่อกลีโนฮิวเมอรัลของไหล่เอาไว้   เกิดอักเสบ ยึดติด  มีการสร้างแถบเนื้อเยื่อที่ผิดปกติทำให้ข้อไหล่ขยับได้น้อยลงและมีอาการปวดเรื้อรัง ทำให้การเคลื่อนไหวของข้อไหล่ไม่สามารถทำได้อย่างปกติ  ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน
         เพื่อลดอาการปวดและการอักเสบซึ่งมีสาเหตุมาจากข้อไหล่ฝืด ได้มี การรักษาแบบใหม่ ในรูปแบบที่เรียกว่า อัลตร้าซาวน์บำบัด ซึ่งพบว่าประสบความสำเร็จในการักษา  การรักษาทางกายภาพของไหล่ติดจะช่วยลดความรู้สึกไม่สบาย  และความฝืดของข้อไหล่ การรักษาด้วยอัลตร้าซาวน์บำบัดไม่เพียงแค่ลดการติดของข้อหัวไหล่ แต่ยังเร่งกระบวนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ  คลื่นอัลตร้าซาวน์จะสั่นสะเทือนในระดับต่ำมากบนเนื้อเยื่อไหล่ที่อักเสบ  การใช้อัลตร้าซาวน์สามารถ ใช้รักษาได้วันต่อวันในช่วงที่มีฟักฟื้นอาการข้อไหล่ติด
          การักษาข้อไหล่ติดสามารถทำได้ในระยะติดต่อกันเป็นเวลานานได้  ซึ่งการรักษาด้วยอัลตร้าซาวน์ เพิ่มความเร็วของการบำบัดรักษาโรคไหล่ติดได้
         อัลตร้าซาวน์บำบัดมีการใช้อย่างแพร่หลายโดยหมอจัดกระดูก, แพทย์และนักกายภาพบำบัดตั้งแต่ปี ค.ศ.  1940 อัลตราซาวน์บำบัดยังได้รับการรับรองว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษา เพราะได้เพิ่มการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนไปยังพื้นที่ที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเป็นวิธีการบำบัดที่ดีสำหรับโรคข้อไหล่ติด 
          สำหรับปัญหาการบาดเจ็บที่หัวไหล่ เช่น โรคหัวไหล่ติดสามารถรักษาด้วยอุปกรณ์อัลตร้าซาวน์ได้ พบว่า สามารถเร่งการเยียวยารักษาและบรรเทาอาการเจ็บจากข้อไหล่ติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เมื่อก่อนการทำอัลตร้าซาวน์บำบัดนั้นพร้อมสำหรับการบำบัดรักษานักกรีฑามืออาชีพเท่านั้น แต่ปัจจุบันสามารถใช้อัลตร้าซาวน์บำบัดสามารถใช้บำบัดอาการปวดที่หลากหลายด้วยเครื่องอัลตร้าซาวน์แบบพกพาซึ่งสามารถทำได้
          การรักษาอาการไหล่ติดด้วยคลื่นอัลตร้าซาวน์ ใช้ที่คลื่นความถี่ 1 เมกกะเฮิรตซ์ซึ่งเป็นค่าที่ปลอดภัยกับผู้ใช้ ผู้ใช้สามารถหาอุปกรณ์ที่อัลตร้าซาวน์ที่ทาง  FDA หรือ องค์การอาหารและยาของสหรัฐให้การรับรองและยอมรับว่ามีคุณภาพที่ดี นอกจากนี้ที่ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง ก็คือ ต้องดูที่การรับรับประกันสินค้า และแน่ใจว่าสินค้ามีการรับประกันครอบคลุมระยะเวลาอย่างน้อยที่สุด 1 ปี       
         การสั่นสะเทือนของเครื่องปล่อยคลื่นอัลตราซาวนด์จะถูกปรับไว้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องโดยนักกายภาพบำบัดและหมอจัดกระดูก ดังนั้น การรักษาโรคไหล่ติดด้วยเครื่องอัลตร้าซาวน์แบบพกพา นอกจากจะสะดวกแล้วยังสามารถรักษาโรคไหล่ติดได้บ่อยขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาไหล่ติดก็มีมากขึ้นด้วย 

ข้อมูลจาก https://ultrasoundtherapy355.wordpress.com/2011/12/16/the-use-of-ultrasound-therapy-to-treat-frozen-shoulder/


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2559

5 สัญญาณเตือนที่เสี่ยงต่อการหกล้มในผู้สูงอายุ



5 สัญญาณเตือนที่เสี่ยงต่อการหกล้มในผู้สูงอายุ

        ผู้สูงอายุจะมีปัญหาเรื่องกายทรงตัวทำให้มีความเสี่ยงในการหกล้มเกิดขึ้น เมื่อมีการหกล้มเกิดขึ้น พบว่าผู้สูงวัย 1 ใน 3 กระดูกสะโพกหัก เมื่อหักผู้สูงอายุจะมีปัญหาเรื่องการเดินตามมา เพื่อป้องกันการหกล้ม จะมีสัญญาณที่บ่งบอกว่าผู้สูงวัยผู้นั้นมีความเสี่ยงต่อการล้มเกิดขึ้นแล้ว ดังนี้
1.อายุ 40 ปี ขึ้นไป ต้องระมัดระวังเรื่องการล้ม
2.ผู้ที่หลังค่อม
3.ผู้ที่ไหล่งุ้ม จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายเปลี่ยนแปลง
4.มีสะโพกงอ
5.แรงหาย กล้ามเนื้อจากเคยมีแรงเต็มที่จะลดลง

โดยแพทย์มีตัววัดสัญญาณการเลี่ยงต่อการหกล้ม  ทั้งหมด 14 ข้อ ดังนี้

1.ลุกขึ้นยืนโดยไม่ให้ใช้มือช่วย แพทย์จะดูกำลังของขาว่ามีแรงที่จะดันตัวเองขึ้นมาได้หรือไม่
2.ยืนตรงๆประมาณ 2 นาที ผู้ที่ยืนไม่ได้จะแกว่งหรือต้องหาอะไรเกาะจับ
3.นั่งลงบนเก้าอี้ เพื่อดูว่าผู้ทดสอบสามารถยืดกล้ามเนื้อออกและย่อตัวลงนั่งได้หรือไม่
4.นั่งกอดอก เพื่อเช็คกล้ามเนื้อหลัง
5.เดินไปกลับตามระยะทางที่กำหนด เพื่อตรวจสอบกำลังกล้ามเนื้อขาและการทรงตัว
6.ยืนหลับตาประมาณ 10 วินาที
7.ยืนเท้าชิดโดยไม่มีการจับ
8.ยืนชิดเท้าเหยียดแขนและนิ้วไปให้มากที่สุด เพื่อตรวจการยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหลัง
9.ก้มเก็บสิ่งของที่อยู่ด้านหน้าของเท้า
10.ยืนตรงไปมองไหล่ซ้ายและไหล่ขวา
11.หมุนรอบตัวเอง 1 รอบ แล้วหมุนตัวกลับโดยหมุนไปอีกทาง
12.ก้าวขึ้นลงบันไดแบบอยู่กับที่ โดยใช้เก้าอี้เตี้ยวางและก้าวเท้าซ้ายสลับเท้าขวาจำนวน 8 ครั้ง  แล้วจับเวลา ผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงต่อการล้มจะใช้เวลาไม่เกิน 20 วินาที
13.ยืนให้เท้าอยู่แนวเดียวกันประมาณ 30 วินาที
14.ยืนด้วยขาข้างเดียว

คะแนนเต็มในการทดสอบ 14 ข้อทั้งหมด 56 คะแนน หากทำไม่ได้จะถูกหักข้อละ 1 คะแนน

วิธีป้องการเสี่ยงต่อการหกล้มในผู้สูงวัย
1.ใช้ไม้เท้า ไม้ค้ำช่วยเดินที่มีฐานกว้าง
2.ปรับสภาพห้องเลี่ยงการล้ม
      -พื้นในบ้านไม่ควรมีสายไฟระเกะระกะ
      -พื้นต่างระดับต้องทำให้มองเห็นชัดเจน
      -ความสว่างของบ้าน
      -ห้องน้ำต้องแยกส่วนเปียกส่วนแห้ง และเพิ่มราวจับให้ผู้สูงงัย
      -ปลั๊กไฟไม่ควรต่ำเกินไป ต้องให้ปลั๊กมีระดับ 90 เซนติเมตร
3.ผู้สูงอายุออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี
      -รำไม้พลอง
       ท่าที่  1 ยืดกล้ามเนื้อหน้าอก โดยมือจับไม้พลองไว้ด้านหลัง ไหล่จะยืดออก แล้วหมุนตัวไปทางซ้าย และทางขวา เพื่อยืดหลัง
       ท่าที่ 2 ยืดกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านหลัง โดยจับไม้ด้านซ้ายขึ้น สลับจับไม่ยกด้านขวาขึ้น
       ท่าที่ 3 ยืดกล้ามเนื้อหลัง โดยยกไม้พลองขึ้นเหนือหัวพร้อมหายใจเข้า และยกไม่พลองไปด้านหน้าพร้อมหายใจออก แล้วกลับมาที่เดิม
       ท่าที่ 4 ยืดกล้ามเนื้อหน้าขาและหลัง โดยวางไม้พลองไว้หลังส่วนล่างก้มลงค่อยเคลื่อนไม้พลองลงที่หัวเข่า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก รศ.ดร.วิมลวรรณ เหียงแก้ว อาจารย์ประจำคณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล  www.youtube.com/watch?v=9Cl1GoWgSAE&index=8&list=PLYbHecbpdP2tL3H2agUBXlaPy6Y5yJhVE

ปวดเข่า
สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เอ็นข้อไหล่ฉีกขาดเป็นอย่างไร ตอนที่ 2


เอ็นข้อไหล่ฉีกขาดเป็นอย่างไร ตอนที่ 2
การวินิจฉัยเอ็นข้อไหล่ฉีกของแพทย์
ทำการซักประวัติและตรวจหัวไหล่ผู้ป่วย แพทย์จะทำการซักถามเกี่ยวกับประวัติความเจ็บป่วย ความเจ็บปวด และอุบัติเหตุ หลังจากนั้นจะตรวจหัวไหล่ ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยได้มากขึ้น หากเอ็นข้อไหล่ฉีกทั้งหมดจะสังเกตได้ง่าย โดยแพทย์จะจับแขนผู้ป่วยให้ทำท่าหนึ่ง จากนั้นให้ผู้ป่วยลองทำท่านั้นด้วยตนเอง หากผู้ป่วยไม่สามารถทำได้ ได้ว่าผู้ป่วยเอ็นข้อไหล่ฉีก
ทำการเอกซเรย์ การเอกซเรย์แม้ไม่แสดงให้เห็นถึงการมีเอ็นข้อไหล่ฉีก แพทย์จะทำเอกซเรย์ที่หัวไหล่เพื่อที่จะดูว่ามีกระดูกยื่นออกมาหรือไม่  มีส่วนใดของหัวไหล่หายไป หรืออาจมีปุ่มกระดูกหัวไหล่ที่ไม่ปกติหรือไม่ เพราะอาการนี้ล้วนมีความสัมพันธ์กับเอ็นข้อไหล่ฉีก ภาพเอกซเรย์ให้เห็นว่ามีหินปูนเกาะบริเวณเส้นเอ็นหรือไม่ ที่จะเป็นสาเหตุให้เกิดอาการต่างๆ ได้จะเรียกการที่หินปูนเกาะนี้ว่า calcific tendonitis 

Ultrasound  จะมองเห็นส่วนเนื้อเยื่ออ่อนอย่าง เส้นเอ็นส่วน Rotator cuff ที่ให้เห็นถึงตำแหน่งที่เส้นเอ็นฉีกขาดและขนาดการฉีกขาดด้วย  และบ่งบอกการฉีกขาดของเส้นเอ็นนั้นเก่าหรือใหม่อีกด้วย เพราะสามารถแสดงให้เห็นคุณภาพของกล้ามเนื้อส่วน Rotator cuff อีกด้วย
ตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ magnetic resonance imaging: MRI  เป็นการตรวจทางรังสีวิทยาโดยใช้คลื่นแม่เหล็กในการสร้างเป็นภาพของหัวไหล่ลงบนฟิล์ม ช่วยให้เห็นภาพเส้นเอ็นได้ชัดเจนมาก เช่นเดียวกับการเห็นกระดูก วิธีนี้ไม่มีความเจ็บปวดแต่อย่างใด ไม่ต้องใช้เข็มหรือว่าการฉีดยา
ทางเลือกในการรักษาเอ็นข้อไหล่ฉีก
เกือบ 50%ของคนไข้ที่รักษาโดยไม่ผ่าตัดมีอาการปวดลดลงและกลับไปใช้งานได้ แต่ความแข็งแรงของไหล่จะไม่กลับมา

การรักษาแบบไม่ผ่าตัดมีดังนี้
o พักผ่อนและเลี่ยงการยกแขนสูง โดยหยุดการใช้งานไหล่ และปรับกิจกรรมที่ทำให้ปวดไหล่ อาจใส่มีการใส่ Sling เพื่อป้องกันไหล่ให้อยู่นิ่ง
o ใช้ยาแก้อักเสบ อย่างเช่น ยา aspirin หรือ ยา ibuprofen ช่วยควบคุมความเจ็บปวดและการอักเสบของผู้ป่วย แพทย์อาจฉีดยา cortisone หากผู้ป่วยควบคุมความเจ็บปวดไม่ได้
o ทำกายภาพบำบัด นักกายภาพบำบัดจะช่วยกำหนดโปรแกรมการฟื้นฟูให้กับผู้ป่วย ขั้นแรกเป็นการลดความเจ็บปวดและอาการอักเสบด้วยกับการประคบร้อนหรือเย็น จากนั้นรักษาด้วยการออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆกัน เพื่อที่จะให้หัวไหล่ขยับได้มากขึ้น
ในขั้นต่อไป ผู้ป่วยเริ่มออกกำลังเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและเพื่อให้สามารถควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่และเอ็นข้อไหล่ได้ดีมากขึ้น นักกายภาพบำบัดจะถนอมกล้ามเนื้อนี้ให้ผู้ป่วยเพื่อให้กระดูกของ humerus อยู่ในเบ้า ทำให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวไหล่ได้ตามปกติ ต้องทำกายภาพบำบัดเป็นเวลาประมาณ  6–8 สัปดาห์ ส่วนมากผู้ป่วยจะสามารถทำกิจวัตรได้ตามปกติและใช้แขนได้อย่างเต็มที่เหมือนเดิม

ข้อดีของการรักษาแบบไม่ผ่าตัด คือ 
ไม่มีการติดเชื้อ
ไหล่ยึดอย่างถาวร
ไม่มีอาการแทรกซ้อนจากการดมยา
มีการฟื้นตัวที่บ้าน
ข้อเสียจากการรักษาแบบไม่ผ่าตัดคือ
ความแข็งแรงไม่กลับมา
ขนาดการฉีกขาดเพิ่มมากขึ้น
ทำกิจกรรมได้ลดลง

ขอบคุณข้อมูลจาก 
http://www.jointdee.info/246-2/เส้นเอ็นข้อไหล่ฉีก/
https://www.bumrungrad.com/th/orthopedic-surgery-care-center-bangkok-thailand/conditions/shoulder-rotator-cuff-surgery


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เส้นเอ็นข้อไหล่ฉีกขาดเป็นอย่างไร ตอนที่ 1




เส้นเอ็นข้อไหล่ฉีกขาดเป็นอย่างไร ตอนที่ 1

เอ็นข้อไหล่ คือ กลุ่มของเอ็นและกล้ามเนื้อที่บริเวณไหล่ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมระหว่างส่วนแขนบนที่เรียกว่า  humerus  และ และส่วนของไหปลาร้าที่เรียกว่า scapula เข้าด้วยกัน ทำให้หัวไหล่แข็งแรงและกล้ามเนื้อไหล่หมุนได้ แต่หากว่าเอ็นข้อไหล่ฉีกอาจส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดและไม่สามารถยกแขนได้ตามปกติได้

โดยทั่วไปมักพบว่า ผู้ป่วยที่มีอาการเอ็นข้อไหล่ฉีกจะอยู่ในช่วงวัยกลางคนและเคยมีปัญหาเกี่ยวกับหัวไหล่ หากว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้ยกของหนักก็จะส่งผลให้เอ็นข้อไหล่ฉีกได้ แต่คนหนุ่มสาวก็สามารถประสบกับอาการนี้ได้เช่นหากใช้งานหัวไหล่มากเกินไป หรือเกิดอุบัติเหตุ

ไหล่ประกอบไปด้วย กระดูก 3 ชิ้น ได้แก่ กระดูกแขนส่วนบน กระดูกสะบัก  และ กระดูกไหปลาร้า และข้อต่อบริเวณไหล่จะมีโครงสร้างที่มีลักษณะเป็นเบ้า (Ball-and-socket) หัวของกระดูกต้นแขนจะอยู่ในเบ้าของกระดูกสะบักแบบพอดีกัน โดยมีโครงสร้างของส่วน Rotator cuff ประคองอยู่ ที่ประกอบด้วยมัดกล้ามเนื้อทั้งหมด 4 มัดรวมกันเป็นเส้นเอ็น ไปปกคลุมบริเวณกระดูกต้นแขน เส้นเอ็นส่วน Rotator cuff นี้จะยึดกระดูกต้นแขนกับกระดูกไหปลาร้าไว้ เพื่อใช้ยกและหมุนแขนได้ รวมทั้งมีถุงน้ำหล่อลื่นชื่อว่า Bursa อยู่ระหว่างส่วนของ Rotator cuff และส่วนบนของกระดูกไหล่  ที่จะช่วยให้ข้อไหล่สามารถขยับได้อย่างอิสระ เมื่อส่วนของเส้นเอ็น Rotator cuff บาดเจ็บหรือเสียหายไปBursa นี้ก็ ก็จะอักเสบและปวดตามไปด้วย

สาเหตุของเอ็นข้อไหล่ฉีก
เอ็นข้อไหล่เสื่อมสภาพตามกาลเวลา ปกติในร่างกายของเรา ส่วนใดที่มีเลือดไปเลี้ยงมาก จะมีสามารถรักษาตัวเองได้มากและเร็วขึ้นด้วย บริเวณที่มีเลือดหล่อเลี้ยงน้อย อย่างเช่น ส่วนของเอ็นข้อไหล่ จะเสื่อมสภาพได้ตามกาลเวลา และทำให้กลุ่มเส้นเอ็นเปราะและฉีกขาดได้ง่าย เอ็นข้อไหล่ฉีกจึงที่พบได้ในผู้สูงอายุ
หัวไหล่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน พร้อมกับการเสื่อมสภาพของเอ็นข้อไหล่ ก็จะทำให้อาการแย่ลงไปอีก สาเหตุนี้พบได้ในนักกีฬาที่ต้องมีการเขวี้ยงมือเป็นประจำ เช่น นักเบสบอล เป็นต้น รวมถึงการทำกิจวัตรประจำวัน อย่างเช่น การเช็ดหน้าต่าง ทาสี ล้างรถ หากทำต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็ทำให้เกิดเอ็นข้อไหล่ฉีกได้
มีการออกแรงมากเกินไป คือ ความพยายามที่จะออกแรงจับวัตถุที่กำลังหล่นลงมาจากที่สูง หรือยกวัตถุที่หนักด้วยมือที่ยืดออกไป รวมไปถึงแรงที่เกิดจากการกระแทกลงบนไหล่โดยตรง จะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บและเอ็นข้อไหล่ฉีกได้

อาการของเอ็นข้อไหล่ฉีก
ผู้ปว่ยรู้สึกเจ็บปวดและหัวไหล่ที่บาดเจ็บมีอาการอ่อนแรง หากว่ารอยฉีกมีมากเท่าไร ก็ยิ่งเจ็บปวดและอ่อนแรงมากขึ้นเท่านั้น หากเอ็นข้อไหล่ฉีกเพียงบางส่วน ผู้ป่วยอาจจะรู้สึกเจ็บได้แต่ก็ยังสามารถเคลื่อนไหวแขนได้ตามปกติ ทั้งนี้แล้วโดยส่วนใหญ่เมื่อเอ็นข้อไหล่ฉีกจะทำให้บริเวณหัวไหล่รู้สึกเจ็บแบบไม่ชัดเจนมากนัก อาจจะรู้สึกแปลบเฉพาะเวลาที่ใช้แขน บางรายไม่สามารถนอนหลับได้เนื่องจากรู้สึกเจ็บปวด
ไม่สามารถกางแขนออกข้างลำตัวได้  หรือไม่สามารถเคลื่อนไหวแขนได้อย่างที่เคยทำได้ เป็นไปได้ว่าเอ็นข้อไหล่ฉีกทั้งหมด

ขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.jointdee.info/246-2/เส้นเอ็นข้อไหล่ฉีก/

ปวดไหล่

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน