ปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่อมีอาการคันเรื้อรัง
คนที่เริ่มมีอาการคันเรื้อรัง ควรที่จะหันมาเอาใจใส่ดูแลตัวเองในเรื่อง
สุขภาพของผิวหนัง โดยเฉพาะในบริเวณที่มีอาการคันบ่อยๆ หรือว่าอาจจะเห็นผดผื่นคันขึ้น
บริเวณผิวหนังเป็นจำนวนมาก ไม่ควรที่จะแกะ หรือเกาบริเวณผิวหนังที่มีอาการ
อาจจะทำให้เกิดการกำเริบของอาการคันทางผิวหนังลามไปทั่วทั้งตัวได้
ยิ่งคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนัง โรคไต และโรคเบาหวานอยู่แล้วควรระวังให้มากๆ อาจจะเป็นการกระตุ้นให้มีอาการคันมากขึ้น
ได้จนอาจจะลุกลามเป็นอาการคันแบบเรื้อรังที่หาทางรักษายากกว่าเดิมได้
ผู้ที่มีอาการคันควรปฏิบัติตัว ดังนี้
1. ◉ ควรที่จะดูแลเรื่องของเล็บมือ
เพราะว่าเมื่อเวลาที่เราเกิดมีอาการคันขึ้นมา คนที่มีเล็บมือยาว ก็อาจเป็นการทำให้ผิวหนังบริเวณที่เกาเกิดอาการอักเสบได้
2. ◉ ควรหลีกเลี่ยงการแกะเกาบริเวณตรงส่วนของผิวหนังที่มีอาการอักเสบอยู่
เพราะว่าอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อบริเวณผิวหนังส่วนนั้นได้ และเป็นการเพิ่มโรคทางผิวหนังเพิ่มให้กับร่างกายมากขึ้นอีกด้วย
3. ◉ ควรใช้สบู่ที่มีกรดอ่อนๆ
หรือโลชั่นที่ใช้ในการทาผิว ควรเลือกที่มีสารเคมีอ่อนๆ เพื่อไม่ให้เป็นการระคายเคืองให้กับผิวหนังที่มีอาการคันอยู่ก่อนแล้ว
และควรที่จะทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังบริเวณที่มีอาการคันจะได้บรรเทาอาการคันลงได้
4. ◉ ควรหลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำมาจากหนังสัตว์
เสื้อผ้าที่มีเนื้อหยาบ และเสื้อผ้าที่ทำมาจากใยแก้ว
เพราะจะทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองจนทำให้มีอาการคันตามมาได้
ลดการกระตุ้นของอาการคันด้วยการใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบาย ไม่รัดจนเกินไป
เพื่อไม่ให้ผิวหนังของเราเกิดการระคายเคืองได้
5. ◉ ทำจิตใจให้สงบ
ลดภาวะที่อาจจะก่อเกิดของความเครียดไป ควรที่จะตั้งสมาธิเพื่อลดอาการตึงเครียดไม่ว่าจะมาจากการทำงานหรือว่ามาจากสิ่งแวดล้อมๆ
รอบข้าง
เนื่องจากความเครียดส่งผลกระทบไปถึงสมองทำให้ระบบการทำงานในร่างกายของเราทำงานอย่างไม่เป็นปกติ
จนเกิดอาการคันตามผิวหนังอีกด้วย
6. ◉ ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อเป็นการควบคุมอาการคัน
และเป็นการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุสำคัญของอาการคัน จะทำให้อาการคันบรรเทาลง
และอาจจะหายคันได้ในที่สุด
อาการคันต่างๆ
สามารถที่จะดีขึ้นได้ ถ้าได้รับการรักษาและมีการควบคุมอาการคันได้อย่างถูกต้อง
สำหรับกรณีที่สามารถหาสาเหตุของอาการคันได้อย่างแน่ชัดเท่านั้น จึงสามารถที่จะแก้ไขอาการได้อย่างถูกจุดนั้นเอง
อ้างอิงข้อมูลจาก
: คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
http://www.si.mahidol.ac.th/