disable right click

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558


❤❤ อาการปวดหลัง ปวดคอเรื้อรังเป็นอย่างไร? ❤❤

          จะทำอย่างไรเมื่อมีอาการปวดคอ ปวดหลังแบบเรื้อรัง ซึ่งอาการต่าง ๆ เหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับเราทุกคนในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งในบางรายนั้นอาการปวดต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นเพียงระยะเดียวแล้วก็หายไปก็นับว่าโชคดีเป็นอย่างมาก แต่ก็มีผู้ป่วยอีกเป็นจำนวนมากที่เกิดอาการปวดต่าง ๆ เหล่านี้แล้วเรื้อรังจนไม่สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจเป็นอย่างมาก แต่ใช่ว่าจะไม่สามารถรักษาได้หากรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษา
ในปัจจุบันนั้นความก้าวหน้าทางการแพทย์ช่วยให้สามารถรับมือกับอาการปวดหลัง ปวดคอเรื้อรัง ได้อย่างตรงจุด และได้ผลดียิ่งขึ้น ซึ่งความก้าวหน้าในการรักษาเหล่านี้สามารถช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างปกติอีกครั้ง

❤ เกิดอาการปวด แล้วปวดอย่างไร?

            สำหรับอาการปวดคอ ปวดหลังนั้นเป็นอาการที่พบบ่อย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วไม่ร้ายแรงมากนัก และมักจะเกิดจากกิจกรรมท่าทางในชีวิตประจำวันที่ไม่ถูกต้องมากนัก รวมไปถึงกิจกรรมทางร่างกายที่เกินกำลัง หลายครั้งอาจนำไปสู่การหดเกร็งของกล้ามเนื้อจนกลายมาเป็นอาการปวดในที่สุด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาการปวดคอ ปวดหลังนั้นมักจะหายไปเอง เมื่อมีอาการแล้วผู้ป่วยรู้จักดูแลตัวเองและทำการพักผ่อนร่างกาย รับประทานยาแก้ปวดลดอาการอักเสบ อาการต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะทุเลาลงจนหายไปในที่สุดไม่จำเป็นต้องเดินทางมาพบแพทย์แต่อย่างใด
แต่ถ้าหากว่าอาการปวดคอ ปวดหลังดังกล่าวนั้นมีความรุนแรง และเรื้อรังจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเดินทางพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างถูกวิธี กล่าวคือ ทำการรักษาในเบื้องต้น และทำกายภาพบำบัดแล้วนานกว่า 3 เดือนก็ยังไม่หาย หรือไม่ดีขึ้น หรือมีอาการปวดแล้วลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น อาการปวดคอแล้วร้าวไปยังแขน หรือปวดหลังร้าวลงขา ในกรณีนี้จะต้องรีบพบแพทย์เพราะเป็นสัญญาณว่าเส้นประสาทกำลังได้รับการรบกวนนั่นเอง

❤ สาเหตุของอาการปวดคอ ปวดหลัง

         สำหรับสาเหตุของอาการปวดคอ ปวดหลังนั้น มักมาจากภายในร่างกายของผู้ป่วยเอง และมาจากปัจจัยภายนอก ซึ่งปัจจัยภายในร่างกายนั้นก็ได้แก่ ความผิดปกติทางพยาธิสภาพของกระดูกสันหลัง เช่น หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท หรือ กระดูกสันหลังเคลื่อน กระดูกสันหลังคดงอผิดปกติ กระดูกสันหลังเสื่อม หรืออาจมีเนื้องอกที่กระดูกสันหลัง ส่วนปัจจัยภายนอกนั้นก็ได้แก่ กิจกรรมทางร่ายกายของผู้ป่วย เช่น เกิดจากท่าทางที่ไม่ถูกต้อง การนั่งอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ การนั่งหลังไม่พิงพนัก ก้มคอทำงานเป็นเวลานาน หลังงอ ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้สร้างความเครียดให้กับกระดูกสันหลัง และคอ เมื่อเกิดขึ้นบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ เป็นเวลานานนับปีก็ทำให้กระดูกเสื่อมลงจึงส่งผลให้เกิดอาการปวดคอ ปวดหลังเรื้อรังในที่สุด
อ้างอิงข้อมูล: บทความของ นพ. วีระพันธ์ ควรทรงธรรม หัวหน้าสถาบันกระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์เป็น ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของโลกทางด้านศัลยกรรมประสาทผ่าน กล้องเอนโดสโคปซึ่งเป็นเทคนิคการผ่าตัดแบบแผลเล็กเพื่อรักษาความผิดปกติของกระดูกสันหลังส่วนบั้นเอว อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกสอนร่วมในการสาธิตและฝึกผ่าตัดสําหรับแพทย์ในประเทศเยอรมนี และภูมิภาคเอเชีย
ข้อมูลจาก โรงพยาบาล bumrungrad




วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558



🌹🌹 มุมมองใหม่ ของอาการปวดหลัง 🌹🌹
              อาการปวดหลังนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยไม่มีการเจาะจงเพศ หรืออายุแต่อย่างใด แม้แต่เด็กที่มีอายุเพียงแค่ 1-2 ปีก็สามารถมีอาการปวดหลังได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้หลายคนมักคิดไปเองว่าการรักษาอาการปวดหลังนั้นจำเป็นจะต้องทำการผ่าตัดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังและต้องรักษาด้วยการผ่าตัดนั้นมีเพียงแค่ 20% เท่านั้น ส่วนอีก 80% สามารถรักษาให้หายได้โดยไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัดแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีหลายประเด็นที่คนมักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการปวดหลัง วันนี้เราจะมาเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับอาการปวดหลังเพื่อจะได้สามารถหาทางป้องกันและรับมือได้เมื่อมีอาการดังกล่าว

              สำหรับกระดูกสันหลังนั้นเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย ซึ่งทำหน้าที่ในการรองรับน้ำหนักตัว โดยจะแบ่งออกเป็นกระดูกส่วนคอ ส่วนอก และส่วนเอว กระดูกสันหลังแต่ละปล้องนั้นจะประกอบด้วยกระดูกข้อต่อสองชิ้น และมีหมอนรองกระดูกสั้นหลังคั่นระหว่างกระดูกแต่ละปล้อง โดยอาการปวดหลังส่วนใหญ่ของคนเรานั้นมักจะเกิดขึ้นที่บริเวณกระดูกสันหลังส่วนเอวที่ประกอบไปด้วยกระดูกทั้งหมด 5 ปล้องด้วยกัน อีกปัญหาหนึ่งที่มักจะพบบ่อยครั้งก็คือ หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ซึ่งมักเกิดขึ้นที่บริเวณกระดูกสันหลังส่วนเอวปล้องที่ 4-5 ของกระดูกสันหลังส่วนเอว

              หากเราพูดถึง หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท แล้วละก็อาจทำให้ใครหลายคนมีความรู้สึกกลัว หรือเป็นกังวลว่าจะต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด เพราะอาจเคยได้ยินมาว่าอาจทำให้เกิดเป็นอัมพาต แท้จริงแล้วอาการรุนแรงที่เกิดจากการผ่าตัดกระดูกสันหลังดังกล่าวมีเพียงแค่การกระดกปลายเท้าไม่ขึ้น โดยจะมีอาการชาและอ่อนแรงปลายเท้า เพราะการกระดกปลายเท้านั้นได้รับการควบคุมโดยเส้นประสาทสมองเส้นที่ 4-5 ในขณะที่เส้นประสาทไขสันหลังที่ต่อจากสมองนั้นจะสิ้นสุดที่กระดูกสันหลังปล้องที่ 1-2 เท่านั้น จึงไม่สามารถทำให้เกิดอาการอัมพาตได้

              อาการหลักของหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทนั้นมีเพียง 3 อาการเท่านั้น คือ เกิดอาการปวดหลัง ชา อ่อนแรง โดยอาการปวดดังกล่าวจะมีลักษณะปวดแบบแปล๊บ ๆ ร้าวลงไปที่ก้น และขา ซึ่งอาการดังกล่าวนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการตรวจวินิจฉัยของแพทย์หากผู้ป่วยสามารถบอกตำแหน่งของอาการปวดได้อย่างชัดเจน ก็จะส่งผลให้สามารถตรวจทราบได้ว่าอาการผิดปกติของกระดูกสันหลังเกิดขึ้นบริเวณใด ทำให้ง่ายต่อการวินิจฉัยในการตรวจรักษา ตัวอย่างเช่น หากมีอาการปวดร้าวมาที่บริเวณต้นขา แพทย์อาจสงสัยความผิดปกติที่กระดูกสันหลังปล้องที่ 3 – 4 หากมีอาการปวดร้าวไปถึงเท้า หรือบริเวณปลายเท้าก็อาจสงสัยได้ว่าเกิดความผิดปกติของกระดูกสันหลังบริเวณสองปล้องสุดท้ายเป็นต้น 

 ข้อมูลอ้างอิง  โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558



🔶 5 วิธีดูแลตนเองจากการแพ้อากาศ ในช่วงหน้าร้อน 🔶

การแพ้อากาศถือเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวเสียจริงๆ เพราะว่ามันทำให้เรานั้นไม่สบายตัวในการดำเนินชีวิต และทำให้เรานั้นต้องหันมาใส่ใจและดูแลตนเองมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหากคุณเป็นคนแพ้อากาศง่าย หรือว่าไม่ต้องการแพ้อากาศแล้ว แนวทางด้านล่างนี้จะช่วยให้คุณปลอดจากปัญหาแพ้อากาศได้อย่างง่ายดาย มาดูกันว่ามีวิธีอะไรบ้างครับ

🔵 .ดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำสม่ำเสมอ 🔵
เริ่มต้นจากการดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำสม่ำเสมอ เพราะน้ำสะอาดนั้นจะเป็นเสมือนตัวช่วยในการชำละล้างสิ่งสกปรก หรือสิ่งที่ร่างกายนั้นไม่ต้องการให้ออกมาจากร่างกาย และเป็นการเติมความชุ่มชื้นและความแข็งแรงให้กับผิวของคุณ ส่งผลให้คุณนั้นมีสุขภาพที่ดีขึ้นนั่นเอง

🔵 ทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมขอสารสกัดจากผัก 5 ชนิด 🔵
ส่วนต่อมาที่จะต้องทำนั่นคือ การทานอาหารเสริมจำพวกผักผลไม้ หลายสี ซึ่งมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มความแข็งแรงให้กับเซลล์เม็กเลือดขาว ซึ่งส่งผลต่อการดูแลรักษาโรค และการต่อต้านอาการแพ้อากาศให้ดียิ่งขึ้นไปด้วยในตัว อันนี้อาจต้องลงทุนหน่อย แต่คุ้มค่ามากๆครับ

🔵ออกกำลังกายบ่อยๆ 🔵
การออกกำลังกาย ช่วยส่งเสริมความแข็งแรงของร่างกายมากๆ และยังส่งผลให้ระบบการทำงานต่างๆของร่างกายนั้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเพื่อป้องกันการแพ้อากาศแล้ว ควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 – 4 วัน วันละ 30-45 นาที เพื่อการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร โดยหากเป็นไปได้ให้เลือกการออกกำลังกายในร่มก่อนเสมอๆ

🔵 หลีกเลี่ยงการพาตนเองไปอยู่ในที่ที่มีมลภาวะ 🔵
ส่วนสำคัญที่สุดคือ พยายามหลีกเลี่ยงตนเอง จากมลภาวะทั้งหลายทั้งในเรื่องของฝุ่นควัน หรือว่าเรื่องอื่นๆ เพราะสิ่งเหล่านี้นั้น ถือว่ามีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของคุณเอง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีสุขภาพที่ไม่ดี และการแพ้อากาศอีกด้วย

🔵 พบแพทย์ทันทีหากมีอาการแพ้อากาศอย่างรุนแรง 🔵
หากการแพ้อากาศของคุณนั้นมีอาการรนแรง เช่นการหายใจไม่ออก หน้ามืด และเป็นลม อย่างนี้วิธีการรักษาการแพ้อากาศที่ดีที่สุดคือ การเลือกเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งจะได้เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมต่อตัวของเรา และช่วยให้อากาศแพ้อาการทุเลาลงมาอยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่อชีวิตมากขึ้น


ยังมีวิธีดูแลตนเองเพื่อป้องกันการแพ้อากาศอีกมามาย แต่การปฏิบัติตนตามแนวทางที่ได้ให้คำแนะนำไว้ข้างต้นนี้จะช่วยให้คุณนั้นบรรเทาอาการแพ้อากาศ หรือทำให้คุณนั้นปลอดจากปัญหาของการแพ้อากาศได้อย่างแน่นอน

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558


☀☀ เผย 5 สิ่งอย่าทำถ้าไม่อยาก ปวดหลัง ☀☀
ปวดหลัง อาการยอดฮิตที่ใครๆ ก็ไม่อยากเป็น แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะการเคลื่อนไหวในการใช้ชีวิตประจำวันล้วนทำให้เกิดอาการ ปวดหลัง ได้ ซึ่งไม่ได้เกิดในวัยผู้สูงอายุอีกต่อไป แต่ในวัยทำงาน หรือในวัยเรียนก็สามารถเกิดอาการปวดได้เช่นกัน หลายคนเลือกที่จะรับประทานยาแก้ปวด ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าสามารถช่วยให้อาการปวดดีขึ้น แต่หากรับประทานยามากก็จะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย โดยวันนี้ขอแนะนำ 5 สิ่งที่ไม่ควรทำดังนี้

☀ อย่ายกของหนัก 
การยกของหนักเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงและไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะการยกของหนักจะทำให้เกิดอาการ ปวดหลัง แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรยกของหนักในท่าที่เหมาะสม คือการนั่งงอเข่าและยกของขึ้น ไม่ควรก้มแล้วยกของขึ้นทันที เพราะจะทำให้เกิดอาการ ปวดหลัง อย่างรุนแรงขึ้นได้

☀ อย่าใส่รองเท้าส้นสูง 
การใส่รองเท้าส้นสูง เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอาการ ปวดหลัง โดยเฉพาะคุณสาวๆ ที่ชอบใส่รองเท้าส้นสูง นอกจากจะเกิดอาการปวดบริเวณหลังแล้ว ยังทำให้เกิดอาการปวดเกร็งบริเวณหัวเข่า และน่องด้วย แต่หากมีความจำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูงก็ควรพักการใส่ระหว่างวันบ้าง เพื่อลดการเกิดอาการปวดลง

☀ อย่านั่งทำงานนาน 
การนั่งทำงานที่นานมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หากนั่งนานๆ และนั่งไม่ยืดหลังตรง หรือการนั่งผิดท่า ก็จะส่งผลทำให้เกิดอาการ ปวดหลัง โดยส่วนใหญ่แล้วจะเกิดอาการปวดเรื้อรัง คือปวดอย่างรุนแรงขึ้นเพราะเกิดจากการสะสม ดังนั้นควรนั่งหลังตรง และพักบ้าง

☀ อย่านอนพื้น 
การนอนพื้น โดยเฉพาะพื้นปูนที่แข็งมากเกินไปก็จะทำให้เกิดอาการ ปวดหลัง ดังนั้นในการนอนควรจะนอนที่นอนหนาและไม่นุ่มจนเกินไป รวมถึงควรเลือกที่นอนที่ช่วยดูแลสุขภาพหลัง ทำให้หลังตรงไม่คดงอและทำให้อาการ ปวดหลัง น้อยลง และควรหลีกเลี่ยงการนอนพื้น

☀ อย่าน้ำหนักเกิน 


การดูแลตัวเอง และหาวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอาการ ปวดหลัง ถือเป็นเรื่องที่ทุกคนควรรู้ไว้เพื่อใช้กับการดูแลตัวเอง และป้องกันไม่ให้เกิดอาการ ปวดหลัง สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือไม่ควรยกของหนัก การใส่รองเท้าส้นสูง การนั่งทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน การนอนพื้น และการมีน้ำหนักมาก

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558



❀ มาทำความรู้จักกับโรคแพ้อากาศว่าเป็นอย่างไร 
โรคแพ้อากาศ หรืออาจเรียกอีกอย่างว่า “โพรงจมูกอักเสบจากการแพ้ (Allergic Rhinitis)” นับเป็นโรคที่พบบ่อยมากที่สุดอีกโรคหนึ่งในบ้านเราและกำลังเป็นโรคยอดนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับความผิดปกติของโพรงจมูก ที่ได้รับการสัมผัสกับฝุ่นละอองต่าง ๆ หรือมลพิษ โดยการหายใจเข้าไปแล้วเกิดการระคายเคืองภายในเยื่อบุโพรงจมูกทำให้เกิดอาการอักเสบขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีน้ำมูกไหล จาม คันจมูก คัดจมูก  
จมูกเป็นอวัยวะส่วนสำคัญของระบบทางเดินหายใจ ใช้กลั่นกรองฝุ่นละออง สิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่จะเข้าไปสู่ระบบทางเดินหายใจในร่างกายโดยติดที่ขนจมูก รวมไปถึงใช้ในการปรับอุณหภูมิของร่างกายก่อนที่จะลงไปยังหลอดลม นอกจากนี้เยื่อจมูกยังมีหน้าที่ในการผลิตสารเยื่อเมือกเพื่อใช้ในการป้องกันสิ่งแปลกปลอมอีกด้วย
👉 สาเหตุที่ก่อให้เกิดโพรงจมูกอักเสบ
สำหรับโรคโพรงจมูกอักเสบ หรือโรคภูมิแพ้อากาศ จะทำให้เกิดอาการคัดจมูก คัน จาม และมีน้ำมูกไหล ซึ่งเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ทั่วไปมากมาย โดยมีสาเหตุมาจากสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้คือ
1.       เกิดจากโรคแพ้อากาศ (เรียกอีกอย่างว่า โพรงจมูกอักเสบจากการแพ้)
2.       เกิดจากเชื้อโรค เช่น ไวรัส (หวัด) หรือ เชื้อแบคทีเรีย
3.       เกิดจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิตสูง ฮอร์โมนบางชนิด
4.       เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ที่ไม่ทราบสาเหตุ จากพฤติกรรม การอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ หรือ การมีวิถีชีวิตที่ส่งผลกระทบ
ปัจจุบันโรคภูมิแพ้อากาศส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของคนไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานและอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ เนื่องจากมีมลภาวะในอากาศสูง ประกอบกับมีสิ่งแวดล้อมที่แออัด ท่ามกลางการแข่งขันที่สูง ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่มีเวลาน้อยมากในการดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดโรคและปัญหาสุขภาพต่าง ๆ มากมาย
ในบางครั้งการเป็นโรคโพรงจมูกอักเสบ (แพ้อากาศ) ยังเป็นต้นเหตุของการนำโรคร้ายแรงอื่น ๆ เข้าสู่ร่างกายได้อีกด้วย ดังนั้นหากมีอาการที่อาจส่งผลให้เกิดโพรงจมูกอักเสบต้องรีบดำเนินการรักษาอย่างถูกวิธี ถึงแม้ว่าโรคชนิดนี้จะสามารถหายไปได้เองเป็นระยะ ๆ แต่หากปล่อยเอาไว้จนเรื้อรังจะส่งผลกระทบในด้านอื่น ๆ ของร่างกายและยังทำให้ร่างกายเกิดความอ่อนแอ ซึ่งเป็นช่องทางให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้อย่างเช่น โรคไซนัสอักเสบเป็นต้น

อย่างไรก็ตามการดูแลป้องกันรักษาสุขภาพเป็นอย่างดีเป็นประจำย่อมดีกว่า การรักษาอย่างแน่นอน ทั้งนี้ต้องรับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ และเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ รวมไปถึงการหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำก็จะช่วยให้ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแรงสามารถต่อต้านโรคต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังสามารถปรับสมดุลของร่างกายให้เหมาะสมเพื่อให้เกิดความพร้อมกับทุกสถานการณ์ต่าง ๆ ได้



สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558



☀☀อาการปวดข้อเข่า หากคุณเป็นแล้วต้องรีบรักษา ☀☀
อาการปวดข้อเข่านั้น เป็นปัญหาปกติของคนทุกวัยที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ดังนั้นอย่าวิตกกังวลจนเกินไป เพราะโรคนี้สามารถรักษาให้หายได้ โดยปกติแล้วคนทั่วไปมักคิดไปเองว่า คงเพราะอายุเรามากขึ้นจึงทำให้เกิดอาการปวดข้อเข่า และปล่อยให้เวลาผ่านพ้นไปนับปีจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โดยที่เมื่อมีอาการก็จะแค่รับประทานยาบรรเทา ส่วนกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งผลต่ออาการปวดข้อเข่าก็จะงดไปและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ท่านผู้อ่านรู้สึกคุ้นๆ หรือไม่ครับ

☀☀สาเหตุของการปวดข้อเข่า
หลายคนเมื่อรู้สึกถึงอาการปวดข้อเข่าก็จะทำการสรุปเอาเองว่าน่าจะมาจาก วัยที่มากขึ้น และอาจทึกทักเอาเองไปว่า “เกิดจากข้อเสื่อม” สิ่งที่คิดเหล่านี้อาจไม่สามารถสรุปได้ถูกต้องเสมอไป เนื่องจากอาการปวดข้อเข่านั้นสามารถเกิดขึ้นได้หลายกรณีด้วยกัน และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับวัยหรืออายุแต่อย่างใด
สำหรับอาการปวดข้อเข่า หรือ ปวดข้อ นั้นเป็นผลมาจากภาวะการอักเสบของข้อ ซึ่งมีสาเหตุนับร้อย ๆ สาเหตุด้วยกัน โดยที่สาเหตุหลักๆ ที่หลายคนคงคุ้นเคยกันดีนั่นก็คือ ข้ออักเสบเนื่องจาก อุบัติเหตุ ข้อเสื่อม โรคเกาต์ หรือ รูมาตอยด์ ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ก็เช่น เกิดจากการติดเชื้อ โรคภูมิแพ้บางชนิด โรคผิวหนัง และโรคอื่น ๆ ปัญหาอาการปวดข้อ หรือ ข้อเข่า นี้หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม และมีอาการอักเสบบวม จนเรื้อรังจะกลายเป็นสาเหตุหลักของโรคข้อเสื่อมที่จะบั่นทอนประสิทธิภาพการทำงานของข้อลงได้

☀☀การสังเกตุและทำการรักษา
การให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาต่อสุขภาวะของข้อนับเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หลายคนเมื่อพบอาการปวดข้อ หรือข้อเข่าก็มักจะปล่อยทิ้งเอาไว้ให้อาการดังกล่าวนั้นหายไปเอง หรือรอดูอาการก่อน บางรายอาจใช้การรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการปวดลงซึ่งทำให้อาการทุเลาลงได้บ้างจึงเป็นเหตุให้ต้องเลื่อนการพบแพทย์ออกไปทำให้ปัญหาของโรคข้ออักเสบ หรือปวดข้อเข่าไม่ได้รับการแก้ไขรักษาเลย
ข้อเสื่อม หรือข้ออักเสบนั้นสามารถพบได้บ่อยในบุคคลทั่วไป ไม่เฉพาะแต่กับผู้ที่สูงอายุเท่านั้น แต่ยังพบกับผู้ที่มีน้ำหนักมากอีกด้วย ภาวะข้อเสื่อมนี้เกิดขึ้นเมื่อผิวกระดูกอ่อนถูกทำลาย โดยอาจมีการหลุดลอก หรือบางลงจนทำให้เกิดอาการปวดข้อจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้อย่างลื่นไหลต่อเนื่องได้ควรรีบเดินทางไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย และทำการรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งจะเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลมากที่สุด ดังนั้นหากท่านผู้อ่านมีอาการดังกล่าวอย่าได้รีรอที่จะทำการรักษาเพราะโรคนี้จะสร้างปัญหาต่าง ๆ ต่อการดำรงชีวิตประจำวันไปโดยสิ้นเชิง


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558



☀☀ นิ้วมือชาอาการเป็นอย่างไร ☀☀

      นิ้วมือชาเป็นปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยมากขึ้นในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ทำงานประจำ หรือทำงานในสำนักงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำหรืองานที่ต้องอาศัยนิ้วมือบ่อย ๆ บางท่านจะมีอาการ นิิ้วชาในระหว่างการทำงาน หรือเวลากลางคืน และในบางท่านมักจะมีอาการเช่นนี้บ่อย ๆ โดยที่บางครั้งก็ดีขึ้นและหายไปเอง หากมีอาการบ่อยขึ้นปลายนิ้วมือมีอาการชามากยิ่งขึ้น หรือมีอาการชา ตลอดเวลา หากอาการนี้ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจมีผลทำให้กล้ามเนื้อฝ่ามือบริเวณโคนนิ้วหัวแม่มือนั้นลีบลงได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับอาการนิ้วมือชาเพื่อที่จะได้สามารถหาวิธีการป้องกันและรักษาได้อย่างถูกต้องก่อนที่จะสายเกินไป

☀☀ อาการที่พบบ่อยของสาเหตุนิ้วมือชา ☀☀

    ✎ รู้สึกชาบริเวณส่วนปลายของนิ้ว เช่น นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง เฉพาะนิ้วใดนิ้วหนึ่ง หรือทั้ง 3 นิ้วที่กล่าวมานี้รวมไปถึวนิ้วนางครึ่งนิ้ว
    
    ✎ อาการชาของนิ้วในบางครั้งเมื่อเกิดขึ้นก็จะหายไปเอง หรือมีอาการนิ้วชามากขึ้นในช่วงเวลากลางคืน
  
     รู้สึกนิ้วมือชามากขึ้นโดยเฉพาะในเวลาทำงาน หรือนิ้วชาอยู่ตลอดเวลา

    ✎ มีอาการกดเจ็บโดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือ

หากมีอาการดังที่ได้กล่าวมานี้เกิดขึ้นกับตัวท่านเอง นี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญหนึ่งของภาวะเส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทับ หากไม่รีบทำการบำบัดรักษาอาจทำให้เกิดอาการเรื้อรังขึ้นมา และทำให้บริเวณโคนนิ้วมือนั้นลีบลงได้

☀☀ ต่อไปนี้คือโครงสร้างของมือที่ทำให้เกิดอาการนิ้วมือชา ☀☀

เนื่องจากว่าเส้นประสาทบริเวณฝ่ามือนั้นมีด้วยกัน 2 ดังต่อไปนี้คือ

✎ เส้นประสาทมีเดียน (Median Nerve) จะทำการเลี้ยงฝ่ามือในส่วนของบริเวณนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และบริเวณนิ้วนางครึ่งนิ้ว

     ✎ เส้นประสาทอัลน่าร์ จะทำการหล่อเลี้ยงฝ่ามือบริเวณนิ้วก้อย และอีกครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง
สำหรับเส้นประสาทมีเดียนนั้นจะเข้าไปในบริเวณฝ่ามือโดยผ่านอุโมงค์ (Carpal Tunnel) ซึ่งบริเวณนี้นั้นจะมีเยื่อพังผืด (Deep Tranverse Carpal Ligament) ขึงอยู่ระหว่างกระดูกข้อมูลที่อยู่ในอุโมงค์นี้ โดยนอกจากจะมีเส้นประสาทมีเดียนแล้วบริเวณนี้ยังมีเอ็นซึ่งทำหน้าที่ในการงอนิ้วอีกจำนวน 9 เส้นอยู่รวมกัน โดยที่เส้นประสาทมีเดียนเมื่อคลอดอุโมงค์ข้อมือเข้าไปแล้ว จะแยกแขนงเพื่อรับรู้ความรู้สึกที่นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และอีกครึ่งนิ้วของนิ้วนาง ส่วนอีกแขนงนั้นจะไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่บริเวณเนินฝ่าข้อมือในส่วนของโคนนิ้วหัวแม่มือ (Thenar Eminence)

☀☀ สาเหตุหลักของอาการนิ้วชา ☀☀

การใช้งานของข้อมือที่มีการงอบริเวณข้อมือ หรือทำการกระดกข้อมือมาก ๆ จะส่งผลให้เยื่อพังผืดไปกดรัดเส้นประสาทข้อมือมากยิ่งขึ้น จึงทำให้เกิดอาการชานิ้วมือดังกล่าว แต่ผลจากสิ่งที่เกิดนี้มักจะหายไปเองในอีก 1-2 ชั่วโมง ส่วนปัจจัยอื่นที่สามารถเป็นต้นเหตุของอาการนิ้วมือชานั้นก็ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคพิษสุราเรื้อรัง สำหรับผู้ป่วยที่มีอายุมากขึ้นนั้น การเกิดภาวะนี้อาจทำให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณส่วนต่าง ๆ ในอุโมงนี้น้อยลง ซึ่งอาจทำให้เซลบางส่วนตาย จะมีอาการบวมของเอ็นเยื่อหุ้มเอ็นกดทับเส้นประสาทมีเดียนมือได้
ข้อมูลอ้างอิง: http://health.mthai.com/knowledge/5813.html


เพิ่มเพื่อน




วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558



โรคข้อเสื่อม กับความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับการรักษา 
โรคข้อเสื่อม นับเป็นโรคที่บั่นทอนความรู้สึกของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เพราะเป็นโรคที่เรื้อรังที่ในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ในปัจจุบันคนไทยเป็นโรคข้อเสื่อมมากขึ้นทุก ๆ ปีและคาดว่าจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และอาจสูงถึง 6 ล้านคนภายในอีกไม่กี่ปีนี้ โดยปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคนี้นั้นก็คือ “อายุ” ซึ่งโรคข้อเสื่อมมักเกิดกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปทั้งชายและหญิง และเนื่องจากเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงทำได้แค่เพียงการชลอหรือบรรเทาเพื่อไม่ให้มีอาการมากขึ้น จนถึงขั้นพิการไม่สามารถเดิน หรือเคลื่อนไหวได้ ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรหาความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับโรคข้อให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้สามารถดูแลตัวเองให้ถูกต้องเหมาะสม และต่อไปนี้คือสิ่งที่หลาย ๆ คนมักเข้าใจผิดกันเกี่ยวกับโรคข้อเสื่อมและการรักษา

        ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการออกกำลังกาย เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือความผิดปกติ
            เกี่ยวกับข้อ
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าหากเกิดความรู้สึกปวดข้อ หรือปวดข้อเข่าควรฝืนออกกำลังกายนั้น ๆ ต่อไปแล้วเดี๋ยวอาการเหล่านั้นจะหายไปซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด การกระทำดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อข้อมากยิ่งขึ้นและยังทำให้ข้อเสื่อมเร็วกว่าที่ควรอีกด้วย ความจริงแล้วหากเกิดอาการปวดเข่า หรือข้อเข่า ให้หยุดกิจกรรมนั้น ๆ สักสองสัปดาห์ เมื่อครบกำหนดและอาการปวดเข่าหายแล้วค่อยกลับมาออกกำลังกายใหม่อีกครั้ง แต่หากว่าครบสองสัปดาห์แล้วอาการปวดเข่ายังไม่หาย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย และทำการรักษาโดยทันที

♟ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการนวด
 หลายคนเข้าใจผิดว่าการนวดนั้นจะช่วยลดอาการปวดข้อ หรือทำให้หายจากอาการปวดข้อเข่า บางคนไปนวดดัดคอ ดัดหลัง ซึ่งความจริงแล้วการนวดดัดข้อต่าง ๆ เหล่านี้จะส่งผลให้อาการปวดยิ่งมากขึ้น ความจริงแล้วการนวดนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความสบาย และเกิดความรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น หากเป็นการนวดเพื่อให้หายจากการปวดข้อต้องระมัดระวังอย่างมาก

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการซื้อยามารับประทานเอง
การซื้อยามารับประทานเองต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะคุณอาจไปเจอกับยาพวก “เพรดนิโซโลน” ซึ่งเป็นสเตียรอยด์ เมื่อทำการรับประทานยาครั้งแรกอาจทำให้อาการปวดข้อต่าง ๆ เหล่านั้นหายไปทันที และสามารถรับประทานอาหารได้ดี อ้วน แต่ในระยะยาวแล้วเป็นอันตราย จะทำให้ติดยา หน้าจะบวม ระบบอวัยวะภายในร่างกายเสีย

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรับประทานแคลเซียมเสริม
 ความจริงแล้วการรับประทานแคลเซียมเสริมนับเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ โดยแคลเซียมจะช่วยให้กระดูกแข็งแรง สามารถรักษาโรคกระดูกพรุน แต่คนโดยทั่วไปกลับเข้าใจว่าแคลเซียมจะสามารถรักษาโรคข้อเสื่อม เกาต์ รูมาตอยด์ ได้ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ในความเป็นจริงแล้วการรับประทานแคลเซียมเสริมนั้นอาจไม่จำเป็นเท่าไหร่ นั่นก็เพราะว่าในอาหารที่เรารับประทานเป็นั



ข้อมูลอ้างอิง: สถาบันกระดูกและข้อพญาไท รพ.พญาไท 2 อินเตอร์เนชันแนล
ที่มา: http://www.phyathai.com/medicalarticledetail/1/10/301/th

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558



☀☀ 5 สัญญาณเตือนภัยโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ☀☀
ปัญหาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บนั้นคงไม่มีใครต้องการอย่างแน่นอน โดยเฉพาะโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตเป็นอย่างมาก และเมื่อเป็นแล้วการแก้ไขหรือรักษาค่อนข้างยุ่งยาก และมีโอกาสที่จะหายขาดได้นั้นน้อยมาก โดยส่วนใหญ่แล้วใช้เวลาในการรักษาเป็นเวลานานซึ่งก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่สูงตามไปด้วย วันนี้เรามีสัญญาณเตือนภัยเกี่ยวกับโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต มาฝากกันเพื่อที่หากมีอาการดังกล่าวแล้วก็ต้องรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย และทำการรักษาให้โดยเร็วเพื่อป้องกันปัญหาของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตที่จะมาคุกคามชีวิตของเราได้อย่างทันท่วงที การที่เราสามารถค้นพบอาการเริ่มแรกของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต และรีบทำการตรวจรักษาโดยเร็วมากขึ้นเท่าไร จะทำให้โอกาสที่จะเสียชีวิต หรือทำให้เกิดการพิการลดลงมากขึ้นเท่านั้น ต่อไปนี้คืออาการสำคัญ 5 อย่างที่ควรสังเกตุอย่างสม่ำเสมอดังนี้
 อาการชา หรือรู้สึกอ่อนแรงที่บริเวณหน้า ขา หรือแขน ในซีกใดซีกหนึ่งอย่างทันทีทันใด
 อาการอารมณ์ และความรู้สึกเปลี่ยน เช่น เอะอะ โวยวาย สับสน ซึม พูดจาลำบาก พูดไม่ชัดเจน หรือพูดไม่ได้ ไม่เข้าใจคำพูด แบบทันทีทันใด
อาการปัญหาในการมองเห็น เช่น ตามัว เห็นภาพซ้อนของตาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างแบบทันท่วงที
อาการเวียนศรีษะ มึนงง เดินลำบาก เดินเซ เดินไม่ได้ หรือส่งผลให้เกิดการสูญเสียการทรงตัวในการเดิน ยืน ในแบบทันทีทันใด
☀ มีอาการปวดศรีษะอย่างรุนแรง โดยไม่มีสาเหตุ แบบทันทีทันใด
หากพบว่ามีอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นข้อใดข้อหนึ่งก็ตามแบบทันทีทันใด ให้เกิดความสงสัยก่อนเลยว่านี่อาจเป็นสัญญาณแรกเริ่มของการเกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย และทำการรักษาโดยเร็วที่สุดภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงนับตั้งแต่เริ่มมีอาการครั้งแรก ถึงแม้ว่าอาการดังกล่าวจะหายไปในภายหลังไม่กี่นาทีก็ตาม ก็ยังคงต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย เพราะอาการดังกล่าวเหล่านี้คือสัญญาณเตือนที่เรียกว่า ภาวะ Transient ischemic attack (TIA) ซึ่งภาวะนี้จะส่งผลรุนแรงที่น้อยกว่าอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักมีอาการไม่เกิน 1 ชั่วโมงโดยประมาณแล้วก็จะหายไปเองโดยไม่ต้องทำการรักษา
หากพบอาการดังกล่าวเกิดขึ้นนับว่าเป็นสัญญาณเตือนที่มีความสำคัญอย่างมาก หากไม่รีบดำเนินการตรวจรักษาอาจทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตในเวลาต่อมาได้ นอกจากนี้อาการเตือนดังกล่าวยังไม่จำเป็นจะต้องเกิดล่วงหน้าเพื่อเป็นการเตือนสำหรับผู้ป่วยโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตทุกคนอีกด้วย
อย่างไรก็ตามปัญหาโรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ไม่ว่าสัญญาณเตือนเหล่านั้นจะส่งผลต่อโรคที่อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่การดูแลสุขภาพที่ดีและการป้องกันเอาไว้ก่อนย่อมดีกว่าเสมอ ในขณะเดียวกันการไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยก็ไม่ส่งผลให้เกิดความเสียหายใด ๆ สำหรับผู้ป่วยทุกคนแต่จะดีเสียกว่าเพราะสามารถทราบได้ก่อนว่าควรป้องกันและรักษาอย่างไรต่อไป

ข้อมูลอ้างอิง
ข้อมูลจากหนังสือคู่มือความรู้เรื่องอัมพาต สำหรับประชาชน โดยกรมควบคุมโรค
- นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 143 พฤศจิกายน 2555 โดย กองบรรณาธิการ


วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558



🍁 ทำความรู้จักกับโรคภูมิแพ้ 🍁 
โรคภูมิแพ้ หรือโรคแพ้นั้นสามารถเกิดได้ง่ายกับผู้ที่มีอาการไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศ หรือสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ต่าง ๆ ซึ่งนับเป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้มาก หากอยู่ในพื้นที่ความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอาการแพ้อาจส่งผลถึงแก้ชีวิตได้ ดังนั้นเพื่อที่เราจะสามารถเข้าใจได้มากขึ้นว่าโรคภูมิแพ้นั้นเป็นอย่างไร และจะป้องกันในเบื้องต้นอย่างไรได้บ้าง บทความนี้จึงอยากนำทุกท่านมาทำความรู้จักกันกับโรคภูมิแพ้ เพื่อที่จะได้หาทางแก้ไขป้องกันได้เมื่อต้องพบกับโรคนี้

🍁 โรคภูมิแพ้ หรือ โรคแพ้ (Allergy) อาการแพ้ต่าง ๆ 🍁 
หมายถึง อาการของโรคที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอาการไวต่อความผิดปกติกับสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ โดยโรคภูมิแพ้นั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นหญิง หรือชายก็ตาม และไม่ใช่โรคติดต่อแต่สามารถถ่ายทอดกันได้ทางพันธุกรรมจากรุ่นปู่ย่า ตายาย และพ่อแม่มาสู่ลูกหลานได้

สำหรับผู้ที่ไวต่อการสัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความชื้นในอากาศ ฝุ่นละอองในอากาศ ซึ่งในบางคนที่เป็นเรื้อรังมักจะพบภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น อย่างเช่น โรคไซนัสอักเสบที่เป็นการอักเสบของโพรงอากาศในจมูก โรคหอบหืด โรคริดสีดวงจมูก โรคหูชั้นกลางอักเสบร่วมด้วย

🍁 สิ่งที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ 🍁
 เราเรียกสิ่งที่ทำให้เกิดอาการแพ้ หรือก่อภูมิแพ้ (Allergen) สิ่งกระตุ้นที่อาจเข้าสู่ร่างกายทางระบบทางเดินหายใจ การสัมผัส การรับประทาน ทางหู ทางตา ทางจมูก หรือโดยการฉีด แมลงกัดต่อยทางผิวหนัง โดยที่ตัวที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้นี้มีอยู่รอบ ๆ ตัวเราจนยากจะหลีกเลี่ยงได้ โดยสิ่งที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ที่เราสามารถพบได้บ่อยทั่วไปจะได้แก่ แมลงสาบ เชื้อรา ตัวไรฝุ่นบ้าน อาหารบางประเภท ยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย ยาแก้อักเสบ เกสรดอกหญ้า ขนสัตวร์เลี้ยง แมลงต่าง ๆ ฯลฯ

🍁 ภูมิแพ้อากาศ คอลเล็คชั่นที่กำลังมาแรง 🍁
โรคภูมิแพ้จมูกอักเสบ (Allergic Rhinitis) หรืออาจเรียกว่าโรคภูมิแพ้อากาศโรคชนิดนี้เรามักพบว่าผู้ป่วยนั้นจะมีอาการแพ้กับสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัว เช่น สัตวร์เลี้ยง ไรฝุ่นบ้าน โดยจะมีอาการคันจมูก ชอบขยี้จมูก คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม หรือเกิดรอยบริเวณสันจมูก มีเสมหะในลำคอ เลือดกำเดาไหลบ่อย บางครั้งเราอาจพบกับอาการคันบริเวณตา น้ำตาไหล แสบตา หูอื้อ คันหู เหล่านี้ร่วมอยู่ด้วย
โรคภูมิแพ้สามารถป้องกันในเบื้องต้นได้ แต่ผู้ป่วยจะต้องไม่มีอาการจนเรื้อรัง ซึ่งต้องรีบทำการพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ หรือทำการวินิจฉัยในการตรวจรักษาเพราะหากปล่อยเอาไว้เป็นเวลานานจะส่งผลให้เกิดโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันได้อย่างเช่น โรคไซนัสอักเสบ

ข้อมูลอ้างอิง: ศ.นพ. เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม สมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line
เพิ่มเพื่อน