disable right click

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

โรคกรดไหลย้อนโรคยอดฮิตแห่งยุค


            


            โรคกรดไหลย้อน  (GERD)  เป็นโรคยอดฮิตแห่งยุค  เพราะคนสมัยนี้เป็นกันมาก และยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากความเครียด 
โรคกรดไหลย้อนหรือเรียกว่าเกิร์ด  (GERD-Gastroesophageal  Reflux  Disease)  หรือในต่างประเทศเรียกว่าฮาร์ตเบิร์น  (Heartburn) คืออาการแสบร้อนในช่องอก
              อาการของโรคนี้ คืออาการแสบร้อนจุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่  ท้องอืด  ท้องเฟ้อ  คล้ายอาหารไม่ย่อย  บางคนเรอมีกลิ่นเปรี้ยว  เนื่องจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาถึงปากและคอทำให้ลมหายใจมีกลิ่น โรคกรดไหลย้อนยังส่งผลเสียกับอวัยวะช่วงลำคอ  ทำให้มีอาการไอ  ระคายคอ  เสียงแหบ  และกระตุ้นโรคหืดให้กำเริบหนัก  ซึ่งโรคนี้มักมีอาการเรื้อรัง  สร้างความรำคาญใจให้แก่ผู้ป่วยบางท่านมีคำถามว่า  อาการนี้สามารถนำไปสู่โรคร้ายแรงอื่นได้หรือไม่  คำตอบคือ  ถ้าปล่อยให้มีอาการเรื้อรังเป็นเวลานาน  กรดในกระเพาะอาหารที่ล้นออกมาจะทำลายเซลล์เยื่อบุหลอดอาหารและอาจเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็งได้
เพราะอะไร  กรดจึงไหลย้อน
กลไกการเกิดโรคกรดไหลย้อนคือ  หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างทำงานผิดปกติ  เกิดการคลายตัวในเวลาที่ไม่จำเป็น  โดยเฉพาะตอนกลืนอาหาร  หูรูดหลอดอาหารหดตัวปิด  อาหารหรือกรดในกระเพาะอาหารจึงไม่ไหลย้อนกลับขึ้นด้านบน
แต่ทุกวันนี้ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่ทำให้หูรูดหลอดอาหารไม่ทำงาน  พบเพียงแต่ว่ากระเพาะอาหารมีการบีบตัวมากเกินไปจึงทำให้หูรูดหลอดอาหารคลายตัว
รองศาสตราจารย์  ดร.ลอว์เรนซ์  โคเฮน  (Dr. Lawrence  Cohen)  ผู้เชี่ยวชาญด้านทางเดินอาหารแห่งมหาวิทยาลัยโทรอนโต  ประเทศแคนาดา  เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในสื่อออนไลน์  เดอะสตาร์ดอทคอมว่า
ผมกล้าพูดได้ว่าสาเหตุหลักของการเกิดโรคกรดไหลย้อนเกิดจากพฤติกรรมที่เราทำอยู่เป็นประจำ  เช่น  พฤติกรรมการกินที่ผิด  กินอาหารไม่ถูกต้อง  น้ำหนักมาก  และการสูบบุหรี่จัดเหล่านี้ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้
สารพัดตัวการกรดไหลย้อน
นอกจากนี้โรคกรดไหลย้อนยังสัมพันธ์กับพฤติกรรมอื่น ๆ ด้วย  ดังนี้
-     -   มีความเครียด เวลาเครียดหรือโกรธจัด  อารมณ์ที่พลุ่งพล่านจะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารออกมามากเกินไป
-     -  กินอาหารจนแน่นท้อง  ซึ่งส่งผลให้กรดในกระพะอาหารเอ่อล้นออกมา
-     -  กินอาหารกระตุ้นอาการ  เช่น  อาหารรสจัด  ของทอด  ชา  กาแฟ  น้ำอัดลม  เครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์
-  -  น้ำหนักมากเกิน อ้วนลงพุง  เนื่องจากไขมันที่มาสะสมบริเวณหน้าท้องซึ่งไขมันจะไปเบียดกระเพาะอาหาร  ทำให้กรดเกิดการไหลย้อนได้
-     - สวมเสื้อผ้ารัดรูป  เช่น  ใส่กางเกงยืนฟิตมากเกินไปหรือใส่สเตย์รัดหน้าท้อง
-     - นั่งเอนหลังหรือนอนหลังจากกินอาหารเสร็จใหม่ ๆ
-     - กินยาบางชนิด  เช่น  ยาลดความดันโลหิต  ยาขยายหลอดลมหรือการรับฮอร์โมน  และการสูบบุหรี่จัด
-     - ตั้งครรภ์  เนื่องจากสตรีตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนของคุณแม่ตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อมีอาการกรดไหลย้อน  เรามักซื้อยาลดกรดมากินเพื่อแก้อาการซึ่งเป็นวิธีแก้แบบชั่วคราว  อาการหายไปสักพักก็จะกลับมาเป็นอีก  เพราะไม่ได้รับการรักษาที่ต้นเหตุ
วิธีแก้กรดไหลย้อนด้วยตัวเอง
เมื่อเป็นกรดไหลย้อนหรือโรคอะไรก็ตาม  เรามักไปหาหมอฝากหน้าที่ความรับผิดชอบไว้ให้คุณหมอ  เพื่อให้ท่านสั่งยามาให้กินแล้วเราจะสบายใจว่าหายจากโรคแน่  แต่สำหรับวิธีแก้โรคกรดไหลย้อนต้องอาศัยการดูแลตัวเอง มูลนิธิ  IFFGD แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาได้แนะนำให้หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะกระตุ้นการเกิดโรคทุกอย่าง  และให้ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการกินอาหารให้ถูกต้อง  ดังนี้
1.งดนั่งเอนหลังหรือนอนหลังจากกินอาหารมื้อใหญ่อย่างน้อย  3  ชั่วโมง  และไม่ควรกินอาหารว่างใกล้เวลาเข้านอน
2.ไม่ควรออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ต้องก้มตัวลง เช่น  กวาดหรือถูบ้านหลังกินอาหาร
3.ไม่ควรกินอาหารมากเกินไป  แม้อาหารจะอร่อยมากแค่ไหนก็ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะ
4.หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการ  เช่น  ของทอด  นม  เนย  หอมหัวใหญ่  ช็อกโกแลต  น้ำมะเขือเทศ  น้ำส้ม  ชา  กาแฟ  เหล้า  เบียร์  เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น
5.ไม่ทะเลาะหรือถกปัญหาเครียด ๆ ระหว่างกินอาหาร ควรกินอาหารในบรรยากาศสบาย ๆ
6.ควรกินอาหารมื้อกลางวันให้มาก ๆ ส่วนมื้อเย็นกินน้อย ๆ  และเลื่อนเวลามื้อเย็นให้เร็วขึ้นเพื่อให้ห่างจากเวลาเข้านอน
7.หากมีอาการแสบร้อนกลางอกเป็นประจำ  เวลานอนควรหนุนหมอนสูงหรือหนุนผ้าบริเวณเหนือเอวให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อน
8.ควรลดน้ำหนักและบริหารร่างกายเพื่อลดไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง
สุดยอดอาหารลดกรด
ในหนังสือชีวจิต ได้แนะนำอาหารบำบัดอาการของโรคกรดไหลย้อนไว้ดังนี้
กลุ่มผัก   อาร์ติโช้ก  หน่อไม้ฝร่ง  โหระพา  บรอกโคลี  กะหล่ำปลี  แครอต  เชเลอรี่  แตงกวา  มะเขือ  ขิง  ฟักทอง  ผักโขม  วอเตอร์เครส  ซูกินี
กลุ่มผลไม้   แอ๊ปเปิ้ล  เอพริคอต  อะโวคาโด  เชอร์รี่  กล้วย  บลูเบอร์รี่  แบล็กเบอร์รี่  แคนตาลูป  มะพร้าว  มะเดื่อ  องุ่น  มะละกอ  ลูกพีช  ลูกแพร์  สตรอเบอรี่  แตงโม
กลุ่มธัญพืชและเมล็ดถั่ว  ถั่วเขียว  อัลมอนด์  บัควีต  ข้าวโอ๊ต  ข้าวกล้อง  งา  ถั่วเหลือง
กลุ่มสมุนไพรและชาสมุนไพร   ชาคาโมมายล์  ออริกาโน  ไธม์
กลุ่มอาหารอื่น ๆ   เต้าหู้  ปลาทูน่า

ขอบคุณข้อมูลจาก  หนังสือชีวจิต  เล่มที่  383     16  กันยายน  2557


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

กล้ามเนื้อต้นขาอักเสบ




กล้ามเนื้อต้นขาอักเสบ หรือ Muscle strains in the thigh
เป็นการบาดเจ็บที่สามารถพบได้ทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักกีฬา
ต้นขานั้นมีกลุ่มกล้ามเนื้อหลักอยู่ 3 มัด คือกล้ามเนื้อ Hamstring ที่อยู่ด้านหลังของต้นขา,กล้ามเนื้อ Quadriceps ที่อยู่ด้านหน้าและกล้ามเนื้อ Adductor ที่อยู่ข้างใน ซึ่งกล้ามเนื้อ Hamstring และกล้ามเนื้อQuadriceps จะทำงานด้วยกันเพื่อการยืดและงอขา
กล้ามเนื้อทั้งสองจะเป็นกล้ามเนื้อที่เสี่ยงต่อการอักเสบเพราะเชื่อมต่อสะโพกและเข่า และยังมักใช้งานในกีฬาที่ใช้ความเร็ว อย่างเช่น กีฬาในสนาม เช่น วิ่ง กระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง กระโดดไกลฟุตบอลและบาสเก็ตบอล
อาการ(Symptoms)
จะมีเสียงดังป๊อกหรือเสียงขบกันขณะกล้ามเนื้อฉีกขาด จะปวดเกิดอย่างเฉียบพลันและรุนแรง มีการฟกช้ำหากเส้นกล้ามเนื้อขาด เมื่อถูกสัมผัสบริเวณที่มีการบาดเจ็บจะปวด
กล้ามเนื้อที่อักเสบมักเกิดขณะกล้ามเนื้อถูกยืดมากเกินไปและเส้นใยของกล้ามเนื้อฉีกขาด
เมื่อกล้ามเนื้ออักเสบกล้ามเนื้อจะมีโอกาสที่จะได้รับการบาดเจ็บซ้ำ ดังนั้นควรให้กล้ามเนื้อพักฟื้นตัวอย่างเหมาะสมและปฏิบัติตามวิธีป้องกัน
การวินิจฉัย(Diagnosis)
แพทย์จะถามถึงอาการบาดเจ็บและตรวจบริเวณต้นขาเพื่อดูถึงการเจ็บปวดและฟกช้ำ ผู้ป่วยอาจจะต้องเหยียดงอเข่าหรือสะโพกเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยได้อย่างถูกต้อง
อาจจำเป็นต้องถ่ายภาพX-raysเพื่อดูว่ามีการหักของกระดูกหรือกระดูกมีการบาดเจ็บหรือไม่ การอักเสบของกล้ามเนื้อนั้น มี 3 ระดับตามความรุนแรงของการบาดเจ็บ ระดับ1เป็นการบาดเจ็บเล็กน้อยรักษาหายได้ง่ายในขณะที่ระดับ 3 จะมีการฉีกขาดของกล้ามเนื้อซึ่งต้องใช้ระยะเวลารักษาเป็นเดือน
 การรักษา(Treatment)
กล้ามเนื้อที่อักเสบส่วนใหญ่รักษาได้โดยวิธี RICE ย่อมาจากRest (พักผ่อน) Ice(ประคบเย็น)Compression (พันข้อ) และ Elevation(ยกสูง)
-Rest หยุดการทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดการอักเสบเพิ่มขึ้น แพทย์อาจจะแนะนำให้ใช้ไม้เท้าเพื่อหลีกเลี่ยงการลงน้ำหนักที่ขา
-Ice ใช้ถุงน้ำแข็ง(Cold pack)ประคบที่เป็นประมาณ 20 นาทีหลายครั้งต่อวัน อย่าให้น้ำแข็งไปสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง
-Compression ป้องกันการบวมมากขึ้นหรือสูญเสียเลือดให้พันข้อด้วยผ้าพันแบบยืดหยุ่น
-Elevation ลดอาการบวมนอนลงและยกขาให้สูงเหนือหัวใจขณะที่พัก
แพทย์อาจจะแนะนำให้ทานยาแก้ปวด แก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตรียรอยด์ เช่น แอสไพรินหรือยาแก้ปวดชนิดอื่นๆ เมื่ออาการเจ็บปวดและบวมเริ่มลดลง มีการฝึกกายภาพจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและช่วงการงอเหยียดได้ และจะสามารถกลับไปเล่นกีฬาได้ก็ต่อเมื่อกล้ามเนื้อกลับมามีความแข็งแรงละไม่มีอาการปวด ป้องกันที่จะการบาดเจ็บเพิ่มเติม
 การป้องกันกล้ามเนื้ออักเสบ(Preventing Muscle Strains)
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อ(Muscle strain)
กล้ามเนื้อตึง(Muscle tightness) ทำให้เกิดการอักเสบได้ง่าย นักกีฬาควรที่จะฝึกยืดกล้ามเนื้อทุกวันตามโปรแกรม
กล้ามเนื้อไม่สมดุล(Muscle imbalance) กล้ามเนื้อหนึ่งมัดมีความแข็งแรงมากกว่ากล้ามเนื้อมัดอื่นที่อยู่ตรงข้ามกัน จะเกิดความไม่สมดุลทำให้เกิดการอักเสบได้ พบได้บ่อยในกล้ามเนื้อ Hamstring กล้ามเนื้อ Quadriceps
กล้ามเนื้ออ่อนแอ(Poor conditioning) ถ้าหากกล้ามเนื้อของคุณอ่อนแอไม่แข็งแรง จะทำให้เกิดความอักเสบจากการออกกำลังได้ง่ายและนำไปสู่การบาดเจ็บได้
กล้ามเนื้ออ่อนล้า(Muscle fatigue) ทำให้กล้ามเนื้อดูดพลังงานได้ลดลงทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่ายขึ้น
 ความสำคัญของการเตรียมตัวก่อนออกกำลังกาย(The importance of warming up)
-วอร์มอัพก่อนออกกำลังกาย วิธีนี้จะช่วยเพิ่มความเร็วและความทนทานได้
-ยืดอย่างช้าๆตามลำดับและค้างเอาไว้เพื่อที่จะให้เวลากล้ามเนื้อได้ตอบสนองและยืดกล้ามเนื้อ
ให้กล้ามเนื้อได้ฝึกใช้กำลังเป็นประจำ ซึ่งสามารถขอคำแนะนำจากแพทย์เกี่ยวกับโปรแกรมการออกกำลังกายตามอายุและระดับกิจกรรมได้

-ถ้าได้รับบาดเจ็บ  ต้องใช้เวลาซักระยะ ให้รักษากล้ามเนื้อให้หายก่อนกลับไปเล่นกีฬา รอจนกว่าจะกลับสู่สภาพเดิม ซึ่งอาจจะใช้ระยะเวลา 10 วันถึง 3 สัปดาห์หากมีการอักเสบแบบเล็กน้อยและอาจจะใช้ระยะเวลาถึง 6 เดือนสำหรับการอักเสบมาก อย่างเช่น Hamstring อักเสบ
ขอบคุณข้อมูลจาก jointdee.info/knee/กล้ามเนื้อต้นขาอักเสบ/

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

กระดูกหัวสะโพกตาย (Osteonecrosis of Hip)




กระดูกหัวสะโพกตาย (Osteonecrosis of Hip) 
กระดูกหัวสะโพกตายทำให้คนไข้เจ็บทรมานมาก เกิดจากเลือดไม่ไปหล่อเลี้ยงทำให้เซลล์กระดูกตาย กระดูกสะโพกตายนำไปสู่การทำลายของสะโพกและเป็นโรคข้อเสื่อมในที่สุด
Osteonecrosis อาจเรียกว่า Avascular necrosis หรือว่า Aseptic necrosis ถึงแม้ว่าโรคกระดูกตายจะสามารถเกิดขึ้นที่กระดูกชิ้นไหนก็ได้ แต่ที่พบบ่อยที่สุดมักจะเป็นสะโพก คนไข้ชาวอเมริกันจำนวนมากกว่า20,000 คนต่อปี เข้ารับการรักษาโรคนี้ที่โรงพยาบาล ส่วนใหญ่จะเป็นสะโพกทั้ง 2 ข้าง
โครงสร้าง
สะโพกนั้นเป็นข้อต่อโดยมีลักษณะเป็นหัวและเบ้า บริเวณเบ้าจะเรียกว่า Acetabulum ที่เป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของกระดูกเชิงกราน ส่วนหัวกระดูกนั้นจะเรียกว่า Femoral Head ที่เป็นส่วนปลายด้านบนของกระดูกขาท่อนบน ส่วนเนื้อเยื่อที่ช่วยให้ข้อลื่นไหลได้นั้น เรียกว่า Articular Cartilage ที่จะปกคลุมบริเวณผิวของหัวและเบ้า จะช่วยให้ผิวข้อสะโพกไหลลื่น ไม่เกิดการเสียดสีกันเวลาที่ขยับสะโพกและกระดูกหัวและเบ้าหมุนขยับไปมา
สาเหตุ
กระดูกสะโพกตายจะเริ่มเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ หากเลือดที่มาเลี้ยงบริเวณหัวกระดูกถูกขัดขวาง เมื่อเลือดมาเลี้ยงได้น้อยไม่เพียงพอหัวกระดูกต้นขาก็จะเริ่มตายและทรุด ต่อมาผิวข้อส่วนที่ปกคลุมกระดูกก็ทรุดตัวและบางลง ก่อให้เกิดโรคข้อเสื่อมตามมาได้

ปัจจัยเสี่ยง
มีหลายปัจจัยดังนี้
·         ได้รับบาดเจ็บจากสะโพกเคลื่อน สะโพกหัก และการบาดเจ็บอื่นที่ทำลายหลอดเลือดที่มาเลี้ยงที่บริเวณหัวกระดูกและมีระบบไหลเวียนเลือดที่แย่ลง
·         มีการดื่มแอกลฮอล์เป็นประจำ
·         รับประทานยาสเตียรอยด์ รักษาโรคจำนวนมาก เช่น หอบหืด  ข้ออักเสบรูมาตอยด์ และว่าโรคภูมิแพ้ตนเอง(SLE) อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการเกิดโรคกระดูกตาย
·         โรคหรือสภาวะอื่นที่สัมพันธ์ต่อการเกิดกระดูกตาย เช่น Caisson disease /Sickle cell disease /Myeloproliferative disorders / Gaucher’s disease / Systemic lupus erythematosus / Crohn’s disease,Arterial embolism,Thombosis และ Vasculitis

อุบัติการเกิดโรค
แม้โรคกระดูกตายจะเกิดได้กับทุกอายุ แต่ว่าโดยส่วนใหญ่มันเกิดในผู้ป่วยอายุ 40-65 ปี และเกิดได้ในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
อาการ
ความรุนแรงแบ่งเป็นหลายระดับ อาการแรกที่พบได้คือปวดสะโพก และอาจจะนำไปสู่การปวดแบบตื้อหรือปวดตุ๊บๆที่บริเวณขาหนีบหรือสะโพก หากเป็นมากขึ้นจะทำให้คนไข้ยืนได้ลำบากมากขึ้น เพราะว่าต้องทิ้งน้ำหนักลงบนสะโพกข้างนั้น และทำให้ปวดมากขึ้นเมื่อเวลาต้องขยับข้อสะโพก
ระยะเวลาการดำเนินไปของโรคจากระดับความรุนแรงระดับหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่งมีตั้งแต่ หลายเดือนไปจนถึงเป็นปี หากได้รับการตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ อาจจะทำให้ได้รับผลดีกว่า

การตรวจวินิจฉัย
แพทย์จะตรวจสะโพกเพื่อดูว่าท่าใดบ้างที่สามารถทำให้ปวดสะโพกได้ หลังการซักถามประวัติอย่างละเอียดแล้ว
การตรวจทางภาพถ่าย
ภาพถ่ายจะช่วยให้แพทย์ยืนยันการวินิจฉัยได้ ·        ภาพ X-ray ช่วยดูความแข็งแรงของโครงสร้าง และว่ากระดูกส่วน Femoral Head ทรุดมากแค่ไหน รุนแรงมากไหม·       
Magnetic resource imaging (MRI) จะช่วยประเมินได้ว่าโรคนี้ได้ส่งผลต่อกระดูกมากน้อยแค่ไหนแล้วและยังสามารถตรวจพบกระดูกสะโพกตายตั้งแต่เริ่มต้น แม้ว่าจะยังไม่แสดงอาการ
การรักษา
แม้ว่าการรักษาโดยการไม่ผ่าตัด อย่างเช่น การทานยา การใช้ไม้ค้ำยัน จะช่วยบรรเทาอาการปวดและสามารถชะลอการดำเนินไปของโรค แต่ว่าการรักษาที่ดีที่สุดก็คือการผ่าตัด คนไข้ที่มีการตรวจพบกระดูกสะโพกตายแต่เนิ่นๆนั้นเหมาะมากที่จะใช้วิธีแบบประคับประคองดังนี้
1.      Core Decompression 
แพทย์จะต้องเจาะรูใหญ่ 1 รู หรือ รูเล็กอีกหลายรู เข้าไปใน Femoral Head เพื่อที่จะลดแรงกดกระดูกและสร้างช่องให้กับหลอดเลือดใหม่ ๆ เพื่อที่จะบำรุงกระดูกส่วนที่มีปัญหา
             หากเมื่อได้รับการตรวจพบว่าเป็นกระดูกสะโพกตายเสียแต่เนิ่นๆ วิธี Core Decompression จะประสบความสำเร็จ ในการป้องกันการทรุดของFemoral Headได้ และกลายเป็นข้อเสื่อม
               Core Decompression มักทำรวมกับ Bone Grafting เพื่อที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกที่แข็งแรงและจะช่วยเสริมกระดูกอ่อนของข้อสะโพก ซึ่ง Bone Graft คือเนื้อเยื่อกระดูกที่แข็งแรงซึ่งปลูกถ่ายในบริเวณที่ต้องการ มีทางเลือกในการทำBone Graft อยู่มากมายในปัจจุบัน วิธีมาตรฐาน ก็คือ เอากระดูกมาจากส่วนหนึ่งในร่างกาย (Harvest) ย้ายมาปลูกถ่ายส่วนอื่นของร่างกาย ซึ่งเนื้อเยื่อประเภทนี้เรียกว่า Autograft
ศัลยแพทย์จำนวนมากจะใช้กระดูกจากผู้บริจาคหรือจากร่างที่ได้เสียชีวิตแล้ว เนื้อเยื่อนี้ปกติจะได้มาจาก Bone Bank กระดูกก็สามารถบริจาคได้หลังเสียชีวิตแล้วเหมือนกับอวัยวะอื่น และในปัจจุบันยังมีเนื้อเยื่อกระดูกสังเคราะห์อีกหลายแบบอีกด้วย

2.      Vascularized Fibula Graft
วิธีนี้แพทย์จะใช้กระดูกส่วนเล็กที่ขา (Fibula) ตามด้วยเลือดที่มาหล่อเลี้ยง นำไปปลูกถ่ายในรูที่สร้างขึ้นมาตรงบริเวณ Femoral Neck และ Head ของสะโพก หลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดงก็จะปลูกถ่ายเพื่อหล่อเลี้ยงบริเวณส่วนที่กระดูกตายไป

3.      Total Hip Replacement
ถ้าหากคนไข้ที่เป็นกระดูกสะโพกตายมีส่วนของ Femoral Head ได้ทรุดลงมาก การรักษาที่ประสบผลสำเร็จที่สุด นั่นคือ การเปลี่ยนข้อสะโพก วิธีนี้จะเปลี่ยนจากผิวข้อที่เสียหาย แทนด้วยข้อเทียม
               การผ่าตัดนี้ได้ผลดีในเรื่องการลดความเจ็บปวดและสามารถกลับไปใช้งานเหมือนเดิมได้ถึงร้อยละ 90-95 ของคนไข้ทั้งหมด วิธีการนี้ถือว่าเป็นวิธีการผ่าตัดที่ประสบความสำเร็จที่สุด
 ผลการรักษา
Core Decompression จะช่วยป้องกันการดำเนินไปของโรคไม่ให้เป็นข้อเสื่อมได้ และอาจต้องเปลี่ยนผิวข้อเทียมประมาณร้อยละ 25-85 ของเคส ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและขนาดของกระดูกที่ตายในช่วงที่ทำการรักษา
Core Decompression ได้รับผลดีที่สุดเมื่อได้รับการตรวจพบเสียแต่เนิ่นๆก่อนกระดูกจะทรุด มีคนไข้จำนวนมาก ได้รับการรักษาและมีเลือดมาหล่อเลี้ยงหลังจากที่ทำ Core Decompression ซึ่งต้องใช้เวลา 2-3 เดือนให้กระดูกได้รับการรักษา ในช่วงนี้อาจต้องใช้ ไม้ค้ำยันเพื่อป้องกันการลงน้ำหนักลงบนกระดูกที่เสียหายไป
คนไข้ที่รักษาด้วย Core Decompression ที่ประสบความสำเร็จมักจะกลับไปเดินได้ โดยที่ไม่ต้องมีตัวช่วยเดินในเวลาประมาณ 3 เดือนและความเจ็บปวดหายไป
เมื่อตรวจพบกระดูกสะโพกตายหลังจากกระดูกทรุดแล้ว Core Decompression ไม่สามารถป้องกันไม่ให้ทรุดเพิ่มได้และจะใช้วิธีนี้ไม่สำเร็จ ในกรณีนี้ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกจะให้ผลการรักษาที่ดีที่สุด ที่จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและกลับไปใช้งานได้ถึงร้อยละ 90-95 ของคนไข้

ขอยคุณข้อมูลจาก http://ww w.jointdee.info/hip/กระดูกหัวสะโพกตาย/

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการ “ตกหมอน”



ปัจจัยที่ทำให้เกิดการ “ตกหมอน”

          อาการปวดคอ ปวดศีรษะ โดยเฉพาะช่วงเวลาตื่นนอน ต้นคอแข็งเกร็ง ขยับไม่ได้ หันคอไม่ได้ และในบางครั้งศีรษะเบี้ยวไปข้างหนึ่งข้างใด หรืออาจมีอาการปวดร้าวลงที่แขนหรือสะบักอีกด้วย อาการปวดคอจากการเกร็งของกล้ามเนื้อตรงบริเวณต้นคอ ที่เกิดขึ้นในขณะตื่นนอนนี้เรียกว่า การตกหมอน ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดดังนี้

1.      นอนไม่หลับ โดยเฉพาะการนอนหลับไม่สนิท นักวิทยาศาสตร์พบว่า ตลอดคืนที่เรานอนหลับ เราจะผ่านระยะนอนหลับสนิทที่ไม่ได้ฝัน ระยะที่นอนหลับสนิทเป็นระยะที่ร่างกายได้พักผ่อนอย่างแท้จริง หลอดเลือดจะคลายตัวและสมองได้จัดความคิดและสิ่งที่เรียนรู้ในตอนกลางวันให้เป็นระบบ กล้ามเนื้อคลายตึง ถ้าหากผู้ใดนอนหลับไม่สนิท หรือมีภาวะฝันถูกปลุกให้ตื่นหลายคืนติดต่อกัน ผู้นั้นอาจจะมีอาการคลุ้งคลั่งได้ ดังนั้น การที่นอนหลับไม่สนิทจะเกิดความเครียดอย่างหนัก กล้ามเนื้อคอตึงมาก ทำให้ปวดคอได้
2.      เป่าพัดลมไปยังบริเวณศีรษะและต้นคอ ขณะนอนหลับนั้น ร่างกายจะขาดความสมดุลในการปรับตัวต่อการกระตุ้นจากภายนอก เมื่อศีรษะและต้นคอโดนพัดลมเป่า หลอดเลือดบริเวณผิวหนัง และกล้ามเนื้อที่ถูกลมเป่าจะหดตัวเพราะเย็นลง แต่ว่าหลอดเลือดที่บริเวณอื่นของร่างกายขยายตัว เพื่อที่จะคลายความร้อนออกจากร่างกาย จึงทำให้เราอาจเกิดอาการขนลุก กล้ามเนื้อคอหดตัวอย่างกะทันหัน ทำให้ต้นคอแข็งเกร็งได้
3.       ลักษณะหมอนที่เราใช้หนุน ในการนอนตะแคง ใช้หมอนที่มีลักษณะค่อนข้างสูงเท่าความกว้างของบ่ารวมทั้งแน่นไม่ยุบง่าย ส่วนการนอนหงายควรใช้หมอนที่ต่ำหรือหนุนด้านหลังต้นคอเพื่อรักษาส่วนเว้าของกระดูกเอาไว้ ส่วนการนอนคว่ำควรที่จะใช้หมอนใหญ่สอดลงมาถึงทรวงอก เพื่อไม่ให้ศีรษะแหงนไปทางข้างหลังมากเกินไป ซึ่งการเปลี่ยนท่านอน จากหมอนที่สูงในท่านอนตะแคงมาเป็นท่านอนหงาย อาจทำให้คอกระตุกอย่างกะทันหันได้
4.      ท่านอนหรืออิริยาบถที่ใช้ในการนอนไม่เหมาะสม เช่น การนั่งสัปหงก กล้ามเนื้อด้านตรงข้ามจะมีการหดตัวทันที เพื่อกระตุกศีรษะให้ตั้งตรง เป็นปฎิกิริยาตอบสนองแบบฉับพลันในสภาวะที่ยังนอนหลับไม่สนิท ทำให้กล้ามเนื้อคอจึงมีโอกาสที่จะฉีกขาดและเกร็งตัวขึ้น ซึ่งเป็นการที่ป้องกันตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นอีก
หลักการดูแลตนเองเมื่อมีอาการตกหมอน
วิธีการรักษาอาการตกหมอนจำเป็นต้องปรับสภาพของร่างกายให้เข้าสู่ภาวะสมดุล โดยเริ่มจากการนอนหลับให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการถูกพัดลม หรือลมของเครื่องปรับอากาศเป่าโดยตรงมาที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย นอนหงายโดยการเอาผ้าขนหนูม้วนเป็นแท่งยาวสอดที่ด้านหลังต้นคอไว้ หมุนคอไปมาในท่านอนหงาย เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายออก หรืออาจจะต้องสวมใส่ปลอกคอในขณะทำงาน เพื่อให้กล้ามเนื้อมีโอกาสพักและซ่อมแซมตัวเอง ควรที่จะหลีกเลี่ยงการกินยาคลายกล้ามเนื้อ นอนพักอยู่ที่บ้าน และไม่ควรที่จะขืนศีรษะให้กลับเข้าตำแหน่งเดิม โดยผู้หวังดีที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ ซึ่งอาจทำให้มีอาการตกหมอนมากขึ้น และอาจกระทบกระเทือนถูกรากประสาทได้
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.doctor.or.th/article/detail/3526

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

ปวดคอ