disable right click

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561

ปวดข้อมือเนื่องจากมีพังผืืืดรัดที่ข้อมือ


ปวดข้อมือ มีพังผืดรัดที่ข้อมือ

โรคพังผืดรัดที่ข้อมือ คือ โรคแฝงที่มากับโรคนิ้ว พบได้ในหลากหลายอาชีพซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องใช้มืออย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่ละโรคจะมีอาการปวดข้อมือ ปวดนิ้วมือ ปวดมือลามไปถึงข้อแขน ทุกครั้งที่มีอาการปวดควรได้รับการวินิจฉัยด้วยแพทย์ว่าเป็นโรคอะไร แม้จะไม่อันตรายเหมือนโรคอื่นๆ แต่ก็ทำให้เสียสมดุลย์ของร่างกายและไม่สามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างต่อเนื่อง

โรคพังผืดรัดที่ข้อมือ
อาการของโรค เกิดการชาบริเวณนิ้วมือ นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งนิ้วนาง สาเหตุเกิดจากควมผิดปกติของข้อมือ มีพังผืดรัดไว้ ทำให้นิ้วใช้งานไม่ได้  เกิดขึ้นได้ทั้งกลางวัน กลางคืน ขณะทำกิจกรรมต่างๆ เช่น  ขับรถ ช่วงเวลาถือโทรศัพท์และแท็บเล็ตขณะใช้งาน ล้วนส่งผลต่อกล้ามเนื้อบริเวณฐานนิ้วมีอาการชา ในบางรายที่เป็นมากๆ เนื่องจากเนื้อเยื่อพังผืดบางๆ รัดเส้นประสาทอีกชั้นหนึ่ง ทำให้มือลีบเล็กได้ หากมีอาการปวดมากๆ จะต้องบีบนวดเพื่อลดอาการชา และต้องรีบเข้ารับการรักษา  โรคนี้จะพบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ผู้หญิงอาจพบได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 30 – 40 ปี แม่บ้าน การพิมพ์งานที่ต้องใช้ข้อมือต่อเนื่องและเป็นเวลานาน ทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นอิริยาบถ ท่าทาง ทำให้มีการบิดตัวของข้อมือ มือ และนิ้วมือเป็นเวลานาน 

แต่มีวิธีการป้องกัน ดังนี้
บำบัดมือบำบัดนิ้วเพื่อการป้องกันโรค พยายยามอย่าใช้ข้อมือในการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ นานเกินไป การบริหารข้อมือ ด้วยการหมุนข้อมือไปทางซ้าย หรือทางขวา เหยียดแขนให้ตึงแล้วใช้มืออีกข้างดันลง-ดันขึ้นให้ตรึง กำมือ-แบมือ หรือใช้ลูกบอลเล็กสำหรับการบริหารมือบีบเข้าแล้วคลายออก วิธีการข้างต้น ทำให้เส้นไม่ตึง ยืดหยุ่น และผ่อนคลายได้ จึงเป็นการป้องกันโรคที่ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด

วิธีการรักษาโรคพังผืดรัดที่ข้อมือ
  • ·        รักษาด้วยการรับประทานยาต้านการอักเสบ
  • ·        การฉีดยาสเตียรอยด์จะฉีดไปในโพรงข้อมือรอบๆ ช่องอุโมงค์เพื่อช่วยลดการอักเสบ
  • ·        การผ่าตัด วิธีนี้มักใช้กับผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้อลีบและแขนเริ่มอ่อนแรง
  • ·        การทำกายภาพบำบัดใช้ร่วมกับการรักษาเพราะทำให้มีประสิทธิภาพในการรักษามากที่สุด


ปวดนิ้วมือ ต้องรีบบำบัดมือ แม้ว่าโรคเหล่านี้จะไม่อันตรายร้ายแรง แต่สามารถกลับมาเป็นได้อีก หากชีวิตประจำวันต้องใช้มืออย่างต่อเนื่อง การใช้งานข้อมือ 1 ชม. ควรพักทุก 15-20 นาที  ฉะนั้นการบำบักมือป้องกันโรคจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง รับประทานอาหารที่มีวิตามิน บี1 บี6 และ บี12  ได้แก่ ถั่วเมล็ดแห้ง เนื้อสัตว์ ตับ และข้าวซ้อมมือ เป็นต้น เพราะมือก็ไม่ต่างจากหู หรือดวงตา ไม่สามารถใช้งานได้แค่เพียงส่วนเดียวก็ทำให้ชีวิตยุ่งยากขึ้นแล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2561

ปวดคอ พฤติกรรมที่ไม่ควรทำเมื่อมีอาการปวดคอ





ปวดคอ  กับพฤติกรรมที่ไม่ควรทำเมื่อมีอาการปวดคอ
           หลายคนรู้สึก ปวดคอ เพราะด้วยสาเหตุหลักๆ นั้นเกิดจากการเทคโนโลยี เช่น ก้มดูมือถือ ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็มีตั้งแต่วัยเรียน วัยทำงาน หรือแม้กระทั่งวัยเกษียณอายุไปแล้ว เนื่องจากอาการ ปวดคอ เป็นอาการสะสมที่ไม่ใช่การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วจะเกิดอาการปวดทันที แต่อาการนี้จะเกิดจากการสะสมและต่อเนื่อง ดังนั้นเมื่อมีอาการ ปวดคอ จึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมดังต่อไปนี้

1. นอนหมอนสูง

เชื่อหรือไม่ว่าการนอนหมอนสูงนั้นเป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งเมื่อมีอาการ ปวดคอ เพราะหมอนที่สูงเกินไปจะทำให้คอในแนวที่สูงกว่ากระดูกสันหลัง และทำให้กระดูกบริเวณคอนั้นคดงอ ดังนั้นคนที่มีอาการ ปวดคอ จึงควรหลีกการนอนหมอนสูง หรือหมอนต่ำเกินไป และเลือกนอนหมอนที่พอดีคอไม่แข็งหรือน่มเกินไปด้วย

 2. ไมยอมเปลี่ยนอิริยาบถบ้างเพราะเพลินกับการทำงาน หรือก้มมองมือถือ

เมื่อคุณมีอาการ ปวดคอ ลองสังเกตดูว่าเกิดจากการที่ไม่เปลี่ยนอริยาบถระหว่างการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานหรือไม่ ถ้าใช่คุณควรจะเปลี่ยนอริยาบถทุกๆ ครึ่งชั่วโมง เพราะการเปลี่ยนอริยาบถช่วยทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ปวดเกิดการผ่อนคลายมากขึ้น

3. เผลอหันคอกะทันหันหรือสะบัดแรงเกินไป
การสะบัดคอแบบกะทันหัน เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำสำหรับคนที่มีอาการ ปวดคอ การสะบัดคอหรือเอียงคอเพื่อให้เกิดเสียงดังเป็นความเชื่อผิดๆ ที่ว่าจะทำให้อาการปวดบริเวณคอนั้นดีขึ้น แต่ความเป็นจริงแล้วหากทำผิดท่าอาจทำให้เกิดอาการเคล็ดหรือกล้ามเนื้อตึงกว่าเดิมได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการสะบัดคอแรงๆ อย่างเด็ดขาด

4. ความเครียดจะทำให้กล้ามเนื้อคอมีการเกร็งเกินไป
ความเครียดเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรทำและควรหลีกเลี่ยงสำหรับคนที่มีอาการ ปวดคอ เพราะสังเกตได้จากคนที่มีความเครียดมักจะเกิดอาการตึงบริเวณต้นคอซึ่งในบริเวณนั้นเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาทต่างๆ ดังนั้นเมื่อมีอาการ ปวดคอ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียดและทำให้ตัวเองอารมณ์ดีอยู่เสมอ

5. เล่นกีฬาหรือออกกำลังมากเกินไป
เมื่อมีอาการ ปวดคอ คุณควรจะงดการเล่นกีฬาแบบหนักๆ เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดกำเริบ เกิดอาการตึงกล้ามเนื้อบริเวณคอ หรืออาจถึงขั้นกล้ามเนื้อฉีกได้ แต่สิ่งที่ควรสำหรับคนที่มีอาการปวดคือควรทำท่าบริหารคอ เช่น การประสานมือและวางไว้ที่คอหรือท้ายทอย และหงายหน้าขึ้นค้างไว้ ท่านี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ตึงคลายออก และอาการปวดจะดีขึ้นเมื่อบริหารอย่างต่อเนื่อง

อาการ ปวดคอ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน หรือเรียกว่าทุกคนมีความเสี่ยงที่เกิดอาการนี้ได้ แต่เมื่อเกิดอาการปวดแล้วก็ควรจะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดอาการปวด หรืออาการอักเสบ ซึ่งคำแนะนำข้างต้นสามารถทำได้ด้วยตัวเอง


วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

ปวดเข่า จากโรคข้อเข่าเสื่อม



ปวดเข่า จากโรคข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากกระดูกอ่อนสึกหรอและบางลง  โดยปกติข้อเข่าของคนเรามีกระดูกอ่อนหุ้มอยู่  เพื่อทำหน้าที่รับแรงกระแทกและทำให้ข้อเคลื่อนไหวสะดวกขึ้น  ดังนั้นหากกระดูกอ่อนสึกหรอหรือบางลง  จะทำให้กระดูกเสียดสีกันเวลาเคลื่อนไหวจึงมีอาการปวดเข่า

ถึงอย่างนั้น  ร่างกายก็พยายามซ่อมแซมตัวเองโดยการสร้างกระดูกขึ้นมาใหม่  จึงมีเศษกระดูกและหินปูนงอกเข้าไปในข้อ  ทำให้เกิดอาการปวดข้อ ข้อขัด และเคลื่อนไหวลำบากตามมา

อาการโรคข้อเข่าเสื่อม
อาการของโรคข้อเข่าเสื่อมจะมีอาการ หลากหลาย ขึ้นอยู่กับระยะของโรคและสุขภาพของแต่ละบุคคล
อาการในระยะแรกจะปรากฏอาการไม่ชัดเจน  อาจแค่รู้สึกว่าเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว  เช่น  เดินขัด ๆ นั่งไหว้พระหรือนั่งพับเพียบแล้วลุกขึ้นไม่สะดวก  หากทิ้งไว้ไม่เข้ารับการรักษาจะทำให้อาการปรากฏชัดเจนขึ้น 
·       มีอาการปวด  เมื่อมีการลงน้ำหนักที่ข้อเข่า  เช่น หากมีการยืนหรือเดินนาน ๆ  ยิ่งใช้ข้อมากเท่าไรก็ยิ่งมีอาการมากเท่านั้น แต่เมื่อพักการใช้ข้อเข่า  อาการจะบรรเทาลง  คนไข้จึงบอกว่าบางวันปวดน้อย  บางวันปวดมาก  ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้งานและท่าทางในชีวิตประจำวันนั่นเอง  นอกจากนี้ในตอนกลางคืนอาการปวดจะน้อยลง  แต่จะมีอาการตึงข้อเข่าในช่วงตื่นนอนตอนเช้า  หากมีอาการปวดมากในตอนกลางคืนต้องระวังเป็นโรคอื่น ๆ  เช่น  โรคเกาต์  โรคมะเร็งกระดูก โรคข้อเข่าเสื่อมมีอาการปวดลึก ๆ ในข้อเข่า  หากปวดเป็นจุด ๆ อาจเกิดจากการอักเสบเฉพาะที่   เช่น  บริเวณเอ็นหัวเข่า  หรือเยื่อหุ้มข้อ
·       มีอาการข้อเข่าผิดรูป  เช่น  ขาโก่งหรือขาเอียงเข้าหากัน  ทำให้การเคลื่อนที่ของข้อลดลง  เช่นไม่สามารถเหยียดหรืองอเข่าได้สุด  มักพบอาการนี้ในระยะท้าย ๆ เมื่อมีการสูญเสียกระดูกอ่อนไปมากแล้ว
·         มีอากรข้อตึง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากอยู่นิ่ง ๆ เป็นเวลานาน  เช่น  นั่งนาน ๆ หรือหลังตื่นนอน
·        อาการข้อเข่าบวม  อาการบวมแบ่งได้  2  ลักษณะ  คือ บวมเนื้อนิ่ม  เพราะมีน้ำจากการอักเสบซึมออกมา  และบวมเนื้อแข็งเกิดจากมีกระดูกงอกอยู่ภายใน
·        อาการเข่าอ่อนหรือล้มไปเฉย ๆ   มักเกิดจากโครงสร้างข้อหลวมและกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อไม่แข็งแรง

การวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อม
แพทย์ต้องซักประวัติและตรวจร่างกายคนไข้อย่างละเอียดโดยเฉพาะตำแหน่งที่เจ็บ  มีการตรวจโดยให้คนไข้หมุนข้อเข่าหลาย ๆ ทิศทาง  เพื่อฟังว่ามีเสียงดังกร๊อบแกร๊บในข้อหรือไม่ มีการตรวจหาการอักเสบ  ตรวจปริมาณน้ำภายในข้อ  และมวลกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อเข่า
นอกจากนี้อาจตรวจโดยใช้การถ่ายภาพทางรังสีเพิ่มเติมเพื่อประเมินว่าช่องว่างภายในข้อแคบลงหรือไม่  หรือมีกระดูกและหินปูนมาเกาะที่ข้อหรือไม่  อย่างไรก็ตาม  ภาพถ่ายทางรังสีไม่สามารถบอกความรุนแรงของโรคได้  เช่น  คนไข้ที่มีอาการปวดไม่รุนแรง  แต่ภาพถ่ายรังสีอาจแสดงว่าข้อเข่าผิดปกติมาก  หรือบางคนที่มีอาการปวดรุนแรงมาก  แต่ภาพถ่ายรังสีกลับแสดงว่าข้อเข่าเป็นปกติดี
ที่เป็นอย่างนี้เพราะอาการปวดอาจเกิดจากโครงสร้างที่อยู่รอบ ๆ ข้อ  เช่น  กล้ามเนื้อ  เส้นเอ็น  เกิดการอักเสบ  เกร็ง  หรือยึดติด  ซึ่งภาพทางรังสีไม่สามารถแสดงให้เห็นได้
หากอาการปวดรุนแรงหรือมีการอักเสบมาก  จำเป็นต้องตรวจโดยถ่ายภาพด้วยรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  ซึ่งแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม
การวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อมนั้นไม่สามารถทำได้โดยการเจาะเลือด  แต่แพทย์อาจเจาะเลือดเพื่อดูการทำงานของตับและไตเพื่อเป็นข้อมูลในการรักษาผู้ป่วยที่เหมาะสมต่อไป
สาเหตุโรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร
ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้ชัดเจน  สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากหลาย ๆ ปัจจัยร่วมกัน การศึกษามากมายพบปัจจัยเสี่ยงก่อโรค  ดังเช่น
·      ·        อายุ   โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคของผู้สูงอายุ  โดยทั่วไปมักพบในผู้มีอายุ  40  ปีขึ้นไป  แต่อาจพบในผู้มีอายุน้อยที่เป็นนักกีฬา  หรือผู้ประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บที่เอ็นรอบข้อก็อาจทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้

·       ·          เพศ   พบโรคนี้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย  เพราะกล้ามเนื้อและโครงสร้างของผู้หญิงไม่แข็งแรงเท่าผู้ชายด้วย
·       ·         โรคอ้วน  น้ำหนักที่มากขึ้นจะไปลงที่ข้อเข่า  ดังนั้น  ยิ่งน้ำหนักมากเท่าไร ยิ่งทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นเท่านั้น  และอาการจะรุนแรงมากขึ้น  ในทางตรงกันข้าม  การลดน้ำหนักจึงมีส่วนช่วยรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมได้ด้วย
·       ·           ประวัติสุขภาพของครอบครัว  ถ้าพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม  พบว่าเราจะมีความเสี่ยงเป็นโรคนี้เพิ่มขึ้น  ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม  คือการมีโครงสร้างร่ายกายที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคคล้ายกัน  นอกจากนี้  การอยู่ในครอบครัวเดียวกันอาจต้องทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคเหมือนกันก็ได้
·        ·           ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเข่า  พบว่านักกีฬา  เช่น  นักฟุตบอล  นักบาสเกตบอล  หรือผู้ประสบอุบัติเหตุจนเอ็นฉีกขาด  ต้องเข้ารับการผ่าตัดประสานเส้นเอ็น  จะทำให้โครงสร้างในข้อเข่าเปลี่ยนแปลงได้  จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ในอนาคต
·        ·          เป็นโรคข้ออื่น ๆ ร่วมด้วย  เช่น  โรคข้ออักเสบรูมาทอยด์  โรคเกาต์  โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน  โรคเหล่านี้ทำให้เกิดการทำลายของข้อและกระดูกอ่อนซึ่งเป็น

 ขอบคุณข้อมูลดีๆ จากหนังสือ ชีวจิต เล่มที่ 384

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561

นิ้วล็อค เทคนิคการบำบัดนิ้วมือ และมือในยุคดิจิตอล





นิ้วล็อค เทคนิคการบำบัดนิ้วมือ และมือในยุคดิจิตอล

เรียกได้ว่าในยุคดิจิตอลนี้ เป็นยุคแห่งโลกโซเชียลจริงๆ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มักจะได้เห็นแต่ละคนก้มหน้าก้มตา อยู่กับเจ้าหน้าจอสี่เหลี่ยม อย่างไอแพด หรือ สมาร์ทโฟน ที่ถือว่ามีความจำเป็นในยุคนี้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือเข้าไปดูเกี่ยวกับเอนเตอร์เทนต่างๆ ที่มีให้เลือกมากมายบนโลกออนไลน์ หลายคนที่นิยมนั่งจิ้มหน้าจอได้เป็นวันๆ จนเกิดอาการ
เส้นเอ็นที่นิ้วมืออักเสบ เป็นโรคที่เกิดจากการเกร็งนิ้วมือเพื่อกดปุ่มเล็กๆ บนอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ซ้ำๆ กันเป็นเวลาที่นานหรือต่อเนื่อง และก็จะเกิดเป็นปัญหานิ้วล็อคได้

การป้องกันการอักเสบของข้อนิ้วมือ
การที่นิ้วมือเกิดอาการเกร็งจนมือและ กล้ามเนื้อนิ้วอักเสบ การดูแลรักษาก็เหมือนกับรักษาโรคเส้นเอ็นอักเสบโดยทั่วไปคือพยายามหลีกเลี่ยงการใช้นิ้วมือข้อใดข้อหนึ่งซ้ำๆ ให้ลองเปลี่ยนมาใช้นิ้วมืออื่นๆ สลับกันบ้าง และปริมาณการใช้ก็ถือได้ว่ามีส่วนสำคัญ เพราะบางคนไม่ยอมไปไหน อยู่แต่หน้าจอเพื่อกดปุ่มเปลี่ยนไปมา หากเป็นไปได้ก็ควรใช้อุปกรณ์หรือควรใช้งานจากมือและข้อนิ้วให้น้อยลง เพราะหากคุณใช้นิ้วเดิมๆ ซ้ำไปเวียนมาอยู่ทั้งวันบ่อยๆ รับรองว่าจะต้องเกิดอาการอักเสบที่ข้อนิ้วแน่นอน
  
การสังเกตอาการของข้อนิ้วมืออักเสบ
หากเริ่มมีอาการปวดหรือไม่สบายข้อนิ้วมือแล้ว นั่นเป็นสัญญาณเตือนภัยของร่างกายว่า ร่างกายกำลังจะเริ่มรับการใช้งานข้อนั้นไม่ไหวแล้ว ควรจะหาทางพักการใช้งานข้อนิ้วมือนั้นทันที และลองสังเกตลักษณะของการใช้ข้อนิ้วมือแต่ละข้อว่าเป็นเช่นไร  งอหรือเหยียดข้อนิ้วข้อไหนบ้าง หากพบพฤติกรรมการงอนิ้วมากๆ เพราะการใช้งานบ่อยๆ  ให้คุณลองทำการยืดและเหยียดข้อนิ้วหลังการใช้งานข้อนั้นด้วยเสมอ แต่หากคุณต้องทำงานด้วยการเหยียดนิ้วซะเป็นส่วนใหญ่ หลังใช้งานข้อนิ้วมือสักพักหนึ่งแล้ว ให้ทำการบริหารด้วยการงอนิ้วมือแทน

การแก้อาการข้อนิ้วมืออักเสบ
-          การแก้ปัญหาหรืออาการของข้อนิ้วอักเสบ คือพยายามงดการใช้งาน และขยับนิ้วให้น้อยที่สุดประมาณ 7-14 วัน ใส่อุปกรณ์ช่วยไม่ให้นิ้วขยับ
-          และประคบเย็น เพื่อลดการปวดบวม
-          หากปวดมาก สามารถทานยาแก้ปวด ได้ ปรึกษาแพทย์

สำหรับอีกวิธีหนึ่งในการป้องกัน คือ แช่ในน้ำสมุนไพรอุ่นๆ วันละ 5 นาที ตอนเช้า  โดย  นำ สมุนไพร ขมิ้นชัน  ไพล หั่นหยาบๆ พอประมาณ และ ผลมะกรูด 1 ลูก ผ่า 4 ส่วน ใส่น้ำ และนำไปต้มให้เดือดประมาณ 15 นาที เมือเดือดแล้ว ทิ้งไว้ให้น้ำอุ่นพอที่จะให้แช่มือได้ ไม่ควรแช่ตอนน้ำร้อนมากเกินไป  นำมือแช่ในน้ำ ให้น้ำเลยข้อมือมาหน่อย  แช่ประมาณ 5-10 นาที เสร็จแล้วใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง สามารถทำได้ทุกวัน  จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อ และเอ็นผ่อนคลาย


วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2561

ปวดหลัง จากโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal stenosis )






ปวดหลัง จากโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal stenosis )
โรคนี้ในอดีตพบมากในผู้มีอายุตั้งแต่ 50 ปี แต่ปัจจุบันพบว่าผู้เป็นโรคนี้มีอายุที่ลดลง คือตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป 
สาเหตุของโรคนี้เกิด ต่อเนื่องจากโรคหมอนรองกระดูกเสื่อม จากการใช้หลังที่ผิด เช่น 
- เล่นกีฬาบางประเภทที่ยิ่งทำให้หลังเสื่อมง่าย เคลื่อนไหวเกินช่วงของหลัง แอ่นหลังมากเกินไปโดยไม่ได้คุมกล้ามเนื้อที่พยุงกระดูกขณะเล่นจึงเกิดการกดอัดที่หลัง 
- เคยมีประวัติได้รับอุบัติเหตุล้มก้นกระแทก 
- จากการมีพังผืดของเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และข้อต่อหนาตัว แล้วมีผลต่อโพรงกระดูกสันหลัง ซึ่งโพรงนี้เป็นทางออกของเส้นประสาท อาการของโรคนี้ค่อนข้างชัดเจน คือผู้ที่เป็นจะมีอาการปวดร้าวตามแนวเส้นประสาทลงไปที่ขา จนถึงฝ่าเท้า อาจเป็นอาการซ่าๆ ชาๆ ด้านๆ รู้สึกยิบๆ เหมือน มดไต่บริเวณเท้า นิ้วเท้า ฝ่าเท้า หน้าแข้ง น่อง หรือเป็นอาการปวดร้าวลงสะโพกและต้นขา บางเคสก็มีอาการหมดแรง อ่อนแรงขาด้านที่ป็น อาการจะชัดเจนมากเมื่อเดินหรือยืน ซึ่งถ้าโพรงเส้นประสาทตีบแคบมาก อาการจะแสดงเมื่อเดิน หรือยืนเพียง 2-3 นาที

ท่านสงสัยหรือไม่??? เป็นที่หลังกลับมีอาการที่ขา? เรามาดูกันค่ะว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่ามีปัญหาที่หลัง ต้องปวดที่บริเวณหลัง แต่ความจริงแล้วการมีอาการที่ขา ฝ่าเท้า นิ้วเท้านั้น ก็เนื่องจากกระดูกสันหลังมีโพรงที่เป็นทางออกของเส้นประสาท วิ่งไปเลี้ยงขาทั้งหมด และควบคุมให้กล้ามเนื้อข้อต่อมีแรงรวมถึงการรับรู้ความรู้สึก การเคลื่อนไหวต่างๆ หากเส้นประสาทถูกกดเบียดก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ เกิดการอ่อนแรง เคลื่อนไหวไม่ได้ ปวด ชา ซ่าๆ แล้วแต่ว่าการกดเบียดของเส้นประสาทนั้น จะกดเบียดส่วนไหนของเส้นไยประสาทนั่นเอง เคสส่วนใหญ่มักเลือกที่จะรักษาด้วยการผ่าตัด แต่บางเคสก็เลือกที่จะรักษาโรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบนี้ด้วยการใช้ศักยภาพร่างกายรักษาตัวเอง

การรักษาโรคนี้ สามารถรักษาโดยอาศัยการทำให้พังผืด เส้นเอ็น ข้อต่อ คลายตัวออก แล้วสร้างกล้ามเนื้อ ด้วยการออกกำลังกายกล้ามเนื้อมัดลึก เพื่อทำให้การไหลเวียนของเส้นประสาทไหลเวียนได้ดีขึ้น ก่อนการรักษาโรคนี้ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจะทดสอบสภาวะของร่างกายเคสก่อน ว่าที่เป็นอยู่นั้น เป็นระดับใด รุนแรงมากน้อยเพียงใด เพื่อประเมินว่าหากต้องรักษาด้วยการปรับโครงสร้างร่างกายจะสามารถรักษาให้หายได้ด้วยวิธีใด ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรง และการตอบสนองต่อการรักษาของร่างกายแต่ละเคส หากท่านเป็นคนหนึ่งที่เห็นศักยภาพร่างกายตัวเอง ไม่ต้องการรักษาด้วยการทานยาหรือผ่าตัด 
การรักษาด้วยการปรับโครงสร้างร่างกาย เป็นการรักษาด้วยเทคนิคเฉพาะทางของผู้เชี่ยวชาญระบบกระดูกกล้ามเนื้อ เป็นทางเลือกสำหรับท่านที่เป็นโรคนี้ เพียงแต่ตัวท่านเองต้องรู้จักร่างกายตัวเอง เพิ่มในสิ่งที่ขาดและลดคลายในสิ่งที่เกิน ร่างกายคนเราสมดุลมาแล้วแต่ต้น เพียงการใช้ร่างกายที่มากเกินไปจึงเกิดโรคและปัญหาตามมา หากรู้เท่าทันก็สามารถแก้ไขได้ เพราะระบบร่างกายเรา ระบบกระดูกกล้ามเนื้อคนเราเป็นเนื้อเยื่อที่ฝึกได้ แต่ต้องได้รับการฝึกที่ถูกต้องเท่านี้นเองก็สามารถแก้ไขปัญหาที่เป็นได้ ให้โอกาสร่างกายตัวท่านเองได้สัมผัสกับแนวทางที่ถูกต้องนะคะ เพื่อร่างกายนี้จะได้อยู่กับท่านจนถึงวัยอันเหมาะควรตามอายุขัย แล้วพบกันฉบับหน้ากับปัญหาหลังๆ ที่ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ควรตระหนักไว้แต่เนิ่นนะคะ สวัสดีค่ะ