10 คำถามเกี่ยวกับโรคกระดูกพรุน
1. โรคกระดูกพรุน คืออะไร
กระดูกพรุน คือ ภาวะที่มวลกระดูกมีลดน้อยลง
ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลงลงไปด้วย มีความเสี่ยงต่อกระดูกหักสูง หากพิจารณาลึกไปถึงระดับจุลภาค
จะหมายถึง ภาวะที่โครงสร้างกระดูกผิดปกติ ทำให้กระดูกเสียความแข็งแรงไป จนเปราะ
และหักง่าย แต่บางครั้งมวลกระดูกอาจจะไม่ลดลงชัดเจนก็ได้
2. โรคกระดูกพรุนมีอาการอย่างไรบ้าง
ผู้ป่วยกระดูกพรุนจะไม่มีอาการใดๆ
จึงไม่รู้ตัว จนเมื่อประสบอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง
ทำให้กระดูกหักได้ ส่วนผู้ป่วยที่หลังโก่งจากกระดูกพรุนยุบ มีเพียง 1 ใน 3
เท่านั้นเอง ที่มีอาการปวดจนจำเป็นต้องมาพบแพทย์ หากไม่รับการรักษา กระดูกสันหลังจะยุบหลายๆ
ปล้องทำให้ตัวเตี้ยลง เป็นหลังโก่ง ซึ่ง จะทำให้ปวดหลังเรื้อรังตามมาได้ในภายหลัง
ถือว่าเป็นโรคที่ไม่มีอาการ จึงเรียกโรคนี้ว่า โรคภัยเงียบ
3.
กระดูกหักจากกระดูกพรุนมีความสำคัญอย่างไร
กระดูกหักในกรณีเช่นนี้ เรียกว่าเป็นกระดูกหักแบบมีพยาธิสภาพจึงมีความแตกต่างจากกระดูกหักทั่วไปอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกข้อสะโพกหักจะมีภาวะแทรกซ้อนหลายประการและอัตราการตายสูง
ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ จะเสียชีวิตภายในปีแรกหลังจากที่กระดูกสะโพกหัก และมีเพียง
1 ใน 7 ที่จะสามารถกลับมาเดินได้เหมือนเดิม
4.
เมื่อไม่มีอาการจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น
การวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระดูกพรุนหรือไม่
ใช้วิธีตรวจมวลกระดูกหรือว่าวัดความหนาแน่นของกระดูก ซึ่งปัจจุบันตรวจได้ง่าย
รวดเร็วและไม่เจ็บปวด ด้วยกับเครื่องมือที่เรียกว่า DEXA ซึ่งมีข้อเสียบางประการ เช่น
การวัดความหนาแน่นของกระดูกเป็นการวัดปริมาณเกลือแร่ในกระดูก ซึ่งอาจไม่ได้สะท้อนถึงโครงสร้างกระดูกระดับจุลภาค
เป็นการวัดแบบ 2 มิติ ไม่ใช่เชิงปริมาตร และการตรวจยังมีราคาแพง
5. จำเป็นต้องไปตรวจความหนาแน่นทุกคนไหม
ไม่จำเป็นต้องตรวจทุกคน กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่ควรตรวจ คือ บุคคลที่มีอายุเกินกว่า
65 ปีหรือว่าหญิงวัยหมดประจำเดือนที่พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกพรุน ซึ่งปัจจัยเสี่ยงมี 3 ด้าน ได้แก่
ด้านพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และปัจจัยที่ทำให้เกิดการล้ม ปัจจัยที่สำคัญ ก็คือ
มีประวัติพบว่าครอบครัวโดยเฉพาะญาติฝ่ายมารดาเป็นโรคกระดูกพรุนและกระดูกหักง่าย
6. จะดูแลตนเอง
เพื่อป้องกันไม่ให้กระดูกพรุนได้อย่างไร
รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ให้รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง ส่วนการออกกำลังกายนั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ พิจารณาตามความเหมาะสมตามอายุและสมรรถภาพของร่างกายของตนเอง
7.
อายุช่วงใดบ้างที่ต้องดูแลป้องกันเป็นพิเศษ
ในช่วงวัยเด็กเล็ก ถึงวัยรุ่นควรที่จะได้รับโภชนาการที่ครบถ้วน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแคลเซียมซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของกระดูก ส่วนในหญิงหลังหมดประจำเดือน
จะต้องได้รับแคลเซียมเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมร้อยละ 50 อย่างน้อย 5 ปี
และหากอาจจะต้องได้รับฮอร์โมนทดแทนด้วยในบางกรณี
8. ควรจะดื่มนม
ดีหรือไม่
การดื่มนมจะเป็นการป้องกันกระดูกพรุนได้ดี
สำหรับในผู้สูงอายุให้เลือกดื่มนมพร่องมันเนย หรือนมขาดมันเนยแทน
9.
มีข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนที่อยากจะออกกำลังกายอย่างไร
การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยนั้นต้องเตรียมความพร้อมก่อน
โดยให้การออกกำลังทีละน้อยและค่อย เพิ่มขึ้นจนถึงระดับพอดี ในผู้ป่วยสูงอายุต้องให้แพทย์ตรวจร่างกายเสียก่อน
เพื่อกำหนดความหนักเบาของการออกกำลังกายได้ อาจจะเป็นแบบแอโรบิกหรือเล่นกีฬาที่ไม่มีการปะทะกัน
ต้องเลือกรองเท้าอย่างดี ไม่ลื่นหรือล้มง่าย ควรออกกำลังกายกลางแจ้งเพื่อให้ร่างกายได้รับแสงแดดอ่อนๆ
หากเป็นไปได้ ซึ่งจะทำให้ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดี
ช่วยในการดูดซึมของแคลเซียมมากขึ้นด้วย
10.
ถ้าเป็นโรคกระดูกพรุนมียารักษาให้หายได้หรือไม่
มียาอยู่มากมายหลายชนิดที่สามารถจะเพิ่มมวลกระดูกให้มากขึ้นได้
และลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักได้ แต่ยาเหล่านี้ยังคงมีราคาแพงอยู่มาก
และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้นการป้องกันจะดีกว่าสำหรับทุกคน
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thaigoodview.com/node/18169