disable right click

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

คำถามเกี่ยวกับโรคกระดูกพรุน




10 คำถามเกี่ยวกับโรคกระดูกพรุน
1. โรคกระดูกพรุน คืออะไร
    กระดูกพรุน คือ ภาวะที่มวลกระดูกมีลดน้อยลง ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลงลงไปด้วย มีความเสี่ยงต่อกระดูกหักสูง หากพิจารณาลึกไปถึงระดับจุลภาค จะหมายถึง ภาวะที่โครงสร้างกระดูกผิดปกติ ทำให้กระดูกเสียความแข็งแรงไป จนเปราะ และหักง่าย แต่บางครั้งมวลกระดูกอาจจะไม่ลดลงชัดเจนก็ได้
2. โรคกระดูกพรุนมีอาการอย่างไรบ้าง
    ผู้ป่วยกระดูกพรุนจะไม่มีอาการใดๆ จึงไม่รู้ตัว  จนเมื่อประสบอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง ทำให้กระดูกหักได้ ส่วนผู้ป่วยที่หลังโก่งจากกระดูกพรุนยุบ มีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นเอง ที่มีอาการปวดจนจำเป็นต้องมาพบแพทย์ หากไม่รับการรักษา กระดูกสันหลังจะยุบหลายๆ ปล้องทำให้ตัวเตี้ยลง เป็นหลังโก่ง ซึ่ง จะทำให้ปวดหลังเรื้อรังตามมาได้ในภายหลัง ถือว่าเป็นโรคที่ไม่มีอาการ จึงเรียกโรคนี้ว่า โรคภัยเงียบ
3. กระดูกหักจากกระดูกพรุนมีความสำคัญอย่างไร
    กระดูกหักในกรณีเช่นนี้ เรียกว่าเป็นกระดูกหักแบบมีพยาธิสภาพจึงมีความแตกต่างจากกระดูกหักทั่วไปอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกข้อสะโพกหักจะมีภาวะแทรกซ้อนหลายประการและอัตราการตายสูง ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ จะเสียชีวิตภายในปีแรกหลังจากที่กระดูกสะโพกหัก และมีเพียง 1 ใน 7 ที่จะสามารถกลับมาเดินได้เหมือนเดิม
4. เมื่อไม่มีอาการจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น
    การวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระดูกพรุนหรือไม่ ใช้วิธีตรวจมวลกระดูกหรือว่าวัดความหนาแน่นของกระดูก ซึ่งปัจจุบันตรวจได้ง่าย รวดเร็วและไม่เจ็บปวด ด้วยกับเครื่องมือที่เรียกว่า DEXA ซึ่งมีข้อเสียบางประการ เช่น การวัดความหนาแน่นของกระดูกเป็นการวัดปริมาณเกลือแร่ในกระดูก ซึ่งอาจไม่ได้สะท้อนถึงโครงสร้างกระดูกระดับจุลภาค เป็นการวัดแบบ 2 มิติ ไม่ใช่เชิงปริมาตร และการตรวจยังมีราคาแพง
5. จำเป็นต้องไปตรวจความหนาแน่นทุกคนไหม
    ไม่จำเป็นต้องตรวจทุกคน  กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่ควรตรวจ คือ บุคคลที่มีอายุเกินกว่า 65 ปีหรือว่าหญิงวัยหมดประจำเดือนที่พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกพรุน   ซึ่งปัจจัยเสี่ยงมี 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และปัจจัยที่ทำให้เกิดการล้ม ปัจจัยที่สำคัญ ก็คือ มีประวัติพบว่าครอบครัวโดยเฉพาะญาติฝ่ายมารดาเป็นโรคกระดูกพรุนและกระดูกหักง่าย
6. จะดูแลตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้กระดูกพรุนได้อย่างไร
    รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ให้รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง ส่วนการออกกำลังกายนั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ พิจารณาตามความเหมาะสมตามอายุและสมรรถภาพของร่างกายของตนเอง
7. อายุช่วงใดบ้างที่ต้องดูแลป้องกันเป็นพิเศษ
    ในช่วงวัยเด็กเล็ก ถึงวัยรุ่นควรที่จะได้รับโภชนาการที่ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแคลเซียมซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของกระดูก ส่วนในหญิงหลังหมดประจำเดือน จะต้องได้รับแคลเซียมเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมร้อยละ 50 อย่างน้อย 5 ปี และหากอาจจะต้องได้รับฮอร์โมนทดแทนด้วยในบางกรณี
8. ควรจะดื่มนม ดีหรือไม่
    การดื่มนมจะเป็นการป้องกันกระดูกพรุนได้ดี  สำหรับในผู้สูงอายุให้เลือกดื่มนมพร่องมันเนย หรือนมขาดมันเนยแทน
9. มีข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนที่อยากจะออกกำลังกายอย่างไร
     การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยนั้นต้องเตรียมความพร้อมก่อน โดยให้การออกกำลังทีละน้อยและค่อย เพิ่มขึ้นจนถึงระดับพอดี ในผู้ป่วยสูงอายุต้องให้แพทย์ตรวจร่างกายเสียก่อน เพื่อกำหนดความหนักเบาของการออกกำลังกายได้  อาจจะเป็นแบบแอโรบิกหรือเล่นกีฬาที่ไม่มีการปะทะกัน ต้องเลือกรองเท้าอย่างดี ไม่ลื่นหรือล้มง่าย ควรออกกำลังกายกลางแจ้งเพื่อให้ร่างกายได้รับแสงแดดอ่อนๆ หากเป็นไปได้ ซึ่งจะทำให้ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดี ช่วยในการดูดซึมของแคลเซียมมากขึ้นด้วย
10. ถ้าเป็นโรคกระดูกพรุนมียารักษาให้หายได้หรือไม่

        มียาอยู่มากมายหลายชนิดที่สามารถจะเพิ่มมวลกระดูกให้มากขึ้นได้ และลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักได้ แต่ยาเหล่านี้ยังคงมีราคาแพงอยู่มาก และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้นการป้องกันจะดีกว่าสำหรับทุกคน

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thaigoodview.com/node/18169


วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559

นิ้วมือก็ต้องการให้ดูแลสุขภาพและกระดูกนิ้วมือก็สำคัญไม่แพ้ส่วนอื่น




นิ้วมือก็ต้องการให้ดูแลสุขภาพและกระดูกนิ้วมือก็สำคัญไม่แพ้ส่วนอื่น
              มือของเรามีการใช้งานทุกวันและแทบจะทุกเวลาเลยแม้กระทั่งเวลาที่เราหลับอยู่มือของเราก็อาจจะยังทำงานก็ได้ กับการใช้งานมือหนักใครที่ต้องหิ้วของ แบกของ ยกของหนัก หรือใช้งานพิมพ์เอกสารหน้าคอมพิวเตอร์ จัดโน่นนี่นั่น จับโน่น จับนี่ ทุกอย่างใช้มือหมดเลย เป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายที่เราเห็นมันเป็นปกติทุกวันจนลืมคิดว่าไปว่ามันก็ต้องการจะพักผ่อนเหมือนกัน หากใช้งานมันหนักเกินไปก็มีอาการล้า ปวดเมื่อย เกร็ง นิ้วล็อค ต่าง ๆ นานา เกิดขึ้นได้เลย เมื่อปัญหามันเกิดแล้วหลายคนถึงมองเห็นว่ามันก็ต้องการพักและต้องการให้เราดูแลเอาใจใส่เหมือนกัน 
โรคที่เกิดกับมือและนิ้วมีอะไรบ้าง
       หากจะตอบแบบกว้าง ๆ เลยคงหลายโรคมากแต่ในส่วนนี้เราจะยกมาเพียงแค่เกี่ยวกับโรคที่เกิดจากการใช้งานนิ้วและมือหนักเกินไปคือการเป็นพังผืดรัดเส้นประสาทฝ่ามือ (Carpal Tumnel Syndrome หรือ CTS) และ โรคนิ้วล็อค (Repetive Strain Injury) โดยเฉพาะนิ้วล็อคคนที่ต้องใช้งานนิ้วทุกวัน ๆ อยู่หน้าคอมฯ นี่เป็นบ่อยมาก เรามาทำความรู้จักกับสองโรคนี้กันสักหน่อย
โรคนิ้วล็อค (Repetive Strain Injury)
เป็นหนึ่งในโรคออฟฟิตซิงโดรนที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ เลย แต่ว่ามันก็ไม่ได้เกิดแต่เฉพาะกับคนที่ทำงานพิมพ์เท่านั้น คนที่ต้องใช้มือในการยกของ ใช้แรงงานมากมาก ๆ ก็เป็นได้เหมือนกัน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านั้นส่งผลให้นิ้วและมือทำงานเกินกำลัง เช่น การยกของหนัก การบิดผ้าแรง ๆ หากอาการหนักมาก  ๆ จะไม่สามารถที่จะขยับนิ้วมือได้เลย ต้องรอให้มันคลายตัวหรือไปพบแพทย์หากมันไม่ดีขึ้น
โรคพังผืดรัดเส้นประสาทฝ่ามือ (Carpal Tumnel Syndrome หรือ CTS)
โรคนี้เกิดง่ายมากในยุคนี้โดยเฉพาะกับใครที่ต้องทำอะไรที่ใช้มือแบบนาน ๆ ซ้ำ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์เอกสาร การใช้งานมือถือเป็นเวลานาน ๆ ขับรถนาน ๆ หลายชั่วโมงทุกวัน ๆ แบบที่ไม่มีการเปลี่ยนท่าเลยแบบนี้มือมันเหนื่อยนั่นเอง ซึ่งกิจกรรมอะไรแบบนี้จะทำให้ส่วนของเส้นพังผืดบริเวณฝ่ามือกับเอ็นข้อนั้นเริ่มชา โดยจะชาไปทั้งมือเลย จากนั้นก็ล้า ปวดเมื่อย เป็นหนักมากก็ปวดยันแขนถ้าหากหนักกว่านั้นมือจะไม่สามารถหยิบจับอะไรได้เลย มันค่อนข้างน่าเป็นห่วงทีเดียว

เมื่อทราบกันแล้วว่ามันน่ากลัวอย่างไรกับโรคที่อาจจะเกิดขึ้นกับนิ้วและมือของเราได้ ฉะนั้นหากรู้ตัวว่าเป็นคนหนึ่งที่กำลังใช้งานมือหนักจนเกินไปควรที่จะหาเวลาพัก และนวดผ่อนคลายมือเบา ๆ บ้าง จะทำให้มือไม่ต้องพบกับอาการเจ็บปวดต่าง ๆ ได้ 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.bumrungrad.com/th/betterhealth/2554/pain-free/posture-matters 


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การดื่มน้ำอัดลมเป็นอันตรายต่อกระดูกจริงหรือไม่




การดื่มน้ำอัดลมเป็นอันตรายต่อกระดูกจริงหรือไม่
          ร่างกายต่างก็ต้องการสารอาหารเพื่อที่จะเติมพลังให้กับมัน การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีพของมนุษย์เราในทุกวัน แต่อาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีประโยชน์ก็มีเหมือนกัน วันนี้เราจะพูดถึงเครื่องดื่มที่หลายคนชื่นชอบกัน มีหลายรส หลายสี นั่นก็คือ น้ำอัดลม แน่นอนว่าอย่างหนึ่งที่น้ำอัดลมมีก็คือ น้ำตาลสูงทำให้อ้วนนั่นแหละ แต่ก็มีผลทำให้กระดูกพรุนอีกด้วยเอาจริง ๆ มันก็แทบจะหาประโยชน์จากการดื่มน้ำอัดลมไม่ได้เลย

สาเหตุที่น้ำอัดลมทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน
        น้ำอัดลมคงเป็นส่วนช่วยในการดับกระหายคลายร้อนของหลาย ๆ คนได้ แต่ว่ามันก็มีผลเสียเหมือนกัน โดยเฉพาะส่งผลต่อกระดูกของคนเราอย่างมากเลย และสำหรับใครที่ชอบการดื่มน้ำอัดลมไปมาก ๆ หรือว่าดื่มบ่อยครั้งจะเกิดการสะสมกันจำนวนมากของกรดฟอสฟอริก เพราะว่าในน้ำอัดลมนั้นมันมีกรดฟอสฟอริกเป็นส่วนประกอบหลักอยู่ สารตัวนี้เมื่อเข้าไปอยู่ในเลือดมากๆก็จะทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรด จากนั้นก็จะไปดักจับแคลเซียมที่กระดูกก็ต้องการเหมือนกัน  เมื่อกระดูกดูดซึมแคลเชียมได้น้อย สุดท้ายร่างกายก็จะกลายเป็นภาวะกระดูกพรุนในที่สุด

     นอกจากน้ำอัดลมที่เป็นตัวทำให้กระดูกพรุนแล้วยังมีเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อกระดูกอีกคือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะตัวนี้ทำให้แคลเซียลลดลงเร็วมากเหมือนกัน แถมวิตามิน D ก็ลดลงอีกด้วย ร่างกายทำหน้าที่ในการดูแซลเซียมน้อยลง แต่ดันขับแมกนีเซียมออกมาแทน ดูแล้วยังไงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เราก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายเลย แต่ยังไม่หมดเท่านี้ยังมีอีกตัวก็คือ

         เครื่องดื่มกาแฟ มันอาจจะมีประโยชน์อยู่บ้างหากดื่มกาแฟในปริมานความพอดี ไม่มากจนเกินไป เพราะว่ามีงานวิจัยระบุออกมาแล้วว่า ถ้าหากดื่มกาแฟมากเกินวันละ 2 ถ้วย กระดูกจะเปราะมาก อย่าลืมว่าในกาแฟนั่นมีสารตัวหนึ่งอยู่เรียกว่า คาเฟอีน ดื่มแก้ง่วงได้ทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกมาเยอะกว่าเดิม ฉะนั้นแล้วการดื่มกาแฟแม้จะมีประโยชน์ แต่ก็ควรดื่มให้พอดีต่อวัน แบบนั้นร่างกายจะได้รับประโยชน์มากกว่า 

     สรุปสุดท้ายของบทความนี้พาวกกลับมาที่เรื่องของน้ำอัดลมกันอีกครั้ง เราสามารถดื่มได้หากต้องการจะหาอะไรคลายร้อนและซาบซ่า แต่ก็ไม่ควรจะดื่มในปริมาณมาก ๆ  และอย่าลืมเลือกทานผัก ผลไม้ และอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย ดื่มนมบ้างจะได้เป็นการเสริมแคลเซียมให้ร่างกาย เอาแบบเข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ทานอะไรที่มันมีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่จะดีที่สุดนั่นเอง หากว่าต้องดื่มหรือทานอะไรที่มันให้โทษกับร่างกายก็อาจจะทำได้แต่อย่าบ่อยเกินไปเท่านั้นเอง ชีวิตใครใครก็ต้องดูแลกันเองนะ 

ขอบคุณช้อมูลอ้างอิง www.bumrungrad.com/th/betterhealth/2554/pain-free/posture-matters

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ทำอย่างไรให้สุขภาพเท้าดีในคนเท้าแบน





ทำอย่างไรให้สุขภาพเท้าดีในคนเท้าแบน
           หลังจากที่เรารู้จักอาการเท้าแบนมาบ้างแล้ว แล้วลองสำรวจฝ่าเท้าของตัวเองกันบ้างหรือยัง ในส่วนต่อไปจะแนะนำให้รู้จักกับการดูแลสุขภาพเท้า เพราะว่าคนที่มีเท้าแบนนั้นมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อบริเวณน่องและในฝ่าเท้าได้ เนื่องจากว่ามีแรงกดต่อโครงสร้างในฝ่าเท้าง่ายกว่าคนที่มีอุ้งเท้าแบบปกติ นอกจากนั้นแล้วการมีอุ้งเท้าแบนจะส่งเสริมให้ปวดเข่าได้มากขึ้น เนื่องจากว่ามีการลงน้ำหนักในด้านในของเข่ามาก นอกจากนั้นแล้วยังส่งผลให้ปวดหลังตามมาได้อีก  จึงขอแนะนำการดูแลอุ้งเท้าแบนไว้ 2 ส่วน
ส่วนแรก คือ การออกกำลังกายในคนเท้าแบน จากที่ทราบว่ากล้ามเนื้อทั้งในและนอกฝ่าเท้าอ่อนแรง ดังนั้นจึงต้องทำการเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อกลุ่มนี้ เป็นสิ่งสำคัญ
ท่า 1 เรียกว่า  Towel pickup
สำหรับส่วนกล้ามเนื้อในฝ่าเท้า  เริ่มจากนั่งวางเท้าบนพื้น จากนั้นให้ใช้ฝ่าเท้าขยุ้มเพื่อที่จะหยิบผ้าขนหนูที่พื้นขึ้นมา ทำค้างไว้นับ 5 วินาที จากนั้นคลายการเกร็งลงแล้ว แล้วจึงทำใหม่ 10 ครั้ง 2 รอบ

ท่า 2  เรียกว่า short foot exercise
เริ่มจากนั่งวางเท้าบนพื้น จากนั้นจินตนาการดึงฝ่าเท้าให้หดให้สั้นที่สุด หรือ ให้คิดว่างอฝ่าเท้าให้ได้มากที่สุดค้างไว้ประมาณ 10 วินาที จากนั้นจึงคลายการเกร็งแล้วทำใหม่ 10 ครั้ง 2 รอบ

ท่า 3  เรียกว่า Toe pull
ให้วางเท้าราบกับพื้นจะใช้ยางรัดนิ้วเท้าหรือไม่ก็ได้ โดยเหยียดนิ้ว กางนิ้วออกประมาณ 5 วินาที และหุบนิ้วเข้าให้สลับทำ 10 ครั้ง

ท่า 4
สำหรับเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อส่วน Tibialis posterior muscle ที่ด้านหลังน่องโดยวางเท้าลงบนสแตนที่สูงกว่าพื้นไม่มากนัก จากนั้นวางสั้นเท้าลงพันผ้าหรือใช้ยางยืดพันส่วนฝ่าเท้าด้านบนติดกับที่ยึดใกล้เคียง เพื่อรั้งฝ่าเท้าไว้ ให้ออกกำลังโดยดึงฝ่าเท้าออกทางด้านนอกโดยให้กดปลายเท้าลงร่วมกับบิดเข้าด้านใน ให้เกิดแรงต้าน จนทำให้เกิดอาการล้าบริเวณน่อง

ส่วนที่สอง คือเลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับผู้ที่มีอุ้งเท้าแบน โดยรองเท้าที่เหมาะสมของคนที่มีอุ้งเท้าแบนจะช่วยลดการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นภายในฝ่าเท้าได้ รวมถึงโครงสร้างอื่นๆ ของร่างกายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ข้อเข่า ข้อสะโพก หรือ หลัง ซึ่งหลักการเลือกรองเท้ามีดังต่อไปนี้
1.      ควรที่จะมีการเสริมอุ้งเท้าด้านในของรองเท้า เพื่อให้มีการกระจายแรงบนฝ่าเท้าได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะลดการกดทับของโครงสร้างใต้ฝ่าเท้าได้  ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณฝ่าเท้าได้ดีขึ้น
2.      พื้นรองเท้าไม่ควรนิ่มและไม่แข็งมากเกินไป
3.      พื้นรองเท้าต้องมีความหนาพอดีเมื่อลงน้ำหนักแล้วไม่ยวบลงจนถึงพื้นได้
4.      ส่วนหน้าของเท้าควรพอดีกับนิ้วเท้าของตัวเองไม่รัดแน่นจนเกินไป เมื่อสวมแล้วสามารถขยับนิ้วเท้าภายในรองเท้าได้เล็กน้อย
จะพบว่าสุขภาพเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนของอุ้งเท้านั้นมีความสำคัญกับร่างกายมากและส่งผลกระทบกับร่างกายหลายส่วน ดังนั้นการดูแลสุขภาพเท้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีภาวะอุ้งเท้าแบนที่อาจจะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเอ็นใต้ฝ่าเท้า หรือที่เราเรียกว่า รองช้ำ

นอกจากนี้แล้วยังมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของข้อเข่าและกล้ามเนื้อหลังได้อีกด้วย ถึงเวลาที่จะหันมาดูสุขภาพเท้าของตัวเอง หรือถ้าไม่มั่นใจว่าอุ้งเท้าแบนหรือไม่ ก็สามารถขอคำแนะนำ รวมถึงการตรวจประเมินภาวะอุ้งเท้าได้จากนักกายภาพบัดที่ศูนย์กายภาพบำบัดได้ สุดท้ายนี้ของให้ทุกคนมีสุขภาพเท้าที่ดีแม่ว่าจะมีอุ้ง เท้าแบนก็ตาม
ขอบคุณข้อมูลจาก www.pt.mahidol.ac.th/knowledge/?p=442