disable right click

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

สารพัดวิธีรับมือปัญหาเท้าผู้สูงวัย ตอนที่ 1




สารพัดวิธีรับมือปัญหาเท้าผู้สูงวัย ตอนที่ 1

ปัญหาเกี่ยวกับเท้าที่ผู้สูงวัยพบมากได้แก่
ส้นเท้าแตกเป็นร่องลึกถึงเนื้อ มีทั้งอาการคันและเจ็บ หากยืนหรือเดินนานก็จะเจ็บปวดมากขึ้น ต่อมาก็คือ ตาปลา ที่ บริเวณฝ่าเท้าจะเป็นตุ่มหนังปูดโปนแข็งเป็นไต สร้างความลำบากในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ อีกอาการ คือ  นิ้วหัวแม้เท้าบิดเก เนื่องจากการยืนเป็นเวลานาน และใส่รองเท้าหัวแคบ เกิดกระดูกโปนออกมาบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า หากเดินเป็นเวลานาน นิ้วหัวแม้เท้าจะเสียดสีกับรองเท้าจนอักเสบและเจ็บปวดได้ และอาการปวดส้นเท้า ซึ่งผู้สูงอายุจะเป็นกันมาก ในบางรายปวดมากจนลุกยืนไม่ไหว
คุณอมรรัตน์ สัทธาธรรมรักษ์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการประจำศูนย์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุอธิบายให้ฟังว่า ถึงสาเหตุของปัญหาส้นเท้าแตก และตาปลาแบบเข้าใจง่าย พร้อมทั้งกล่าวว่า หากรู้ทันสาเหตุก็จะแก้ปัญหาได้

1.ส้นเท้าแตก 
ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดอาการส้นเท้าแตก คือ เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ไขมันใต้ผิวหนังบริเวณส้นเท้าจะมีปริมาณลดลง บวกกับผิวหนังบริเวณนี้เป็นส่วนที่รับน้ำหนักของร่างกายจนแห้งหยาบและแตกเป็นร่องได้ง่าย หากเดินเท้าเปล่าในบ้านจนเป็นนิสัย ทำให้เท้าสัมผัสกับความเย็นตลอดเวลา ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณส้นเท้าแห้งและแตกเป็นร่องลึกได้เหมือน ทั้งนี้การดื่มน้ำน้อยก็มีส่วนทำให้ส้นเท้าแตกมากขึ้นได้ เนื่องจากร่างกายจะไม่มีน้ำไปหล่อเลี้ยงผิวหนัง ทำให้ผิวหนังแห้งแตกได้ง่าย ยิ่งมนฤดูหนาวที่อากาศจะแห้งมากกว่าปกติ ย่อมจะเป็นปัจจัยสริมให้กิดส้นเท้าแตกได้ง่าย

2. ตาปลา
ตาปลาเกิดจากสาเหตุเดียวกับส้นเท้าแตก แต่มีปัจจัยที่เพิ่มมา คือ แรงเสียดสีและแรงบีบที่มาจากหลายสาเหตุ ทั้งจากการสวมรองเท้าที่คับหรือรองเท้าที่ตัดเย็บไม่เรียบร้อย ทำให้เกิดแรงเสียดสีบางบริเวณมากเป็นพิเศษ ยิ่งมีปัญหานิ้วเท้าเกยและเสียดสีกันระหว่างเดิน ยิ่งทำให้ผิวหนังด้านหนา เป็นไตแข็งจนเกิดตาปลาขึ้นได้
ดร. อภิวรรณ ณัฐมนวรกุล นักกายภาพบำบัดชำนาญการ อธิบายอีก 2 อาการ คือ 

3. นิ้วหัวแม่เท้าบิดเก
การใส่รองเท้าหัวแคบเป็นเวลานานตั้งแต่สมัยยังหนุ่มสาว ทำให้หัวแม่เท้าบิดเกไปตามลักษณะของเท้าที่ถูกบีบขณะใส่รองเท้า กระดูกบริเวณโคนนิ้วสหัวแม่เท้าจึงปูดโปนออกมา ทุกครั้งที่ใส่รองเท้าหรือยืนและเดินเป็นเวลานานๆ จึงเกิดแรงกดจากรองเท้าซ้ำอีก และการลงน้ำหนักไม่สมดุลเนื่องจากนิ้วหัวแม้เท้าบิดเกยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น

ตอนที่ 2

ขอบคุณข้อมูลจาก ชีวจิต เล่มที่ 294 ปีที่ 30 วันที่ 1 ม.ค. 2554

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

โรคข้อเกิดมาจากสาเหตุอะไรบ้าง



โรคข้อเกิดมาจากสาเหตุอะไรบ้าง
มาทำความรู้จักโรคข้อ (Joint Disease) กันแบบเบื้องต้นว่าเกิดมาจากอะไรบ้าง โรคนี้นั้นเป็นเรื่องของกระดูก ข้อต่อ ต่าง ๆ ภายในร่างกายของเรา เราจะรู้สึกปวดเมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกายในส่วนที่มีข้อต่อ เมื่อปวดมาก ๆ เข้าก็จะทำให้ไม่สามารถทำงานได้เลย และอาการที่อาจจะตามมาจากการปวดก็จะเป็น รู้สึกร้อน เริ่มแดง และบวม หรือข้อยึดไปเลยแบบนี้คงจะไม่ดีอย่างแน่นอน การป่วยเป็นโรคข้อนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเฉพาะกระดูกเพียงอย่างเดียวแต่ก็ยังเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเนื้อเยื่อด้วย แถมในบางครั้งผู้ป่วยก็ยังมีโรคอื่น ๆ ตามมาด้วย โดยคนที่เป็นโรคนี้เกิดได้กับทั้งในเด็กและผู้ใหญ่เลย ยิ่งอายุมากขึ้นโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ยิ่งมากขึ้น

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคข้อได้มากที่สุด
ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ เราก็เกิดป่วยเป็นโรคข้อเลยแต่มันก็ต้องมีสาเหตุว่าเกิดมาจากอะไรทำไมถึงได้ป่วย เรามาดูกันว่าสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้คนเราป่วยเป็นโรคข้อมากที่สุด สิ่งแรกเลยที่เราทุกคนจะต้องเจอคือ ความชราแน่นอนว่ายิ่งแก่มากขึ้นกระดูกและกล้ามเนื้อของเราก็จะยิ่งอ่อนแรงลงไปตามวัยด้วย  การทำงานของกระดูกนั้นใช้งานมานานเหลือเกินมันก็เหนื่อยและเสื่อมสภาพเป็นธรรมดา เราจึงเห็นว่าโรคข้อจะเกิดกับผู้สูงอายุมาก
การได้รับบาดเจ็บหรือประสบอุบัติเหตุในจุดเดิม ๆ บ่อยครั้งทำให้เซลล์บางตัวอ่อนแรงและข้อปวดได้ เพราะว่าเกิดความเสียหายตรงส่วนนั้นบ่อยครั้งมาก กระดูกและข้อต่อได้รับผลกระทบโดยตรงเลย และแม้กระทั่งการนั่งทำงานในท่าเดิม ๆ อย่างการอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ การเย็บผ้า การเล่นกีฬา เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะถูกใช้งานในท่าเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ทุกวันข้อจึงเริ่มเมื่อยและปวดในที่สุด  การบิดตัว การออกกำลังกายที่ผิดวิธีที่ทำให้เป็นโรคข้อได้ จะก้ม จะเงย จะเอี้ยวตัวก็ต้องระมัดระวังหากผิดพลาดขึ้นมามีหวังได้ปวดไปอีกนานแน่นอน 
คนที่ทำงานยกของหนักก็ยิ่งต้องระวังให้มากเพราะว่าข้อจะทำงานหนักมากที่สุดเป็นเวลานาน ๆ ในการทำงานต่าง ๆ ก็ต้องระวังเรื่องอุบัติเหตุที่จะเกิดแล้วกระทบกับกระดูกและข้อ  นอกจากนั้นแล้วโรคข้อก็เกิดมาจากผู้ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน โรคเกี่ยวกับกระดูกอยู่แล้วโดยเฉพาะกระดูกสันหลัง เสี่ยงจะเป็นโรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทเข้าไปด้วยจะยิ่งแย่มากกว่าเดิม การเป็นโรคเกาต์ ก็มีส่วนทำให้ปวดข้อด้วยและทรมานมาก ๆ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย ร่างกายของเราอ่อนแอมากกว่าที่คิดเลย อาจจะเกิดจากหนองใน และโรคซิฟิลิสด้วยแม้จะไม่ค่อยเห็นเท่าไรก็ตาม อีกอย่างหนึ่งที่อาจจะห้ามยากคือการป่วยที่เกิดมาจากพันธุกรรม เกิดมาก็ป่วยเลยกระดูกมีความผิดปกติมาตั้งแต่แรก แต่ก็อาจจะหาทางรักษาให้หายขาดกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ ในการป่วยเป็นโรคข้อโรคเกี่ยวกับกระดูกนี้เราอย่ารอให้อาการหนักจนทำอะไรแทบไม่ได้จึงไปหาหมอ หากเริ่มรู้ตัวว่าปวดแล้ว รู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ยิ่งเราไปถึงมือหมอเร็วมากเท่าไร เราก็จะมีโอกาสที่จะหายป่วยได้มากขึ้นเท่านั้นด้วย 
ชอบคุณข้อมูลจาก http://haamor.com/th/โรคข้อ/#article102

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559

7 สาเหตุการปวดหลัง ไม่บอกไม่รู้



7 สาเหตุการปวดหลัง ไม่บอกไม่รู้  
                     อาการปวดหลังที่ว่า คืออาการปวดบั้นเอวถึงก้นกบ ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับวัยที่สูงขึ้น เปล่าเลยค่ะ มันมีสาเหตุที่คุณนึกไม่ถึงต่างหาก เอมี่ รัสโลว์ นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและการออกกำลังกายจากนิตยสาร Athlete รวบรวมมาบอกเล่า ได้แก่

1.กระดูกก้นกบผิดรูป
เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณก้นอ่อนแอจนไม่สามารถยึดกระดูกให้อยู่ในตำแหน่งปกติได้

2.กล้ามเนื้อบริเวณก้นอ่อนแอ
ปกติกล้ามเนื้อจะช่วยยึดโยงอวัยวะต่างๆ ให้ประสานกันอย่างสอดคล้องกลมกลืน แต่หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดอ่อนแอหรืองอแงขึ้นมาก็จะก่อความผิดปกติบางอย่างได้ เช่น กล้ามเนื้อบริเวณก้น ซึ่งจะเป็นสาเหตุของอาการปวดหลัง

3.เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง
         
โดยปกติคนเราจะมีเส้นเลือดใหญ่ที่นำเลือดจากหัวใจไปเลี้ยงช่องท้องซึ่งจะทอดตัวไปตามแนวไขสันหลัง ฉะนั้นหากเส้นเลือดนี้เกิดโป่งพองขึ้นมาก็จะไปกดทับประสาทบริเวณนั้น ทำให้เกิดอาการปวดขึ้นมาได้ ยืนยันโดยแพทย์แอนดรว์ เฟรดแมน ผู้อำนวยการคลินิกกระดูกสันหลัง เวอร์จิเนีย เมสัน แห่งซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา
            อาการปวดหลังที่มีสาเหตุดังกล่าวจะมีอาการเพิ่มขึ้นภายในเวลา 3 วัน – 1 สัปดาห์ โดยจะปวดบริเวณกึ่งกลางระหว่างไหล่ทั้งสองข้าง หรือบริเวณจากสะดือไปยังหลัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่โป่งพองและผู้ที่ประวัติสูบบุหรี่จะเสี่ยงต่อความผิดปกตินี้มากกว่าคนที่ไม่เคยสูบ

4.ข้อต่อกระดูกสันหลังอักเสบ
            ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการตรวจด้วยเครื่อง  MRI จึงจะพบว่ากระดูกสันหลังบางส่วนเกิดอาการบวม ซึ่งเกิดจากการอักเสบโดยเป็นอาการหนึ่งของความเสื่อมตามวัยตามธรรมชาติ คุณหมอเฟรดแมนเรียกภาวะนี้ว่า โมดิก (Modic)

5.กวาดพื้นนานเกินไป

      ทุกคนรู้ดีว่าการถูบ้าน กวาดบ้านหรือใบไม้นอกบ้านล้วนก่อให้เกิดอาการปวดหลัง ต่อให้ไม่โก้งโค้งเลยก็ตาม เพราะเป็นธรรมชาติว่าหากร่างกายเคลื่อนไหวหรือทำกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่งติดต่อกันนานกว่าครึ่งชั่วโมง กล้ามเนื้อบริเวณนั้นจะล้าหรือบอบช้ำเหมือนการใช้กล้ามเนื้อมาราธอน ฉะนั้นจึงควรพักยืดตัวบ่อย หากต้องกวาดบ้านหรือใบไม้เป็นเวลานาน

6.นั่งนานเกินไป
       ปกติระหว่างข้อต่อกระดูกแต่ละข้อจะมีน้ำหล่อลื่นภายในกระดูก หากมีการเคลื่อนไหวไปมาในทิศทางต่างๆ ฉะนั้นการหยุดเคลื่อนไหวโดยนั่งนิ่งๆเป็นเวลานาน นอกจากจะเกิดการกดทับกันระหว่างกระดูกข้อต่อแล้ว ยังหยุดกระบวนการหลั่งน้ำหล่อลื่นอีกด้วย จึงทำให้เกิดอาการปวดหลัง

7.ก้นตึง
        หากนั่งเป็นเวลานาน ก้นจะถูกกดทับจนกล้ามเนื้อบริเวณนั้นตึงรั้งและกลายเป็นการใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไป วิธีแก้ไขสามารถทำได้โดยการฝึกเล่นสควอตและลันจ์

หากทำการเช็คสาเหตุและปรับพฤติกรรมก็จะช่วยให้คุณหายทรมานจากการปวดหลังได้ค่ะ

ที่มา นิตยสาร ชีวจิต หน้า 38 เล่มที่ 388 ปีที่ 17 : 1 ธ. ค. 2557

ปวดหลัง

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

นั่งหลังค่อม ไอเดียตีบ เสี่ยงเป็นออฟฟิศซินโดรม



นั่งหลังค่อม ไอเดียตีบ เสี่ยงเป็นออฟฟิศซินโดรม
หนุ่มสาวทำงานยุคนี้ นอกจากทุ่มเทแรงกายแรงใจในการทำงานแล้ว ยังสู้กันด้วยไอเดียสุดเจ๋งกว่า รายงานล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขอาจมีหลายคนที่ตายน้ำตื้นโดยไม่รู้ตัว
มีรายงานกระทรวงสาธารณสุขถึงผลสุขภาพของคนทำงานสำนักพิมพ์ ว่า  กว่าร้อยละ 60 ของคนที่ทำงานกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยเฉพาะคนที่ชอบนั่งหลังค่อม อาจเผชิญกับภาวะหัวทึบ  สมองตื้อ  คิดไม่ค่อยออก และอาจเกิดอาการปวดศีรษะ มึน เบื่อหน่าย และรู้สึกเซื่องซึมด้วย
น.พ. ณรง สหเมธาพัฒน์ อดีตปลัดกระทรวงสาธารณะสุข ชี้แจงถึงผลกระทบด้านสุขภาพที่เกิดจากการนั่งหลังค่อมว่า จะทำให้กล้ามเนื้อต้นคอและสะบักเตึงตัวตลอดเวลา และเมื่อยล้า อาจจะทำให้ทำให้หายใจไม่อิ่ม กระบังลมขยายตัวไม่เต็มที่ ทำให้สมองได้รับออกซิเจนไม่เต็มที่ อาจเกิดอาการสมองตื้อ ทั้งยังเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน สมองไม่แล่น ทำให้ศักยภาพในการทำงานด้อยลง  
นอกจากนี้การนั่งหลังค่อมทำให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรมตามมา เช่น มีการปวดหลังและไมเกรน
จากผลรายงานการสำรวจพนักงานในประเทศยุโรป พบว่า ส่วนใหญ่ต้องปรึกษาแพทย์ด้วยอาการต่างๆเช่นกันอันดับหนึ่งคือ ปวดหลัง รองลงมาคือ ปวดบริเวณคอ ไหล่ และศีรษะ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการทำงาน และพบว่าในกลุ่มคนทำงานอายุระหว่าง 16-24 ปีมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะออฟฟิศซินโดรมสูงถึงร้อยละ 55
นายแพทย์โสภณ เมฆธน อดีตอธิบดีกรมควบคุมโรค แนะนำคนทำงานออฟฟิศว่า สามารถลดความเสี่ยงภาวะดังกล่าวได้โดยปฏิบัติตัวดังนี้
1.ไม่ใช้เก้าอี้สปริงที่นอนได้ เพราะรองรับแผ่นหลังได้ไม่ดีเท่าที่ควร
2.นั่งเก้าอี้ให้เต็มก้น นั่งหลังชิดขอบด้านในเก้าอี้ ปรับพนักพิงให้รองรับแผ่นหลังส่วนล่าง ถ้าทำไม่ได้ให้ใช้หมอนหนุน
3.เปลี่ยนท่าทางการทำงานทุก 20 นาที ยืดเหยียดกล้ามเนื้อมือและแขนทุก 1 ชั่วโมง
4.ระดับสายตาอยู่กึ่งกลางจอคอมพิวเตอร์ ตั้งจอคอมพิวเตอร์และและคีย์บอร์ดในแนวตรงกับหน้า กระพริบตาบ่อย พักสายตาทุก 10 นาที
5.ใช้เมาส์โดยพักข้อศอกไว้ที่รองแขน แป้นคีย์บอร์ดอยู่ระดับข้อศอกและข้อมือ
6.หาต้นไม้ในร่มมาปลูก ช่วยดูดซับสารพิษและเป็นที่พักสายตา
7.ออกกำลังการสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที
8.กินอาหารที่มีประโยชน์และตรงเวลา กินอาหารที่ได้ตามสารอาหารที่หลากหลาย
9.เปิดหน้าต่างสำนักงาน เพื่อให้อากาศหมุนเวียนถ่ายเท อย่างน้อยตอนเช้าและตอนักกลางวัน
10.ปรับอารมณ์ พยายามไม่เครียด ผ่อนคลาย ระหว่างทำงานควรพักไปเดินเล่นสัก 10 นาที
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า การผิดอิริยาบถเล็กๆน้อยๆ สามารถก่อปัญหาเป็นหางว่าวได้ ลองสำรวจตัวเองถ้าพบว่ากำลังนั่งผิดท่าทาง ต้องรีบปรับพฤติกรรมโดยด่วน อย่านอนใจค่ะ

ที่มา นิตยสาร ชีวจิต หน้า 24 เล่มที่ 374 ปีที่ 16 : 1 พ.ค. 2557


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line
เพิ่มเพื่อน

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559

ภาวะของอาการไหล่ติดแข็งคืออะไร



ภาวะของอาการไหล่ติดแข็งคืออะไร
อาการของภาวะที่เกิดไหล่ติดแข็ง (Frozen Shoulder) เป็นภาวะของปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ที่ต้องมีการเคลื่อนไหวหลายทิศทาง อย่างเช่น การที่ไม่สามารถที่จะยกแขนให้เหนือศีรษะได้จนสุดแขน และไม่สามารถที่จะหวีผมด้านหลังของตัวเองได้ เป็นการจำกัดความเคลื่อนไหวของบริเวณข้อไหล่และจะมีอาการปวดอย่างมากในเวลาที่มีการเคลื่อนไหวด้วย หรือแม้ว่าจะอยู่นิ่งๆ ก็ตาม
สาเหตุของอาการไหล่ติดแข็ง
เกิดได้จากการที่มีการอักเสบของบริเวณเยื่อหุ้มส่วนข้อและมีความหนาตัวของเยื่อหุ้มข้อส่วนนั้นด้วย จะทำให้เกิดขึ้นภายหลังจากการที่บริเวณข้อไหล่ได้รับบาดเจ็บ หรือมีอาการที่เกิดมาจากภายในหลังจากการใช้งานบริเวณของข้อไหล่ามากเกินไป และการที่ได้นอนทับแขนเป็นเวลานาน
การดำเนินอาการของโรคไหล่ติดแข็ง
1.       ในช่วงของระยะแรกๆ จะมีอาการปวดบริเวณข้อไหล่ ในเวลาที่มีการเคลื่อนไหวจะมีอาการประมาณ 2 – 9 เดือน
2.       ระยะที่สองของอาการปวดบริเวณข้อไหล่จะเริ่มลดน้อยลง แต่การเคลื่อนไหวบริเวณของไหล่จะสามารถทำได้น้อยลงด้วย จะมีอาการประมาณ 4  - 12 เดือน
3.       ระยะสุดท้าย ร่างกายจะเริ่มมีอาการฟื้นตัว การขยับบริเวณของข้อไหล่ดีขึ้น จะมีอาการประมาณ 12 – 42 เดือน
ท่าทางของการนอนที่มีความเหมาะสม ควรที่จะหลีกเลี่ยงการนอนตะแคงด้วยการทับบริเวณส่วนของแขน แต่ถ้ามีการนอนหงายแล้วมีผ้ารองบริเวณของข้อไหล่จะทำให้อาการปวดข้อไหล่บรรเทาอาการมากขึ้นได้
ท่าบริหาสำหรับข้อไหล่ติดเบื้องต้น
ทางแรกคือการนอนราบกับพื้นให้มือข้างหนึ่งจับบริเวณข้อศอก เพื่อยกแขนขึ้นจนติดกับพื้นทำอย่างนี้ประมาณ 10 ครั้งต่อรอบ ประมาณ 3 รอบต่อวัน ท่าต่อมาคือการยืนให้มือจับข้อศอกให้แขนข้ามร่างกายจนสุด และท่าสุดท้ายคือการใช้มือทั้ง 2 ข้างจับกับผ้าเช็ดตัวดึงลงจนไหล่เริ่มรู้สึกตึงๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักเรื่อยในทุกวัน
การรักษาทางกายภาพบำบัดอาการไหล่ติดแข็ง

ด้วยการกระตุ้นด้วยไฟฟ้าเพื่อลดอาการปวดบริเวณที่เกิดอาการ การนวดด้วยไฟฟ้าเพื่อช่วยในการลดอาการปวดของข้อไหล่ และการดัดดึงบริเวณส่วนของข้อเพื่อเพิ่มความคล่องในการเคลื่อนไหว ทั้งนี้ การรักษาอาการด้วยกายภาพบำบัด จะมีส่วนช่วยให้ผู้ที่มีอาการปวดบริเวณข้อไหล่อย่างมากมีอาการบรรเทาลงได้ และอาการก็จะสามารถดีขึ้นถ้าผู้ที่มีอาการได้รับการรักษาตั้งแต่เนินๆ และมารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.intervej.com/viewnews.php?id=269


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2559

การฉีดซีเมนต์เพื่อเสริมโครงกระดูกสันหลัง เป็นอย่างไร




การฉีดซีเมนต์เพื่อเสริมโครงกระดูกสันหลัง เป็นอย่างไร
การฉีดซีเมนต์เพื่อเสริมโครงกระดูกสันหลัง (Verebroplasty / Kyphoplasty) ก็คือวิธีการรักษาผู้ที่มีอาการปวดหลัง ที่เกิดมาจากภาวะกระดูกสันหลังหักหรือทรุด ภาวะของกระดูกสันหลังที่มีความผิดรูป อันเนื่องมาจากโรคกระดูกพรุน รวมถึงผู้ที่มีอาการเนื้องอกบริเวณไขสันหลัง และไขสันหลังเกิดการบาดเจ็บ

Vertebroplasty / Kyphoplasty คืออะไร
Vertebroplasty เป็นการฉีดซีเมนต์บริเวณกระดูกสันหลัง เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูกสันหลัง และ Kyphoplasty จะมีหลักการคลายกัน แต่ก็มีข้อแตกต่าง ในส่วนของการรักษา วิธีการรักษาแบบ Kyphoplasty จะใช้บอลลูนถ่างขยายในบริเวณกระดูกสันหลังชิ้นที่มีอาการพรุน เพื่อให้บอลลูนคงรูปร่างของกระดูกสันหลังที่หัก หรือยุบตัวไว้ เป็นการลดภาวะของกระดูกสันหลังผิดรูป และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการหักซ้ำบริเวณเดิมได้

รักษาด้วยวิธี Vertebroplasty / Kyphoplasty มีขั้นตอนอย่างไร
ก่อนที่จะได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้ ผู้ที่ต้องการรักษาจะต้องเข้ารับการวินิจฉัย ทางรังสีเพื่อยืนยันตำแหน่งของกระดูกสันหลังที่มีปัญหาก่อน เมื่อเข้ารับการรักษา ผู้ที่มีอาการของกระดูกสันหลังพรุน จะได้รับการฉีดยาชา หรือให้ดมยาสลบ ซึ่งวิสัญญีแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาวิธีการที่เหมาะสมกับผู้ที่รับการรักษา จากนั้น ผู้ที่ได้รับการรักษาจะต้องนอนคว่ำบนเตียงผ่าตัด แล้วแพทย์จะทำการกรีดผิวหนังบริเวณ สันหลังเป็นรอยเล็ก ๆ เพื่อที่สามารถใส่เข็มที่จะฉีดซีเมนต์บริเวณกระดูกสันหลังได้ การควบคุมตำแหน่งเพื่อฉีดซีเมนต์ โดยเครื่องถ่ายภาพรังสีเอกซเรย์ เมื่อแพทย์ฉีดให้เสร็จแล้ว แพทย์จึงค่อย ๆ ดึงเข็มออก และปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ การรักษาทั้งหมดนี้ จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงต่อกระดูกสันหลัง 1 ชิ้น สำหรับการทำ Ballon Kyphoplasty ก็ทำเช่นเดียวกัน เพียงแต่ก่อนการฉีดซีเมนต์จะต้องใช้บอลลูนถ่างขยาย เพื่อสร้างช่องว่างแล้วจึงทำการฉีดซีเมนต์ในช่องว่างนั้น

ข้อดีของการรักษาด้วยวิธีนี้ คือ
สามารถลดเวลาในการพักฟื้นร่างกาย โดยทั่วไปจะให้ผู้ป่วยนอนพักฟื้นในโรงพยาบาลเพียง 1 คืนเท่านั้น และสามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่รับการรักษาโรคกระดูกพรุน

ความเสี่ยงและภาวะหลังจากการรักษาที่อาจเกิดขึ้น

การรักษาด้วยวิธีนี้ อาจจะมีความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับการผ่าตัด ทั้งนี้ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิด สามารถเกิดได้จากภาวะทางร่างกายของผู้ที่รับการรักษาเอง หรือ เกิดจากการทำหัตถการทางกระดูกสันหลัง อย่างเช่น เกิดภาวะของกระดูกหักใหม่ การติดเชื้อที่กระดูกสันหลัง (พบได้น้อย) ซีเมนต์รั่วทะลุไปทางด้านหลังของกระดูกสันหลัง แล้วไปกดทับเส้นประสาท ทำใหเกิดอาการขาอ่อนแรง (จะพบได้น้อยมาก)

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.bumrungrad.com/th/spine-institute-surgery-bangkok-thailand-best-jci/vertebroplasy-kyphoplasty

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2559

อาการของโรคกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรังหรือโรคพีเอ็มอาร์เป็นอย่างไร



อาการของโรคกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรังหรือโรคพีเอ็มอาร์เป็นอย่างไร
โรคกล้ามเนื้อ เอ็น เนื้อเยื่ออ่อนอักเสบหรือโรคพิเอ็มอาร์นั้นจะเป็นการป่วยที่ติดมาจากพันธุกรรมก็ได้ เพราะในตัวผู้ป่วยจะมียีนด้อยที่ผิดปกติคือ ยีน HLA – DRB1 ตัวนี้นี่เองที่ทำให้กล้ามเนื้อของเราอ่อนแรงลง ผู้ป่วยส่วนมากจะเป็นผู้หญิงแต่ผู้ชายก็มีพบบ้างเล็กน้อย ในประเทศไทยเราไม่ค่อยมีผู้ป่วยโรคนี้เท่าไรนักส่วนมากจะพบในเขตประเทศแถบ ๆ สแกนดิเนเวีย คนอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปจะเป็นกันเยอะมาก
แต่ก็ใช่ว่าจะมีคนป่วยเป็นกล้ามเนื้ออักเสบอ่อนแรงกันทุกฤดูแต่ว่าในช่วงฤดูร้อนมาก ๆ จะป่วยกันเยอะโรคพีเอ็มอาร์นี้ก็มาจากแบคทีเรียเหมือนกันที่จะเริ่มเข้ามาก่อตัวในระบบทางเดินหายใจ แบคทีเรียตัวนี้จะชื่อว่า Mycoplasma Pneumonia กับ Chlamy Pneumonia อันตรายเหมือนกันแต่บางทีก็เลี่ยงไม่ได้ รวมไปถึงไวรัสที่ทำให้เป็นไข้อย่าง Parvo Virus B19 ด้วย อาการป่วยของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันเพราะร่างกายและฮอร์โมนแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกันนั่นเอง

ลักษณะอาการของโรคพีเอมอาร์
โรคนี้เป็นโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ เส้นเอ็น อ่อนแรงและอักเสบจึงมีอาการปวดตามกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และเสริมด้วยการปวดตามข้อกระดูกเพราะตรงส่วนนั้นเป็นส่วนที่ต้องใช้งานเส้นเอ็นเป็นหลักด้วย ซึ่งบริเวณที่ผู้ป่วยโรคพีเอมอาร์จะปวดกันมากที่สุดจะเป็นบริเวณ คอ  หัวไหล่ สะโพก ข้อศอก และข้อเข่า เป็นต้น เมื่อรู้สึกปวดก็เริ่มที่จะขยับเคลื่อนไหวร่างกายยากมากขึ้น รู้สึกปวดและตึงเส้นหลังจากการตื่นนอนประมาณครึ่งชั่วโมง ถ้านานขนาดนั้นก็แสดงว่าเป็นแล้ว แม้กระทั่งการพักจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ แล้วรู้สึกปวดก็เป็นได้เช่นกัน จากนั้นก็จะเพลีย ไม่อยากอาหาร น้ำหนักเริ่มลดลง ปวดเมื่อยตลอดเวลา ซึ่งอาการเหล่านี้จะแสดงออกและรู้สึกได้อย่างชัดเจนเลย

ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เมื่ออาการเป็นอย่างไร
เมื่อเริ่มมีอาการปวดตามร่างกายก็ให้ไปพบแพทย์เพื่อจะได้ทำการวินิจฉัยได้ทันทีเลย จะได้รักษาทันเวลาอย่าปล่อยเอาไว้นาน อาการมันอาจจะแย่ลงกว่าเดิมและรักษายากมากแล้ว ส่วนใหญ่อาการจะมาพร้อมกันกับการปวดกล้ามเนื้อและเป็นไข้ อ่อนเพลีย หรือมีโรคอื่นแทรกซ้อนตามมาอีกก็ได้ โดยเฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ที่จะทำให้ร่างกายทรุดลงอย่างรวดเร็ว
อย่ารอให้อาการทรุดหนักค่อยไปรักษาเพราะมันอาจจะไม่ทันเวลาแล้วก็ได้ กล้ามเนื้อของเรากระดูกของเรา เส้นเอ็นของเรา มันป่วยลงเรื่อย ๆ โดยไม่รอเวลาอะไรทั้งนั้น ฉะนั้นแล้วหากรู้สึกว่าเหนื่อยมากและปวดเมื่อยจะต้องรีบไปหาหมอในทันทีเลย จากนั้นก็ควรปฏิบัติตัวตามที่แพทย์สั่งทุกอย่างโดยเฉพาะการเคลื่อนไหวร่างกาย การกินยารักษาอย่างถูกต้องแล้วโรคพิเอมอาร์ก็จะมีอาการดีขึ้นและหายได้เร็ว

ขอบคุณข้อมูลจาก  http://haamor.com/th/โรคพีเอมอาร์/

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน