✡ อาการปวดหลังทำไมถึงร้าวลงขา ✡
ความเจ็บปวดจากอาการปวดหลังแล้วร้าวลงขา
คงไม่มีใครต้องการ เพราะนอกจากจะสร้างความเจ็บปวดทรมานแล้ว
ในบ้างครั้งถึงขั้นยืนก็เสียการทรงตัว นอนก็ไม่ได้นั่งก็ไม่ได้อีกด้วย นับเป็นอาการที่สร้างความเจ็บปวดสำหรับผู้ป่วยเป็นอย่างมากอาการต่าง
ๆ เหล่านี้เป็นการบ่งบอกได้ว่าเป็น หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท
ซึ่งอาการในระยะแรก ๆ นั้นจะเป็น ๆ หาย ๆ เมื่อมีอาการปวดจะต้องหยุดกิจกรรมต่าง ๆ
แล้วนอนพักสัก 1-2 วันอาการก็จะดีขึ้น แต่อาการนี้ยังไม่ได้หายขาดไปเลยเสียทีเดียว
หากเกิดอาการปวดหลังอีกก็จะปวดร้าวลงมาที่บริเวณขาตั้งแต่บริเวณสะโพกลงมาอีกสำหรับผู้ป่วยบางรายที่มีอาการปวดรุนแรงหรือปวดมาก เมื่อแพทย์ทำการตรวจวินิจฉัยแล้วว่าเป็น หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทก็มักจะแนะนำให้ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงนี้ทำการผ่าตัดที่กระดูกสันหลังบริเวณกระเบนเหน็บ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเกิดความเครียดและเป็นกังวลว่าแพทย์ทำการวินิจฉัยถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากอาการปวดที่บริเวณขาแต่ทำไมจึงต้องผ่าตัดบริเวณกระดูกสันหลัง ดังนั้นก่อนอื่นเลยเรามาทำความรู้จักกับลักษณะทางกายภาพของหมอนรองกระดูกสันหลังกันก่อนว่าเป็นอย่างไร
ตรงบริเวณกระเบนเหน็บเหนือกระดูกก้นกบ จะมีส่วนประกอบของกระดูกสันหลังอยู่หลายปล้อง โดยแต่ละปล้องนั้นจะมีการเชื่อมติดต่อกันด้วยหมอนรองกระดูกสันหลังซึ่งจะประกอบไปด้วย ส่วนของเปลือกนอก (Annulus Fibrosus) และส่วนเนื้อใน (Nucleus Pulposus) โดยจะทำหน้าที่ในการรองรับน้ำหนักตัว หรือน้ำหนักที่เรายก หิ้ว แบก อุ้ม รวมไปถึงการทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเช่น เดิน วิ่ง กระโดด ซึ่งจะส่งผลให้เกิดแรงกระแทกลงมาที่กระดูกสันหลังส่วนเอว ในบางครั้งการกระแทกหรือบิดตัวเกิดความรุนแรง ส่งผลให้เกิดการฉีกขาดของเปลือกหมอนรองกระดูกที่จะส่งผลให้เกิดอาการปวดหลัง หากมีการฉีกขาดบ่อย ๆ หรือมากขึ้นส่วนที่เป็นเนื้อในก็อาจจะทะลักออกมากดทับเส้นประสาทกระดูกสันหลัง ที่อยู่ด้านหลังหมอนรองกระดูก โดยเส้นประสาทนี้จะทอดยาวจากโพรงกระดูกสันหลังไปยังสะโพก ขาและบริเวณปลายเท้า
โดยเส้นประสาทนี้จะทำหน้าที่ในการเลี้ยงกล้ามเนื้อที่ให้กำลังและรับความรู้สึก ดังนั้นเมื่อหมอนรองกระดูกเกิดการแตก หรือหักมีเนื้อในออกมาทับเส้นประสาทจึงทำให้เกิดอาการปวดขา เกิดความรู้สึกอ่อนแรง ร่วมกับมีอาการชาที่บริเวณน่อง และหลังเท้า ღ (สำหรับภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทบริเวณเอว โดยมากแล้วมักจะเกิดกับคนวัยทำงาน ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเคยมีประวัติเคยยกของหนักมาก่อน) ღ
✡ การดูแลรักษา
โดยปกติส่วนใหญ่แล้วแพทย์มักจะรักษาด้วยการให้ยา
และทำกายภาพบำบัด ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นภายในระยะเวลา 4 – 6 สัปดาห์
และสามารถกลับไปดำรงชีวิตได้ตามปกติ
แต่จะต้องระมัดระวังรักษาตัวเกี่ยวกับท่าทางและการทำงาน การยกของหนัก
ประกอบกับการออกกำลังกายให้ถูกต้อง และเหมาะสม
