ยาที่ใช้ในการรักษาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และจามในกลุ่มที่ 2 คือ
ยาลดการคั่งของน้ำมูก (decongestants)
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ลดการคัดจมูก ทำให้จมูกโล่ง และในตัวยาบางชนิดอาจมีฤทธิ์ขยายหลอดลมอีกด้วย จึงทำให้หายใจสะดวกเพิ่มยิ่งขึ้น ซึ่งยากลุ่มนี้ที่มีใช้กันมี 2 ชนิด คือ
1. ชนิดกิน และชนิดทาภายนอกโดยการเช็ดจมูก
ยาลดการคั่งของน้ำมูกชนิดกิน ตัวอย่างเช่น phenylephrine pseudoephedrine เป็นต้น ยาตัวนี้ให้ผลการรักษาดี ทำให้จมูกโล่ง หายใจสะดวก แต่ในเด็กที่ไวต่อยากลุ่มนี้ อาจมีอาการข้างเคียงได้ คือ ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น โยเย ร้องกวน
2. ยาลดการคั่งของน้ำมูกที่เป็นยาชนิดทาภายนอก ตัวอย่างเช่น ephedrine เป็นต้น ยาตัวนี้ให้ผลการรักษาดี ทำให้จมูกโล่ง หายใจสะดวก หากใช้อย่างถูกวิธี ไม่ควรใช้ยานี้ใช้ติดต่อกันเกิน 3-5 วัน เพราะหากใช้ติดต่อกันนาน อาจทำให้เกิดอาการกลับมาคัดจมูกได้ หรือที่เรียกว่า rebound congestion เป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยานานเกินไป
ทั้งนี้ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ขวบ ไม่ควรที่จะใช้ยาในการลดน้ำมูก แก้คัดจมูก ที่เกิดจากกลุ่มโรคไข้หวัด เพราะอาจมีผลข้างเคียงของยาดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แนะนำให้แก้ไขปัญหาอาการหวัดได้ด้วยการดูแลรักษาเบื้องต้นจะเป็นการดีกว่า
การดูแลเบื้องต้นเมื่อเด็กมีอาการเป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล
1.หากมีน้ำมูกมาก ให้ใช้ไม้พันสำลีหรือผ้านุ่มที่ม้วนปลาย สอดเข้าไปในรูจมูก เพื่อที่จะซับน้ำมูกออกมา หรือจะใช้ลูกยางแดง (ที่สำหรับดูดน้ำมูกสำหรับเด็ก) ดูดน้ำมูก ออกทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดการอุดตันของรูจมูก เด็กได้ ทำให้หายใจได้ดีขึ้น ถ้าหากเป็นเด็กโต ผู้ใหญ่ควรแนะนำหรือ สอนวิธี การสั่งน้ำมูก ได้ด้วยตนเอง เพื่อที่จะช่วยให้ทางเดินหายใจในจมูกโล่งดียิ่งขึ้น
2.ถ้าหากมีการอุดตันของรูจมูก หรือว่าน้ำมูกแห้งกรัง แนะนำให้ใช้ไม้พันสำลีหรือผ้านุ่มที่ม้วนปลายชุบน้ำเกลือ ร้อยละ 9 หรือ Normal saline solution เช็ดหรือว่าหยดในรูจมูกให้ชุ่ม แล้วทิ้งไว้สักครู่ เพื่อที่จะช่วยให้น้ำมูกที่แห้งกรัง ค่อยๆ อ่อนนุ่มลง จากนั้นจึงใช้ไม้พันสำลี เช็ดออกไป นอกจากนี้ ควรที่จะแนะนำให้เด็กดื่มน้ำให้มากๆ กินอาหาร ตามปกติ รวมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง และสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานมาต่อสู้กับโรคเหล่านี้
3.ส่วนในเด็กที่มีเคยมีประวัติของโรคโรคหืด หูชั้นกลางอักเสบ และไซนัสอักเสบ ผู้ปกครองควรระวังมากขึ้นเมื่อเป็นหวัด เพราะอาจกลับมาเป็นโรคเหล่านี้ได้อีกหรืออาจทำให้โรคลุกลามรุนแรงมากขึ้น
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวข้องกับเรื่องยาลดน้ำมูก หรือการดูแลโรคหวัดในเด็ก ก็ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรชุมชนหรือใกล้บ้านที่พร้อมให้คำปรึกษาในเรื่องสุขภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก www.doctor.or.th/article/detail/3044
