disable right click

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ยกของอย่างไร ไม่ให้ปวดหลัง



ยกของอย่างไร  ไม่ให้ปวดหลัง

          อาการปวดหลังเป็นปัญหาที่พบบ่อยในคนทำงาน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องใช้แรงเคลื่อนย้าย แบกหาม วัตถุ ซึ่งปัญหาปวดหลังจะมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตค่อนข้างมาก ถ้าหากมีอาการมาก ผู้ป่วยจะสิ้นเปลือง ทั้งค่าใช้จ่ายในการรักษา และเวลา  ดังนั้นการป้องกันอาการปวดหลังที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำงาน น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด  ทั้งนี้การป้องกันการปวดหลังสามารถทำได้โดยลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เช่น ปัจจัยที่มาจากคนทำงานเอง อันประกอบด้วย อายุ ความทนทาน ความแข็งแรง ความยืดหยุ่น ทั้งประสบการณ์ในการทำงาน และความเครียด  ต่อมา คือ ปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยที่มาจากสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งปัจจัยข้างต้นสามารถแบ่งได้ 2 แบบ คือ
1.ปัจจัยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น อายุ
2.ปัจจัยที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ อย่างเช่น ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม  หรือปัจจัยจากสภาพแวดล้อมในการทำงานเปลี่ยนแปลงได้โดยจัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสมในการยกของหรือวัตถุต่างๆ เป็นต้น

ปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดหลังเนื่องมาจากการยกวัตถุ

        1.น้ำหนักของวัตถุ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด เพราะไม่ว่าจะยกวัตถุในท่าทางใดก็ตาม  อย่างเช่น หลังตรง งอเข่า งอสะโพก หรือยกแบบก้มหลัง ถ้าหากว่าวัตถุที่จะยกนั้น หนักเกินไป  ย่อมทำให้ปวดหลังได้ทั้งสิ้น

        2.ระยะห่างของวัตถุกับลำตัวของผู้ยก ก็จัดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอย่างหนึ่ง เพราะว่าหากวัตถุยิ่งอยู่ห่างจากลำตัวมากเท่าใด กล้ามเนื้อหลังก็จะต้องทำงานหนักมากขึ้นด้วย  เพื่อเป็นการดึงลำตัวไม่ให้เสียสมดุลของร่างกาย  การที่กล้ามเนื้อหลังทำงานหนัก มีผลต่อแรงกดที่กระดูกและข้อต่อสันหลัง จนทำให้เกิดอาการปวดหลังได้

        3.การยกวัตถุที่อยู่ต่ำกว่าระดับของเข่าผู้ยก หรือว่าวางอยู่กับพื้นจะเป็นอันตรายต่อหลังได้ด้วย เนื่องจากผู้ยกจะต้องใช้แรงของกล้ามเนื้อมากในการยกวัตถุนั้นขึ้น ที่เป็นระยะทางที่ยาว และต้องก้มหลังเพื่อที่จะยกของได้สะดวก หากมือจับหรือตำแหน่งที่ยึดวัตถุนั้นๆฃไม่มั่นคง ก็จะทำให้การยกวัตถุเป็นไปด้วยความยากลำบากและควบคุมไม่ได้ รวมทั้งยกของได้น้ำหนักน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

        4.ผู้ยกใช้วิธีการยกวัตถุที่ไม่เหมาะสม เช่น การยกแบบกระตุกหรือกระชากอย่างแรง เพื่อให้ได้น้ำหนักมากๆ หรือยกของแบบมีการก้ม เอียง และบิดตัวพร้อมกัน ก็มักจะทำให้ผู้ยกมีอาการบาดเจ็บของหลังได้เสมอๆ

         5.ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น  อุณหภูมิที่สูงเกินไป มีความเครียดในการทำงาน  การขาดการพักผ่อน ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ทั้งสิ้น
จะลดปัจจัยเสี่ยงปวดหลังจากการยกวัตถุได้อย่างไร

         1.ปรับปรุงสภาพการทำงาน
          -     เริ่มจากการสำรวจน้ำหนักของวัตถุเสียก่อน  ถ้าหากว่าวัตถุที่จะยกมีน้ำหนักมากจนเกินไป ให้แบ่งน้ำหนักเป็นหลายส่วน ถ้าหากแบ่งไม่ได้ให้ใช้คนยกมากกว่า 1 คน หรือใช้เครื่องมือ ไม่ควรมีน้ำหนักวัตถุเกิน 25กิโลกรัม แต่ถ้าต้องยกมากกว่า 4  ครั้งในเวลา 1 นาที ควรจัดโต๊ะหรือจุดที่จะยกวัตถุใกล้ตัวมากที่สุด เพื่อว่าขณะยกวัตถุ  ระยะห่างจากวัตถุและลำตัวจะได้สั้นที่สุด
          - จัดหาบล็อกหรือชั้นที่มีความสูงเหนือเข่าสำหรับวางวัตถุที่มีน้ำหนักมาก เพื่อลดระยะทางของการยก ให้ใช้กล่องที่มีมือจับมั่นคง ปรับปรุงสภาพการทำงานส่วนอื่นๆ เช่น ปรับอุณหภูมิของห้องให้เหมาะสมไม่ร้อนจนเกินไป จัดตารางเวลาการทำงานให้ดำเนินแบบไม่เร่งรีบจนเกินไป และมีการหมุนเวียนตำแหน่งเพื่อไม่ให้ทำงานซ้ำซาก ป้องกันอาการล้าจากการยก

          2.ยกให้ถูกวิธี
           -   ทดสอบน้ำหนักวัตถุ หากรู้สึกว่าหนักเกินกำลัง ให้หาผู้ช่วย
           -   ห้ามยกของแบบกระตุกหรือกระชาก
           -   ในการยกแต่ละครั้งต้องควบคุมได้ อย่าบิดตัวหรือเอียงตัวขณะยก ถ้าหากต้องการเปลี่ยนทิศทางการยก ให้หมุนไปทั้งตัว ด้วยการทำซ้ายหัน-ขวาหันแบบทหาร
           -   ขณะยกให้วัตถุอยู่ใกล้ตัวให้มากที่สุด เพื่อที่จะลดแรงที่กระทำต่อกระดูกสันหลัง
           -   ถ้าหากมีความรู้สึกเมื่อล้าให้พักสักครู่หนึ่ง
           -  ไม่จำเป็นที่จะต้องยกแบบหลังตรง งอเข่า งอสะโพกเสมอไป
           -  ออกกำลังด้วยการเดิน การวิ่ง หรือการว่ายน้ำ อย่างน้อย 15 นาที 3  ครั้งต่อสัปดาห์ ก็จะช่วยให้กล้ามเนื้อของหลังมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และทนทานมากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก www.doctor.or.th/article/detail/1813

ปวดหลัง

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ยาที่ใช้ในการรักษาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และจามในกลุ่มที่ 2




ยาที่ใช้ในการรักษาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และจามในกลุ่มที่ 2 คือ 

ยาลดการคั่งของน้ำมูก (decongestants)
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ลดการคัดจมูก ทำให้จมูกโล่ง และในตัวยาบางชนิดอาจมีฤทธิ์ขยายหลอดลมอีกด้วย จึงทำให้หายใจสะดวกเพิ่มยิ่งขึ้น ซึ่งยากลุ่มนี้ที่มีใช้กันมี 2 ชนิด คือ 
1. ชนิดกิน และชนิดทาภายนอกโดยการเช็ดจมูก 
ยาลดการคั่งของน้ำมูกชนิดกิน ตัวอย่างเช่น phenylephrine  pseudoephedrine เป็นต้น ยาตัวนี้ให้ผลการรักษาดี ทำให้จมูกโล่ง หายใจสะดวก แต่ในเด็กที่ไวต่อยากลุ่มนี้ อาจมีอาการข้างเคียงได้ คือ ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น โยเย  ร้องกวน

2. ยาลดการคั่งของน้ำมูกที่เป็นยาชนิดทาภายนอก ตัวอย่างเช่น ephedrine  เป็นต้น ยาตัวนี้ให้ผลการรักษาดี ทำให้จมูกโล่ง หายใจสะดวก หากใช้อย่างถูกวิธี  ไม่ควรใช้ยานี้ใช้ติดต่อกันเกิน 3-5 วัน เพราะหากใช้ติดต่อกันนาน อาจทำให้เกิดอาการกลับมาคัดจมูกได้  หรือที่เรียกว่า rebound congestion เป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยานานเกินไป

ทั้งนี้ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ขวบ ไม่ควรที่จะใช้ยาในการลดน้ำมูก แก้คัดจมูก ที่เกิดจากกลุ่มโรคไข้หวัด เพราะอาจมีผลข้างเคียงของยาดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น  แนะนำให้แก้ไขปัญหาอาการหวัดได้ด้วยการดูแลรักษาเบื้องต้นจะเป็นการดีกว่า

การดูแลเบื้องต้นเมื่อเด็กมีอาการเป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล
1.หากมีน้ำมูกมาก ให้ใช้ไม้พันสำลีหรือผ้านุ่มที่ม้วนปลาย  สอดเข้าไปในรูจมูก เพื่อที่จะซับน้ำมูกออกมา หรือจะใช้ลูกยางแดง (ที่สำหรับดูดน้ำมูกสำหรับเด็ก)  ดูดน้ำมูก ออกทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดการอุดตันของรูจมูก เด็กได้ ทำให้หายใจได้ดีขึ้น ถ้าหากเป็นเด็กโต ผู้ใหญ่ควรแนะนำหรือ สอนวิธี การสั่งน้ำมูก ได้ด้วยตนเอง เพื่อที่จะช่วยให้ทางเดินหายใจในจมูกโล่งดียิ่งขึ้น

2.ถ้าหากมีการอุดตันของรูจมูก หรือว่าน้ำมูกแห้งกรัง แนะนำให้ใช้ไม้พันสำลีหรือผ้านุ่มที่ม้วนปลายชุบน้ำเกลือ ร้อยละ 9 หรือ Normal saline solution เช็ดหรือว่าหยดในรูจมูกให้ชุ่ม แล้วทิ้งไว้สักครู่  เพื่อที่จะช่วยให้น้ำมูกที่แห้งกรัง ค่อยๆ อ่อนนุ่มลง จากนั้นจึงใช้ไม้พันสำลี เช็ดออกไป นอกจากนี้ ควรที่จะแนะนำให้เด็กดื่มน้ำให้มากๆ กินอาหาร ตามปกติ รวมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง และสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานมาต่อสู้กับโรคเหล่านี้  
3.ส่วนในเด็กที่มีเคยมีประวัติของโรคโรคหืด หูชั้นกลางอักเสบ และไซนัสอักเสบ ผู้ปกครองควรระวังมากขึ้นเมื่อเป็นหวัด  เพราะอาจกลับมาเป็นโรคเหล่านี้ได้อีกหรืออาจทำให้โรคลุกลามรุนแรงมากขึ้น

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวข้องกับเรื่องยาลดน้ำมูก หรือการดูแลโรคหวัดในเด็ก ก็ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรชุมชนหรือใกล้บ้านที่พร้อมให้คำปรึกษาในเรื่องสุขภาพ

ขอบคุณข้อมูลจาก  www.doctor.or.th/article/detail/3044



สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แนวทางการใช้ยาลดน้ำมูกในเด็ก




         อาการจาม น้ำมูกไหล และ คัดจมูก หรือที่เรียกว่า หวัด สามารถพบได้บ่อยในเด็กอันเกิดมาจาก 2 สาเหตุใหญ่ นั่นคือ กลุ่มโรคไข้หวัด และกลุ่มโรคภูมิแพ้ในโพรงจมูก

1. กลุ่มโรคไข้หวัด ส่วนใหญ่มีสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัส  เด็กมักมีอาการตัวร้อน เป็นไข้ ปวดหัว ร่วมกับมีอาการหวัด ก็คือ น้ำมูกไหล จาม และ คัดจมูก  แพทย์จะทำการรักษาตามอาการพร้อมไปกับการรักษาร่างกายให้แข็งแรง ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะรักษา เพราะไม่ได้ผลต่อเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัด

2. กลุ่มโรคภูมิแพ้ในโพรงจมูก  เกิดจากความผิดปกติ ของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่มีการตอบสนองสารก่อภูมิแพ้มากกว่าปกติ จึงทำให้มีอาการน้ำมูกไหล คัดจมูก คันจมูกรวมทั้งจาม ไม่มีอาการไข้ ตัวร้อน ปวดหัว ซึ่งเป็นอาการของการติดเชื้อ ในเด็กโต ถ้าหากมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และจาม เพียงเล็ก น้อย  อาจทำให้เกิดความรำคาญเท่านั้น แต่สำหรับในเด็กเล็ก หากมีอาการน้ำมูกไหล คัดจมูก และจาม จะสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กหายใจไม่สะดวก ร้องไห้ โยเย กวน นอนไม่หลับ และทำให้ดื่มนมได้ลดน้อยลง

           การรักษาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และจาม แพทย์จะมีแนวทางรักษา 2 แบบ คือ แบบที่ไม่ต้องใช้ยา และแบบที่ต้องใช้ยา ในที่นี้ขอกล่าวเฉพาะแบบที่ต้องใช้ยา ซึ่งยาที่ใช้ในการรักษาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และจาม มี 2 กลุ่มใหญ่ คือ 

1. ยาแก้แพ้ หรือ ยาต้านฮิสตามีน (antihistamines)

กลุ่มกลุ่มนี้เป็นยาที่มีการใช้กันมานานแล้ว  ทำให้น้ำมูกแห้งแก้คันจมูก คันตา  ลมพิษ รวมทั้งอาการแพ้ทางผิวหนัง ตัวยารุ่นเก่า อย่างเช่น คลอร์เฟนิรามีน (chlorpheniramine) เป็นยาที่รักษาอาการเหล่านี้ได้ผลดี แต่ทำให้ง่วงนอน ไม่เหมาะสำหรับการใช้ในเวลาทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานกับเครื่องจักรหรือขับขี่รถ เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ แต่เหมาะกับผู้ป่วยตอนก่อนนอน ที่ต้องการให้ง่วงนอน ยามีระยะเวลาการออกฤทธิ์ที่สั้นทำให้ต้องใช้วันละ 3-4 ครั้ง แต่ผลข้างเคียง คือ ทำให้ปากแห้ง คอแห้ง เสมหะเหนียวข้นมากขึ้นด้วย
ต่อมามีการพัฒนายาต้านฮิสตามีนรุ่นใหม่ที่ไม่ทำให้ง่วงนอน รวม ทั้งยังออกฤทธิ์ได้นานกว่า ทำให้ใช้ยาเพียงวันละ 1-2 ครั้งเท่านั้น ทำให้ผู้ป่วยมีความสะดวกสบาย ในการใช้ยา และไม่ส่งผลกระทบกับการทำงาน ซึ่งมีการใช้ยากลุ่มนี้กันอย่างแพร่หลายในกลุ่มโรคไข้หวัด และกลุ่มโรคภูมิแพ้ในโพรงจมูก เพื่อบรรเทาอาการน้ำมูกไหลในเด็ก แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าได้ผลดีในโรคไข้หวัดในเด็ก  แต่ก็ยังสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงได้อีก คือ  ง่วง ซึม และชักได้ เพราะฉะนั้นในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ขวบ จึงไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่มนี้ และแนะนำให้ทำการดูแลด้วยการกำจัดน้ำมูกออกพร้อมกับใช้วิธีอื่นทำให้โล่งจมูก แทนจะปลอดภัยกว่า  

ขอบคุณข้อมูลจาก www.doctor.or.th/article/detail/3044


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน