disable right click

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ดูแลแก้ไขปัญหาข้อเท้าพลิก



ดูแลแก้ไขปัญหาข้อเท้าพลิก

ปกติแล้วอาการข้อเท้าพลิก ข้อเท้าแพลงส่วนใหญ่มักจะ พบในผู้ที่เป็นนักกีฬาที่ต้องมีการปะทะ เช่น นักฟุตบอล และ นักบาสเก็ตบอลจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคข้อเท้าพลิกและแพลงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ
ทั้งนี้ปัจจัยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดข้อเท้าพลิกหรือแพลงมี 2 ปัจจัยด้วยกัน คือ

1.ปัจจัยที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ คือ การมีอุ้งเท้าที่สูงเกินไปหรืออุ้งเท้าที่เอียงออกไปทางด้านนอก ซึ่งเป็นลักษณะรูปเท้าที่ผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิด คนกลุ่มนี้ เมื่อเวลาเดิน ข้อเท้าจะพลิกได้ง่ายกว่าคนปกติ
ในผู้สูงอายุมีปัจจัยเสี่ยงได้ แต่อยู่ในอันดับรองลงไป ผลเนื่องจากสภาพความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อเท้าที่เสื่อมลดลงไป ความรู้สึกเส้นประสาทสัมผัสรอบข้อเท้าที่ช่วยพยุงหรือช่วยทำให้ไม่เกิดข้อเท้าพลิกเสื่อมลงไปตามวัย

2.ปัจจัยที่เราสามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น การใส่รองเท้าส้นสูง โดยเฉพาะส้นหัวเข็ม เพราะรองเท้าพวกนี้ทำให้เวลาการเดินทำให้ความมั่นคงของเท้าลดลงไปโดยอัตโนมัติ เสี่ยงที่จะทำให้เกิดข้อเท้าพลิกได้ง่ายมากกว่าปกติ

อาการของข้อเท้าพลิกและข้อเท้าแพลงมีความรุนแรงแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ คือ

1.ความรุนแรงน้อย เช่น ข้อเท้าพลิกธรรมดา เอ็นยืด ปวดบวมนิดหน่อย พวกนี้ก็สามารถที่จะทำกิจกรรมและเล่นกีฬาต่อไปได้ ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอ

2.ความรุนแรงปานกลาง กลุ่มนี้จะมีอาการบาดเจ็บปานกลาง เริ่มมีการฉีกขาดของเส้นเอ็นบางส่วนมีอาการปวด บวมปานกลาง

3.ความรุนแรงมาก กลุ่มนี้เส้นเอ็นมีอาการฉีกขาดอย่างสมบูรณ์ มีการตรวจพบว่า ข้อเท้ามีอาการหลวม อาการปวดจะมาก อาการบวมก็จะบวมมาก กลุ่มนี้ไม่สามารถกลับไปเล่นกีฬาได้ และลงน้ำหนักไม่ได้ด้วย

แนวทางการรักษาข้อเท้าพลิกและข้อเท้าแพลงโดยทั่วไปแบ่งการรักษาออกเป็น 3 ระยะใหญ่ คือ 

1. ระยะแรก เรียกว่า ระยะที่จำกัดการเคลื่อนไหวของข้อเท้า คือ เมื่อรู้ว่าข้อเท้าพลิกต้องหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่าง เพื่อจำกัดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น กับเส้นเอ็น เส้นเลือกที่ฉีกขาด และกล้ามเนื้อที่อักเสบไม่ให้เสียหายมากขึ้น โดยที่ 48 ชั่วโมงแรกให้ประคบเย็นบ่อยๆ เพราะว่า 24-48 ชั่วโมงแรก จะมีเลือดออก มีการอักเสบ การฉีกขาดของเนื้อเยื่อต้องใช้ความเย็นเพื่อยับยั้งและลดการฉีกขาดและการอักเสบ หลังจาก 48 ชั่วโมงนั้นค่อยประคบร้อน เพื่อเร่งกระบวนการยุบและเคลียร์เศษเนื้อเยื่อออกไป ในบางกรณีที่ข้อเท้ามีอาการบวมมากขึ้น มีการฉีกขาดของเส้นเอ็นบางส่วน อาจจะต้องใช้ที่รัดข้อเท้าที่เพิ่มประสิทธิภาพในการจำกัดการเคลื่อนไหวของข้อเท้า

2. ระยะที่สอง การรับประทานยา ซึ่งต้องได้รับยาจากคำสั่งแพทย์ ห้ามซื้อยารับประทานเอง

3.ระยะที่สาม ระยะที่มีอาการบวมมากปวดมาก ซึ่งอาจมีกระดูกร้าวหรือกระดูกแตกร่วมด้วย จำเป็นต้องเข้าเฝือก โดยที่ช่วงเวลาในการพักฟื้นตามอาการความรุนแรงและองค์ประกอบร่างกายของแต่ละคน



ขอบคุณข้อมูลจาก นพ.กฤษฎิ์ พฤกษะวัน ศัลยศาสตร์กระดูกและข้อ - เท้าและข้อเท้า คลินิกโรคกระดูกและข้อ โรงพยาบาลเวชธานี และรายการหมอนอกเวลา


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

มาทำความรู้จักเอ็นไขว้หน้าหัวเข่าฉีกขาดกันเถอะ



มาทำความรู้จักเอ็นไขว้หน้าหัวเข่าฉีกขาดกันเถอะ

1. เอ็นไขว้หน้าหัวเข่าคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร
ภายในหัวเข่าคนเรามีเส้นเอ็นอยู่หลายเส้น ทั้งเส้นเอ็นภายในหัวเข่าและเส้นเอ็นรอบๆหัวเข่า ซึ่งเส้นเอ็นภายในหัวเข่าทั้งหมดนั้น จะทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงและเพิ่มความมั่นคงให้กับหัวเข่า เส้นเอ็นไขว้หน้าจะทำหน้าที่ป้องกันการเคลื่อนหลุดหัวเข่าไปทางด้านหน้า และป้องกันการบิดหมุนของหัวเข่าที่มากเกินไปป้องกันการเคลื่อนหลุดหัวเข่าไปทางด้านหน้า และป้องกันการบิดหมุนของหัวเข่าที่มากเกินไป

2. เอ็นไขว้หน้าหัวเข่าฉีกขาดเกิดจากสาเหตุใดบ้าง
สาเหตุส่วนใหญ่ที่พบมักจะเกิดจากการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา จะสังเกตได้ว่านักกีฬา มีการหกล้มและหัวเข่าบิด ทำให้เอ็นไขว้หน้าหัวเขาฉีกขาด โดยเฉพาะกีฬาเข้าปะทะ เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล รักบี้ หรือตะกร้อ สาเหตุอื่นๆอาจจะเกิดมาจากอุบัติเหตุตามท้องถนนหรือการลื่นหกล้มทั่วไป

3. ถ้าเอ็นไขว้หน้าหัวเข่าฉีกขาดจะเกิดมีอาการอย่างไรบ้าง
หลังจากการได้รับอุบัติเหตุผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหัวเข่าทันที และมีหัวเข่าบวม เนื่องจากมีเลือดออกภายในหัวเข่าค่อนข้างมาก ผู้ป่วยยังไม่สามารถลงน้ำหนักในขาข้างนั้นได้ หลังจากที่อาการปวดและบวมของหัวเข่าดีขึ้นประมาณ 2-3 สัปดาห์ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าหัวเข่าข้างที่มีปัญหานั้นมีอาการสั่นคลอนไม่มั่นคง มีอาการเสียวหัวเข่า เหมือนหัวเข่าจะทรุดตัวลงไป ในกรณีที่ผู้ป่วยมีหมอนรองกระดูกฉีกขาดร่วมด้วย ผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดและขัดหัวเข่า ดังนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่ มักจะไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติได้

4. มีวิธีการรักษาเอ็นไขว้หน้าหัวเข่าฉีกขาดอย่างไร
จุดมุ่งหมายของการรักษา คือ การต้องการให้ผู้ป่วยได้กลับไปเล่นกีฬาได้ตามปกติ (หลักการ คือ จับหมอนรองกระดูกที่ขาดออกมาข้างนอกติดติดเข้าไปข้างใน และเอ็นส่วนอื่นเข้าไปใส่แทน)ในการรักษาระยะแรกจะทำการกายภาพบำบัดเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อต้นขาให้มีความแข็งแรงมากขึ้น หัวเข่ามีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้ป่วยหลายรายจะรักษาด้วยวิธีกายภาพบำบัดเพียงอย่างเดียวมักไม่ได้ผล จึงจำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด การผ่าตัดสร้างเอ็นไขว้หน้าด้วยวิธีการส่องกล้องนั้น ในปัจจุบันถือเป็นวิธีที่เป็นมาตรฐานและได้รับการยอมรับ กรณีที่มีหมอนรองกระดูกฉีกขาดร่วมด้วย ก็จะรักษาเย็บซ่อมในคราวเดียวกัน ข้อดีของการผ่าตัดส่องกล้อง คือ (ภาพที่เห็นชัดเจน แพทย์ทำการผ่าตัดได้ดีแม่นยำมากขึ้น) แผลผ่าตัดค่อนข้างเล็ก  และการฟื้นตัวหลังผ่าตัดจะจะทำได้เร็วกว่าการผ่าตัดแบบปกติ

ขอบคุณข้อมูลจากโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา  แพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดส่องกล้องภายในข้อ แพทย์ประจำศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูและเวชศาสตร์การกีฬา

ปวดเข่า


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

4 ปัญหาปวดๆ ที่เกิดในยุคสมาร์ทโฟน (2)



4 ปัญหาปวดๆ ที่เกิดในยุคสมาร์ทโฟน (2)
 3.กดไม้ยั้งทำนิ้วล็อค

อาการปวดและชาบริเวณมือ โดยเฉพาะโคนนิ้วจนไมสามารถหยิบได้ มักพบเสมอในสาวกสมาร์ทโฟน
ที่ไม่ว่าจะอยู่ทีไหนก็กดได้ทุกที่ทุกเวลา คุณหมอจิรันธนินเตือนว่า “การใช้งานสมาร์ทโฟนมากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น โดยเฉพาะข้อต่อ ทำให้เกิดอาการปวด ตึง และชา จนมีโอกาสเสื่อมได้ก่อนวัยอันควร เป็นสาเหตุของนิ้วล็อกหรือแบล็คเบอร์รี่ทัมบ์ซินโดรม”
            แบล็คเบอร์รี่ทึ่มบ์ซินโดรม (BIackberry Thumb syndrome) เป็นอาการปวดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
บริเวณโคนนิ้วโปัง เนื่องจากใช้งานหนักเกินไป คือ ใช้อุปกรณ์อิเลีกทรอนิกส์ติดต่อกันนาน ๆ กดปุ่ม ซ้า ๆ มาก ๆ จนกล้ามเนื้อเกิดอาการล้าและบาดเจ็บสะสม มีอาการปวดบริเวณกล้ามเนื้อและข้อต่อยึด อาจนำไปสู่ข้อต่ออักเสบหรือเส้นเอนอักเสบได้เร็วขึ้น

4.ภาพเสมือนจริงทำให้คลื่นใส้
             การดูภาพสามมิติหรือได้สมาร์ทโฟนไนระบบ IOS 7 ยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดวงตาล้า หรือบางรายอาจถึงขั้นปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส อาเจียนได้ ดังที่มีกรณีร้องเรียนจากผู้ใช้หลายรายไปยังบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่แห่งหนื่งว่าระบบภาพเหมือนจริงที่คมชัดเป็นพิเศษของสมาร์ทโฟน ทำให้มีอาการเหมือนเมารถ หลังจากใช้ไปเพียง 20 นาทิ
            เฟรเดอริก โบนาโต้ (Frederlck Bonato) นักจิตวิทยา มหาวิทยาสัยมงต์แคลร์สเตต (Montclalr State Unlverslty) รัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งศึกษาเรื่องอาการป่วยจากเทคโนโลยี หรือ ไซเบอร์ซิก (cyberslck) อธิบายว่า อาการเช่นนี้น่าจะเกิดจากจอภาพที่มี่ความคมชัดสูง และกลไกที่เรียกวา พารัลแลกช์เอฟเฟ็กต์ (Parallax Effect) ซึ่งไอคอนต่าง ๆ บนหน้าจอจะเคลื่อนไหวเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา เพื่อหลอกสมองให้เห็นเป็นภาพสามมิติ ไอคอนต่าง ๆ จึงเหมึอนลอยอยู่เหนือแบ็กกราวนด์ แถมทุกครั้งที่ใช้เปลี่ยนแอปพลิเคชันจะรู้สืกเหมือน
ตัวโดนดูดเข้าหรือดึงออกจากหน้าจอกลไกเช่นนี้ทำให้สมองสับสน เนื่องจากสมองเห็นภาพที่ทำให้เข้าใจว่า
ตัวกำลังเคลื่อนไหว ทั้งที่จริง ๆ แล้วกำลังอยู่นิ่ง และย่างภาพนั้นคมชัดมาก สมองจึงเข้าใจว่าภาพที่เห็นเป็นของจริง
            คุณเฟรเดอริกยังบอกอีกว่า อาการเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับผู้ชมภาพยนตร์สามมิติและเล่นเกมซิมมูเลเตอร์เช่นกัน แต่ผู้ใเช้สมาร์ทโฟนจะได้รับผลกระทบมากกว่าเนื่องจากจอเล็กกว่า เราจึงวางชิดกับใบหน้ามากกว่า ทำให้สมองจดจ่ออยู่แต่ภาพที่เห็น ยิ่งแท็บเล็ตซึ่งมีหน้าจอใหญ่ก็จะยิ่งครอบคลุมกรอบการมองเห็นที่กว้างกว่า
ทำให้รู้สึกสบายได้ง่ายขึ้น
            นอกจากนี้ กามองภาพสามมิติยังทำให้ดวงตาสับสน เพราะภาพที่ดวงตาเห็นเป็นสามมิติ แต่จริง ๆ มีแค่สองมิติ ทำให้ดวงตาไม่รู้จะโฟกัสที่จุดไหน ถ้าดูนานๆ อาจเกิดอาการล้าและปวดศีรษะได้

คุณควรทำทุกอย่างตามที่แนะนำ และใช้อย่างมีสติ จะช่วยให้ทุกคนใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างมีความสุข


ขอบคุณข้อมูลจาก ชีวจิต ฉบับ 366 มกราคม 2557


สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

4 ปัญหาปวดๆ ที่เกิดในยุคสมาร์ทโฟน (1)




4 ปัญหาปวดๆ ที่เกิดในยุคสมาร์ทโฟน (1)
 ใครเลยจะนึกว่าเจ้าเครื่องมือเล็กๆ ซึ่งเปรียบเสมือนเพื่อนคู่กายของเราแทบทุกคนเครื่องนี้ จะก่อปัญหาให้เราปวด ปวด ปวด และปวดได้ขนาดนี้ นั้นเป็นเพราะใช้เกินพอดีหรือใช้ผิดๆ จึงส่งผลเสียต่อสุขภาพ

1.ก้มมากไปทำปวดหลัง
            ปัจจุบันนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนตั้งหน้าตั้งตาจิ้มกดสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ตเป็นการใหญ่ คุณหมอและนักวิชาการจึงออกมาเตือนว่า ผู้ใช้สมาร์ทโฟนผิดท่าอาจเสี่ยงเกิดอาการบาดเจ็บที่คอ หลัง หรือมึอได้ เนื่องจากผู้ใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตส่วนมากมักนั่งเล่นในลักษณะที่เรียกว่า “ไอโพสเจอร์” (lposture) คือ โน้มตัวไปหาอุปกรณ์ในมือซึ่งอยู่ระดับหน้าอก ส่วนหัวซึ่งมีน้ำหนักมากต้องก้มค้างอยู่นานโดยที่คอและไหล่ต้องรับน้ำหนักมากเกินไป จึงเกิดอาการปวดเกร็งที่ต้นคอเเละไหล่ นานวันเข้าจะมีผลให้สรีระเปลี่ยนไปได้
            ดร.เคนเนธ ฮันสรัจ ศัลยแพทย์กระดูกเและกระะดูกสันหลัง อธิบายว่ากระดูกสันหลังเป็นที่อยู่ของเส้นประสาทที่เชื่อมต่อไปยังสมอง และควบคุมการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้ากระดูกสันหลังผิดรูปไป
เนื่องจากนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้อง จะส่งผลให้เกิดอาการปวด ชา บริเวณมือและขาอ่อนแรง หายใจไม่สะดวก ระบบย่อยและระบบปัสสาวะมีปัญหา  นอกจากนี้ งานวิจัยของมหวิทยาลัยแซนแฟรนชิสโกยังระบุว่าการนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้อง เช่น นั่งหลังค่อม ยังมืผลให้ซึมเศร้า น้ำหนักเพิ่ม กรดไหลย้อน ไมเกรน วิตกกังวล หรือระบบหายใจมีปัญหาได้ ส่วนการนั่งในท่าที่ถูกต้องจะช่วยให้ดูสูงสง่าขื้น หายใจได้เต็มปอด มีพลังกายและพลังชีวิตเพิ่มขึ้น
            ดร.เคนเนธ ยังบอกอีกว่า กระดูกสันหลังอาจมีปัญหาได้ตั้งแต่อายุ  29 ปี จึงควรถนอมดูแลรักษาตั้งแต่อายุยังน้อย โดยอยู่ในท่าที่เหมาะสมอยู่เสมอ คือ ศีรษะตั้งตรง บ่าไม่งุ้ม จะช่วยลดแรงกดกระดูกสันหลังได้
            พันตำรวจโท นายแพทย์จิรันธนิน รตนวารินทร์ชัย กลุ่มงานศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส็ โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า
            คนที่ใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตผิดท่า เช่น ก้มคอลงหาจอภาพ หรือนอนบนโซฟาแล้วโน้มคอลงจ้องจอสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ การค้างในท่าเช่นนี้นานเกิน 20-30 นาทีโดยไม่พักยังเป็นสาเหตุให้หมอนรองกระดูกคอเสื่อมเร็ว จนเสี่ยงเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้
  
2.จอเล็ก ทำลายดวงตา

ผู้ใช้สมาร์ทโฟนทุกที่ทุกเวลา ไม่เว้นแม้แต่บนรถหรือในที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอและโหมใช้มากเกินไปพึงระ วัง นักวิจัยต่างประเทศออกมาเตือนผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับดวงตาและระบบประสาท จนอาจถึงขั้นเวียนศีรษะ คสื่นไส้ และ อาเจียนได้ 
นอกจากการใช้โทรศัพท์มือถีอขณะขับรถจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะทำให้เสียสมาธิและดวงตาอาจปรับโฟกัสไมทัน ถ้าเพ่งมองสมาร์ทโฟน ติดต่อกันนานๆ เเล้ว ยังมีงานวิจัยที่ชี้วา สมาร์ทโฟนอาจเป็นสาเหตุ ให้เกิด
อาการสายตาสั้นเพิ่มขึ้นได้ โดยระบุว่าตั้งแต่มีสมาร์ทโฟนในป็ พ.ศ. 2540 มีแนวโน้มว่าผู้คนจะสายตาสั้นเพิ่มขึ้นถึง 35 เปอร์เซ็นต์ เหตุเพราะผู้ใช้สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่มักจ้องจอโทรศัพท์ในระยะใกล้เกินไป โดยมักก้ม
หน้าจ้องจอภาพในระยะที่ใกล้กว่าเมื่ออ่านหนังสือหรือหนังสือพิมพ์ถึง 7 - 8 นิ้ว

ดร.มาร์ก โรเซนฟิลด์ นักวิชาการวิทยาลัยออปโทเมทรี (couege of optometry) อธิบายว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหน้าจอและตัวหนังสึอที่เล็ก ทำให้ต้องเพ่งใกล้มากขึ้น ส่งผลให้ดวงตาต้องทำงานหนัก เนื่องจากต้องจ้องจอภาพที่อยู่ไนระยะใกล้เป็นเวลานานยิ่งจอใกล้มากเท่าใด ดวงตายิ่งทำงานหนักและเกิดอาการล้าได้มากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้การที่ดวงตาทั้งสองข้างต้องเพ่งไปที่จุดเดียวในระยะเวลานาน ๆ อาจทำให้รู้สึกล้าหรือปวดศีรษะได้
อีกทั้งเมือจ้องจอโทรศัพท์ติดต่อกันนานเกินโป จะทำให้ตาแห้ง ซื่งอาจเป็นสาเหตุให้ดวงตาติดเชื้อหรึออักเสบได้ หรึออาจทำให้เลนส์ตาเสื่อมได้เร็วขึ้น จืงมีโอกาสเป็นต้อกระจกหรือต้อหินมากขึ้น โดยในไต้หวันมีผู้ปวยเป็นต้อกระจกที่อายุระหว่าง 30-50 ปีเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเป็นประจำ

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ ชีวจิต ฉบับ 366 มกราคม 2557

ปวดหลัง

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

การวิ่งกับข้อเข่าเสื่อม






การวิ่งกับโรคข้อเข่าเสื่อม
                   การวิ่ง นับเป็นหนึ่งในการออกกำลังที่แสนง่ายดาย แถมยังประหยัด แค่มีรองเท้าผ้าใบสักคู่กับถนนหนทางที่ปลอดภัย เพียงเท่านี้ก็เป็นอันว่าวิ่งได้

                  วิ่งเพื่อการออกกำลังร่างกายต้องใช้อวัยวะและระบบร่างกายต่างๆ เพื่อที่จะควบคุมการเคลื่อนไหวและรับน้ำหนัก โดยเฉพาะส่วนกล้ามเนื้อและข้อต่อส่วนขา ตั้งแต่กระดูกสันหลัง ไปจนถึงสะโพก ข้อเข่า ข้อเท้าและข้อต่อต่างๆในเท้าจำนวนมาก ที่จะต้องรับน้ำหนักหรือแรงกระแทกหลายเท่าตัวของภาวะปกติ กล่าวคือ การเดินแต่ละก้าว ขาและข้อต่อมีแรงผ่านสูงกว่า 3 เท่าของน้ำหนักตัว การที่เราวิ่งหรือกระโดดแต่ละครั้ง ก็จะมีแรงกระทำกับกระดูกและข้อได้ 10 เท่าของน้ำหนักตัว ถือว่าเป็นแรงผ่านที่สูงมาก สำหรับข้อต่อที่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับขนาดของร่างกาย

                   เมื่อมีการออกกำลังวิ่งอย่างหนัก ควรที่จะสลับกับการวิ่งเบาๆ สลับกันเป็นช่วงๆ ใน 1 สัปดาห์ เพราะว่าความล้าในการออกกำลังกายจะทำให้บาดเจ็บได้ง่าย เช่น เส้นเอ็นบางส่วนฉีกขาดภายในทำให้ผู้ออกกำลังกายเจ็บ อักเสบ ถึงแม้การซ่อมแซมตัวเองของร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ แต่อาจจะไม่ยืดหยุ่นเท่าเดิมและง่ายที่จะบาดเจ็บซ้ำ ฉะนั้น การป้องกันไม่ให้บาดเจ็บเป็นประเด็นสำคัญในการออกกำลังกาย แต่ก่อนจะก้าวขาเข้าสู่ลู่วิ่งเพื่อสุขภาพ ลองเช็กสิ คุณรู้จักการวิ่งกับข้อเข่าเสื่อมดีแล้วหรือยัง

                   หากความเชื่อเดิมๆที่ใครต่อใครพร่ำบอกว่า วิ่งมากไปข้อเข่าจะเสื่อม หรือคนอ้วนและผู้สูงวัยไม่ควรวิ่ง ยังอยู่ในความคิด บอกเลยว่า การออกไปวิ่งของคุณยังไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ต้องลบความเชื่อเหล่านี้ทิ้งไป เพราะการวิ่งที่ถูกต้อง นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ยังช่วยป้องกันข้อเข่าเสื่อมได้อีกด้วย

การวิ่งกับข้อเข่าเสื่อม
               หลายๆคนมักโยนความผิดให้การวิ่ง ว่าเป็นสาเหตุประการหนึ่งของโรคข้อเข่าเสื่อม ทั้งที่ความเป็นจริง เข้าเข่าเสื่อมเกิดจากความร่วงโรยตามวันเวลา กระดูกอ่อนบริเวณข้อย่อมเสื่อมสภาพจนไม่สามารถเป็นเบาะรองรับน้ำหนัก และสูญเสียคุณสมบัติการเป็นน้ำหล่อเลี้ยงเข่า เมื่อมีการเคลื่อนไหวจนเกิดการเสียดสีและสึกหรอของกระดูกอ่อน

                  นายแพทย์ธนพจน์ จันทร์นุ่ม ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวถึงความเชื่อที่ว่า “ความจริงแล้วการวิ่งอย่างถูกวิธีอย่างต่อเนื่อง ช่วยป้องกันข้อต่อไม่ให้เสื่อมเร็ว การหยุดวิ่งหรือขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสมต่างหาก ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้ข้อเสื่อม”

                   “เพราะการวิ่งแต่ละก้าว จนทำให้เกิดแรงกดที่กระดูกอ่อนผิวข้อ ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายฟองน้ำคอยรับแรงกระแทกในข้อ แรงกดและปล่อยอย่างเป็นจังหวะจากการวิ่งจะเพิ่มการหมุนเวียนน้ำหล่อเลี่ยงภายในข้อ ซึ่งเป็นสารอาหารให้เซลล์กระดูกอ่อนไม่มีเลือดมาเลี้ยง แต่จะได้สารอาหารและออกซิเจนจากน้ำหล่อเลี้ยงข้อเท่านั้น ”

              “การเคลื่อนไหวข้อที่มีแรงกดที่กระดูกอ่อนอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ จึงเป็นการให้อาหารกระดูกอ่อน กระตุ้นการสร้างและซ่องแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยลดความเสี่ยงข้อเสื่อม”

ชอบคุณข้อมูลจาก   หนังสือชีวจิต  เล่มที่ 384 ปีที่ 16 : 1 ตุลาคม 2557

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

โรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทบริเวณส่วนคอ




โรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทบริเวณส่วนคอ
โรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทบริเวณคอนั้น เกิดมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นหมอนรองกระดูกที่มีความเสื่อมสภาพมาทับบริเวณของเส้นประสาท หรือเกิดมาจากการที่เริ่มมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น มีการงอกของกระดูกบริเวณส่วนคอ อาจมากดทับบริเวณรากของเส้นประสาทได้ จึงมีอาการปวดบริเวณคอ คอแข็งและมีอาการปวดร้าวลงมาที่มือ ทำให้เกิดการปวดที่บ่า ปวดหัวไหล่และมีอาการปวดร้าวลงมายังแขน ในผู้ที่มีอาการบางคนจะมีความผิดปกติส่วนอื่นๆ ร่วมด้วย อย่างเช่น การเกิดหมอนรองกระดูกยื่นออกมากดทับเส้นประสาทไขสันหลัง ทำให้เกิดอาการบริเวณของกล้ามเนื้อแขนเริ่มอ่อนแรง มีอาการชาบริเวณแขนและขาได้

การรักษาอาการเบื้องต้นต้องทำอย่างไร
สำหรับการรักษาของอาการเบื้อนต้นนั้น จะมีการรักษาตามอาการปวด หากเกิดเป็นอาการปวดที่เกิดมาจากการถูกกดทับเส้นประสาท และทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งจะได้รับการรักษาด้วยการรับประทานยาแก้ปวด NSAID เพียงเท่านั้น เมื่ออาการยังไม่ดีขึ้น อาจมีอาการปวดมากขึ้น ควรที่จะมีการรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการทำกายภาพบำบัด ด้วยการประคบร้อน และประคบเย็น การใช้อัลตร้าซาวด์จะสามารถช่วยในการลดอาการเกร็งของบริเวณกล้ามเนื้อ วิธีการดึงคอเพื่อช่วยในการลดการกดทับของเส้นประสาท การใส่ปลอกคอเพื่อให้มีการพักของการใช้งานกระดูกบริเวณต้นคอ การจัดกระดูก Chiropractic Manipulation จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญทำให้เท่านั้น จะสามารถช่วยในการลดอาการปวดได้ ถ้ามีอาการปวดมากอาจจะต้องใช้ยาสเตอรอยด์ร่วมด้วยเพื่อช่วยในการระงับอาการปวดได้เป็นอย่างดี การฉีดยาเข้าบริเวณที่มีอาการปวด ส่วนการผ่าตัดนั้นจะทำก็ต่อเมื่อการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ไม่เป็นผล การผ่าตัดของหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทบริเวณส่วนของคอ

ในปัจจุบันสามารถทำการรักษาได้ด้วยกันอยู่ 2 วิธี
1.       การผ่าตัดที่เรียกว่า Anterior Cervical Discectomy and Fusion เป็นการผ่าตัดเอาหมอนรองกระดูกออก ในปัจจุบันได้มีการศึกษาด้วยการใช้กล้องในการผ่าตัด (Microscope) เพื่อผ่าตัดเอาหมอนรองกระดูกออกทั้งหมดแล้วใส่กระดูกเทียมเข้าไป การใส่หมอนรองกระดูกเทียมหรือการใส่กระดูกของผู้ที่มีอาการในบริเวณอื่นๆ แทนที่
2.       การผ่าตัดที่เรียกว่า Posterior Cervical Discectomy เป็นการผ่าตัดด้วยการนำหมอนรองกระดูกออกด้วยการผ่าตัดหลัง วิธีการผ่าตัดจะสามารถทำได้ยากกว่าการผ่าตัดทางด้านหน้า เป็นการผ่าตัดที่ต้องเอาหมอนรองกระดูกออกเพียงบางส่วน อย่างเช่น การผ่าตัดหมอนรองกระดูกทางด้านหลัง ก็คือ การที่ผ่าตัดขยายส่วนที่เป็นเส้นประสาททางด้านหน้านั้นเอง การผ่าตัดทั้ง 2 วิธีนี้ ผู้ที่มีอาการจะต้องใช้เวลาในการนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 3 – 4 วัน จึงสามารถกลับบ้านได้ และควรที่จะทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://th.yanhee.net/operation/197/20/TH
ปวดคอ
สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน