disable right click

วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เส้นเอ็นข้อเข่าบาดเจ็บ (Collateral ligament injuries)



เส้นเอ็นข้อเข่าบาดเจ็บ (Collateral ligament injuries)
เข่าถือเป็นข้อต่อที่สำคัญในการเคลื่อนไหวร่างกาย ในการเดิน วิ่ง สปริงตัว ย่อตัว  และเป็นข้อต่อที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย และแบกรับน้ำหนักของร่างกายด้วย 
ข้อเข่า ประกอบด้วย กระดูกที่สำคัญ  3  ชิ้นคือ 
1. กระดูกต้นขา(thighbone) , 
2. กระดูกแข้ง(shinbone) 
3. สะบ้า (kneecap) กระดูกสะบ้าจะอยู่ด้านหน้าของข้อเข่าจะยึดติดกระดูกต่างๆ โดยมีเอ็นหุ้ม ลักษณะคล้ายเกราะป้องกัน

กระดูกเชื่อมต่อกับกระดูกอื่นด้วยเส้นเอ็น มีเส้นเอ็นหลักๆอยู่4เส้นที่ทำหน้าที่เหมือนเชือกที่แข็งแรงที่จะยึดกระดูกไว้ด้วยกันและทำให้เข่ามั่นคง

- เส้นเอ็นไขว้ (Cruciate ligaments) เส้นเอ็นประเภทนี้จะพบภายในข้อเข่าซึ่งจะวางตัวไขว้กันเป็นรูปตัวx ของเส้นเอ็นไขว้หน้าในด้านหน้าและเส้นเอ็นไขว้หลังในด้านหลัง ทำหน้าที่ในยึดกระดูก เพื่อให้เกิดการยึดหยุ่น ควบคุมการเคลื่อนที่ไปด้านหน้า-ด้านหลังของเข่า
- เส้นเอ็นด้านข้าง (Collateral ligaments) เส้นเอ็นประเภทนี้จะพบที่ด้านข้างของเข่า โดยมี medial collateral ligament(MCL)อยู่ด้านข้างด้านใน เชื่อมกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้ง และ lateral collateral ligament(LCL) อยู่ด้านข้างด้านนอกจะเชื่อมกระดูกต้นขาและกระดูกน่อง   เส้นเอ็นเหล่าเหล่านี้จะควบคุมการเคลื่อนไหวไปด้านข้างของเข่า 

นักกีฬาที่เล่นกีฬาที่มีการปะทะโดยตรงเช่น ฟุตบอลมีโอกาสที่จะได้รับการบาดเจ็บเส้นเอ็นด้านข้างข้อเข่าฉีดขาด หรือเกิดการอักเสบได้ เส้นเอ็น MCL มักจะได้รับการบาดเจ็บบ่อยกว่า เส้นเอ็น LCL เนื่องจากโครงสร้างของเข่าด้านนอกของด้านข้างจะซับซ้อนกว่า ดังนั้นถ้าLCLได้รับการบาดเจ็บ โครงสร้างส่วนอื่นๆในเข่าอาจได้รับการบาดเจ็บตามไปด้วย
เพราะความแข็งแรงมั่นคงของข้อเข่าจะขึ้นอยู่กับเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบๆ มันจึงบาดเจ็บได้ง่าย การปะทะเข่าโดยตรงหรือกล้ามเนื้อมีการหดตัวอย่างรุนแรง เช่นจากการเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็วขณะวิ่งจะทำให้เส้นเอ็นบาดเจ็บได้
1. เส้นเอ็นบาดเจ็บอาจหมายถึงการ”อักเสบ” และมีการวัดระดับความรุนแรง
1.1 การบาดเจ็บระดับ 1 (Grade 1 sprains) เส้นเอ็นที่ได้รับบาดเจ็บในระดับ1จะมีการยืดออกเล็กน้อยแต่ยังคงสามารถที่จะช่วยให้ข้อเข่าคงตัวไว้ได้
1.2 การบาดเจ็บระดับ2 (Grade 2 sprains) การบาดเจ็บระดับ2จะทำให้เส้นเอ็นยืดจนถึงจุดที่มันหลวม ซึ่งมักจะหมายถึงเส้นเอ็นฉีกขาดบางส่วน
1.3 การบาดเจ็บระดับ3 (Grade 3 sprains) การบาดเจ็บระดับนี้ส่วนใหญ่มักจะหมายถึงเส้นเอ็นฉีกขาดจากกันออกเป็น2ส่วนและข้อเข่าจะไม่มั่นคง

สาเหตุ (Cause)
การบาดเจ็บเส้นเอ็นด้านข้างมักมีสาเหตุมาจากโดนแรงกระแทกเข่าด้านข้าง MCLฉีกขาดจากการกระแทกเข่าด้านข้างด้านนอกเข้าไปข้างในไปชนเข่าอีกข้าง ส่วนกระกระแทกเข่าด้างข้างด้านในขาหนีบออกไปด้านนอกจะทำให้LCLบาดเจ็บ
อาการ (Symptoms)
-ปวดตรงด้านข้างเข่า ถ้า MCL บาดเจ็บจะปวดด้านข้างด้านในขาหนีบ ถ้า LCL บาดเจ็บจะปวดด้านข้างด้านนอกเข่า
-เข่าบวม
- รู้สึกเหมือนเดินแล้วจะล้ม ไม่มั่นคง
 การตรวจทางแพทย์ (Doctor examination)
กรตรวจทางร่างกายและประวัติผู้ป่วย(Physical examination and patient history)
เมื่อมาพบแพทย์ครั้งแรก แพทย์จะถามถึงอาการและประวัติการรักษา
 เมื่อแพทย์ได้ตรวจร่างกาย แพทย์จะเช็คโครงสร้างเข่าทั้งหมดและเปรียบเทียบกับข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ การบาดเจ็บของเส้นเอ็นส่วนใหญ่สามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจร่างกาย
การตรวจถ่ายภาพ(Imaging tests)
การตรวจอื่นๆอาจช่วยยืนยันการวินิจฉัยของแพทย์ รวมถึง
X-rays ถึงแม้ว่าภาพX-raysจะไม่แสดงการบาดเจ็บของเส้นเอ็นแต่มันจะแสดงให้เห็นว่ามีการบาดเจ็บอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับกระดูกหักหรือไม่
MRI ภาพMRIจะทำให้เห็นลักษณะของเนื้อเยื่ออ่อนเช่นเส้นเอ็นด้านข้างชัดเจนขึ้น

การรักษา(Treatment)
ผู้ที่มีอาการ เอ็น MCL หรือ เอ็น LCL อย่างเดียวบาดเจ็บ มักจะไม่ต้องผ่าตัด แต่ถ้าเอ็น LCL, MCL บาดเจ็บแล้วมีส่วนอื่นๆ บาดเจ็บด้วยก็จะต้องรักษาโดยการผ่าตัด
- การรักษาแบบไม่ผ่าตัด(Nonsurgical treatment)
ประคบเย็น(Ice) การประคบเย็นเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้อาการดีขึ้น วิธีการประคบที่เหมาะสมคือใช้นำแข็งทุบประคบโดยตรงบริเวณที่บาดเจ็บประมาณ15-20นาทีในทุก1ชั่วโมง ไม่ควรใช้ถุงประคบเย็น(“Blue” ice)วางบนผิวหนังโดยตรงและยังได้ผลดีไม่เท่ากับน้ำแข็งประคบ ใส่Knee Brace(Bracing) คนไข้ต้องปกป้องเข่าตัวเองจากการโดนกระแทกด้านข้างที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำ และอาจต้องเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงกิจกรรมเสี่ยงต่างๆ แพทย์อาจแนะนำให้คนไข้ใส่ Knee brace เพื่อที่ป้องกันแรงกดหรือแรง stress  และอาจแนะนำให้ใช้ไม้ค้ำยันเพื่อเลี่ยงการลงน้ำหนักไปที่ขา กายภาพบำบัด(Physical therapy) ให้ออกกำลังกายฝึกความแข็งแรง โดยท่าเฉพาะที่แพทย์แนะนำจะช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาให้เข่ากลับมาทำหน้าที่ได้ตามปกติ
- การรักษาแบบผ่าตัด(Surgical treatment)
การบาดเจ็บของเส้นเอ็นด้านข้างส่วนใหญ่สามารถรักษาให้หายได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ถ้าเส้นเอ็นด้านข้างฉีกขาดแบบที่ไม่สามารถสมานเองได้ หรือมีเส้นเอ็นอื่นๆขาดร่วมด้วย แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อเย็บซ่อมเส้นเอ็น

เมื่อคนไข้กลับมาเคลื่อนไหวได้ตามปกติ  และเดินไม่กะโผลกกะเผลก แพทย์จะอนุญาตให้ค่อยๆเพิ่มกิจกรรมตามลำดับจนกลับไปเล่นกีฬาได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนไข้เล่นฟุตบอล กิจกรรมที่เริ่มต้นคือวิ่งจ้อกกิ้ง ตามมาด้วยวิ่งเร็วระยะสั้น วิ่งอย่างเต็มที่ และเตะลูกบอล แพทย์อาจแนะนำให้ใส่ผ้าพันข้อขณะเล่นกีฬาด้วย ขึ้นอยู่กับระดับความอักเสบที่จะเกิด
ขอบคุณข้อมูลจาก jointdee.info





วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เมื่อปวดหลังจะส่งผลเสียต่ออะไรบ้าง


เมื่อปวดหลังจะส่งผลเสียต่ออะไรบ้าง
          ปวดหลังไม่ใช่เรื่องเล็กอย่าคิดว่ามันจะปวดเพียงเวลาสั้น ๆ จากนั้นก็จะหายดีแล้ว มันอาจจะใช่สำหรับบางคนแต่กับบางคนมันอาจไม่ใช่ปวดหลังแล้วจะปวดหลังเลย มันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะหากปวดหลังหนัก ๆ ขึ้นมาจะทำให้เราพลาดอะไรไปหลายอย่างเลย อยากทำอะไรที่ตัวเองคิดว่าทำได้แต่ถ้าปวดหลังแล้วก็อาจจะทำไม่ได้เลยมันคงจะน่าเสียดายไม่น้อย พยายามดูแลสุขภาพให้ดีจะดีกว่า ไม่ว่าแต่หลังเพียงอย่างเดียวทุก ๆ ส่วนในร่างกายจะต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเราต้องใช้งานร่างกายให้เป็นไม่ใช่ทรมาน

ผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นหากเรามีอาการปวดหลัง
ทำให้เสียเวลาในการทำงานต่าง ๆ หากยังสามารถทำงานได้แต่จะทำงานได้ช้าลง
ปวดหลังมาก ๆ ทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ทำได้แต่นอนอย่างเดียวชีวิตคงจะน่าเบื่อเอามาก ๆ
ปวดแบบเรื้อยังต้องเสียเงินซื้อยาอยู่บ่อย ๆ
เสียค่ารักษาพยาบาลแพงหากต้องไปหาหมอบ่อยครั้งโดยเฉพาะคนที่ไม่มีประกันเบิกได้
ทำงานบ้านไม่ได้ ปลูกต้นไม้ ขับรถ ยกของ ฯลฯ ทำไม่ได้เลยเพราะจะทำให้หลังจะยิ่งปวด
นั่งนานไม่ได้ นั่งหลังงอไม่ได้ ยืนนานก็ยังจะไม่ได้
ไม่สบายตัว
         ผลเสียมีมากกว่าที่กล่าวมาสรุปก็คือส่วนใหญ่แล้วถ้าหากปวดหลังก็จะทำอะไรที่ต้องใช้แรงมากไม่ได้นั่นเอง มันเป็นแล้วมีทั้งชนิดที่รักษาหายได้และรักษาไม่หายทำได้แค่การบรรเทาเท่านั้น

วิธีรักษาอาการปวดหลังเบื้องต้น
- นอนพัก หรือหยุดทำอะไรไปสักพักเพื่อให้หลังแต่ส่วนอื่น ๆ ได้พักตาม
- นวดเบา ๆ ตรงบริเวณที่ปวด
- ถ้านวดแล้วยังไม่ดีขึ้นก็ทายาจากนั้นก็นวดเบา ๆ ด้วย
- ถ้าขั้นตอนข้างบนยังไม่หายก็ต้องพบแพทย์สถานเดียว

         วิธีการรักษาอาการปวดหลังทางสุดท้ายของคนที่ปวดหลังมาก ๆ จะไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการไปพบแพทย์ให้ทำการรักษาโรค บางทีมันอาจจะไม่ใช่แค่อาการปวดหลังธรรมดา ๆ เท่านั้นบางคนมีโรคแทรกซ้อนเข้ามาด้วยยิ่งทำให้ปวดหลังมากยิ่งขึ้น  หรือหากไม่มั่นใจว่าอาการปวดหลังของตัวเองนั้นเป็นอะไรกันแน่ให้รีบไปหาหมดตั้งแต่รู้สึกถึงความผิดปกติของอาการเพราะว่ามันไม่ใช่แค่ปวดเมื่อยแล้ว เกี่ยวกับเรื่องของกระดูกสันหลังด้วยหรือไม่หากเกี่ยวกันจะต้องรีบกว่านี้เพราะหากกระดูกสันหลังเป็นอะไรไปเสี่ยงมากที่จะเป็นอันตรายและทำให้เรานั้นไม่สามารถนั่งได้ช่วยตัวเองไม่ได้หนักกว่านั้นก็จะเป็นอัมพาตครึ่งท่อนไปเลย

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

ปวดหลัง

วันอังคารที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ทราบไหมว่าการเป็นไซนัสอักเสบนั้นเกิดมาจากหลายสาเหตุ




ทราบไหมว่าการเป็นไซนัสอักเสบนั้นเกิดมาจากหลายสาเหตุ
คนที่ป่วยเป็นโรคไซนัสอักเสบนั้นไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ ก็เกิดจะเป็นขึ้นมาเฉย ๆ แต่มันมีสาเหตุในการเกิดโรคอยู่ บางคนเกิดเป็นไซนัสแบบเฉียบพลันขึ้นมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นไซนัสคิดว่าเป็นไข้หวัดคัดจมูกธรรมดาแต่กว่าจะรู้ว่าตัวเองนั้นเป็นไซนัสก็ดันเป็นแบบเรื้อรังไปเสียแล้ว การรักษาอาการเรื้อรังนั้นมันก็จะยากขึ้นไปอีกแต่ถ้าหากยังมาหาหมออยู่ยังไงก็ยังมีโอกาสที่จะหายขาดไปได้เหมือนกัน เดี๋ยวเรามาดูสาเหตุกันว่าไซนัสเกิดขึ้นเพราะอะไรบ้าง

สาเหตุของการเป็นโรคไซนัสอักเสบ

       การเกิดเป็นโรคไซนัสอักเสบของแต่ละคนอาจจะมีจากสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเพราะว่ามีเชื้ออยู่ในโพรงจมูกทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นมานั่นเอง ซึ่งสาเหตุทั้งหมดจะมีดังต่อไปนี้
  1.         เป็นหวัดเรื้อรัง
  2.         ฝุ่นละออง ควัน ที่อยู่ในอากาศแล้วเราหายใจเข้าไป
  3.         เป็นโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ
  4.        เป็นโรคริดสีดวงที่จมูก
  5.      แพ้ขนสัตว์
  • ที่กล่าวมานี้จะเป็นสาเหตุหลักของการทำให้เกิดเป็นโรคไซนัสอักเสบเลย ถ้าหากใครรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมดังกล่าวอย่าลืมหาวิธีการป้องกันและดูแลตัวเองให้ดี คนที่ป่วยเป็นไซนัสอักเสบนั้นมักจะมีอาการอื่น ๆ ตามมาด้วยเหมือนกับว่าเริ่มจะป่วยหนักไปเลยก็มี

อาการข้างเคียงจากการเป็นไซนัสอักเสบ
มันอาจจะมีหลายอย่างแทรกตามมาทำให้เรานั้นต้องรู้สึกป่วยมากขึ้นเป็นธรรมดาของโรคไซนัสมาดูกันว่าผลข้างเคียงเหล่านั้นมีอะไรบ้างดังนี้

  •      อาการปวดศีรษะโดยอาการนี้จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากที่มีการเป็นหวัดแล้ว แต่นอกจากการปวดหัวก็ยังปวดส่วนอื่นไปด้วย ปวดไปทั้งหน้าเลย ทั้ง แก้ม ตา หน้าผาก มึนไปหมด
  •      อาการคัดจมูก อาการนี้จะรู้สึกตลอดแม้ว่าจะมียาในการรักษาหวัดอยู่แล้วก็เถอะ เพราะว่านี่คือไซนัส บางครั้งก็เป็นเอาหนักมากจนหายใจทางจมูกไม่ได้เลย
  •        อาการไอ จะรู้สึกคันคอและไอและหากยังไม่ยอมหายสักทีไอก็จะกลายเป็นเรื้อรังไปด้วย
  •        อาการไข้ขึ้น   บางคนจะมีไข้ขึ้นสูงมากและเป็นร่วมกับอาการอื่น ๆ พร้อมกัน


สิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นได้สำหรับคนที่เป็นโรคไซนัสอักเสบ แต่ว่าบางคนที่มีภูมิต้านทานร่างกายที่แข็งแรงอยู่แล้วนั้นอาจจะไม่เป็นก็ได้ หรือบางคนก็เป็นแทรกมาแค่บางอาการเท่านั้นก็แล้วแต่คนกันไป อย่างไรก็ตามไซนัสนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอนหากรู้ตัวว่ากำลังป่วยอยู่ควรที่จะหาทางรักษาและปรึกษาแพทย์ในทันทีจะได้หายได้ทันการ  

ขอบคุณข้อมูลจาก www.dmh.go.th/qa/view.asp?id=606

สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

ไชนัส