disable right click

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

5 อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการไม่รักษาอาการปวดคอ ที่คุณต้องรู้



อาการปวดคอ คือหนึ่งในอาการที่เรานั้นไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตนเองอย่างแน่นอน เพราะว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะส่งผลให้ชีวิตการทำงานและเรื่องอื่นๆของเรานั้นได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ถ้าคุณนั้นมีอาการปวดคอ แต่ไม่ทำการรักษาให้หายขาดตั้งแต่ต้น หรือบรรเทาตั้งแต่ต้นแล้ว เหตุการณ์ต่อไปนี้อาจเกิดขึ้นกับคุณได้ และเป็นอันตรายอย่างมาก

1.ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวก่อน
สิ่งแรกที่คุณนั้นจะรู้สึกได้คือ มีความรู้สึกของความไม่สบายตัวก่อน อันเนื่องมาจากมีอาการปวดบริเวณคอนั่นเอง อาการนี้นั้น จะเป็นอยู่เรื่อยๆ และไม่หายจนกว่าจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งหากคุณทำงานไปด้วย ก็จะมีความรู้สึกว่าไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ ทำให้การทำงานได้รับผลกระทบ

2.มีอาการของตัวร้อนและเป็นไข้
หลังจากนั้นหากอาการปวดคอของคุณนั้นไม่ได้รับการแก้ไข สิ่งที่ตามมาคือ จะมีอาการของการตัวร้อน หรือว่าเป็นไข้ ซึ่งแน่นอนว่าหากเป็นอาการแบบนี้นั้น เป็นเรื่องที่แสดงถึงอันตรายที่กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยคุณมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะของ โรคอื่นๆแทรกซ้อนขึ้นมาได้

3.ไม่สามารถหันคอได้เหมือนคนปกติ
เมื่ออาการปวดคอเข้าสู่ระยะที่สามของการไม่รักษา ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการไม่สามารถหันคอ หรือเอี้ยวคอได้ หรือหากทำได้จะทำได้น้อยกว่าอาการของคนปกติอย่างมาก ซึ่งส่งผลทั้งต่อการทำงาน และการดำเนินชีวิตประจำวันของตัวผู้ป่วยเองอีกด้วย ยิ่งในบางรายอาจเกิดอาการปวดด้วยในตอนที่หันคอ

4.เกิดภาวะกล้ามเนื้ออักเสบ และติดเชื้อ
หากไม่ได้รับการรักษา อาการกล้ามเนื้ออักเสบและติดเชื้อ สิ่งที่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนสำหรับผู้ป่วยดังกล่าว ซึ่งนั่นหมายถึง ความรุนแรงของอาการปวดคอนั้นได้ลุกลามเข้าสู่ระยะอันตรายแล้ว และในระยะนี้ผู้ป่วยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการรักษาที่รวดเร็วและทันท่วงที โดยด่วนที่สุด

5.อาจร้ายแรงถึงขั้นเป็นอัมพาต หรืออัมพฤกษ์ได้
สุดท้ายเลยคือ หากปล่อยให้อาการปวดคอยังคงอยู่ต่อเนื่อง โดยที่ไม่ได้รับการรักษาแต่อย่าใดแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ ถือเป็นความเสี่ยงอย่างสูงสุดเพราะว่า คุณนั้นมีโอกาสที่จะเกิดภาวะที่เรียกว่าอัมพาต หรือการเป็นอัมพฤกษ์ได้ ซึ่งนั่นคือเรื่องร้ายแรงที่สุดสำหรับผู้ป่วยครับ


ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว แนวทางทั้ง 5 ประการต่อไปนี้นั้นจะเป็นเสมือนตัวช่วยที่ทำการขับเคลื่อนการทำงาน เพื่อไม่ให้เรานั้นได้รับอันตรายจากการปวดคอ และไม่ทำการรักษาอย่างแน่นอน ดังนั้น อย่าดูเบานะครับ เมื่อเกิดเหตุการณ์แล้วต้องรีบรักษาโดยด่วนที่สุดเสมอๆ



สมัครแจ้งบทความใหม่ผ่านทาาง Line 
เพิ่มเพื่อน

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

5 สาเหตุทำให้ปวดหลังที่ควรรู้


5 สาเหตุทำให้ปวดหลังที่ควรรู้




อาการ ปวดหลัง เป็นอีกอาการหนึ่งที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่ หลายคนเข้าใจว่าอาการ ปวดหลัง จะเกิดกับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ความจริงแล้วไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใดหรือเพศใดก็สามารถมีอาการนี้ได้ทั้งสิ้น ซึ่งมีสาเหตุที่ก่อให้เกิดหลายประการ โดยเฉพาะกิจกรรมต่างๆ ที่ทำในแต่ละวัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ควรรู้และควรหลีกเลี่ยง โดยมี 5 สาเหตุหลักๆ ดังต่อไปนี้

ยกของหนัก
การยกของหนักเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดอาการ ปวดหลัง และโดยเฉพาะการยกของหนักในท่าที่ผิดก็จะส่งผลต่ออาการปวดโดยตรง ดังนั้นเมื่อมีเหตุจำเป็นที่จะต้องยกของหนักควรจะใส่เข็มขัดพยุงหลังเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บ หรืออาการปวดได้ อีกทั้งยังควรยกของในท่าที่ถูกต้องคือกึ่งนั่งยองงอเข่าแล้วยกของขึ้น ไม่ก้มแล้วยกของทันทีเพราะจะทำให้หลังปวดได้

ใส่รองเท้าส้นสูง
สำหรับคุณผู้หญิงที่มักใส่ส้นสูงในการทำงานเป็นประจำนั้นมีโอกาสที่จะเกิดอาการ ปวดหลัง ได้มากกว่า เพราะการใส่รองเท้าส้นสูงเป็นการรับน้ำหนักทั้งหมดติดต่อกันเป็นเวลานาน ดังนั้นหากจำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูงควรพักใส่รองเท้าส้นเตี้ยในวันหยุดเพื่อพักกล้ามเนื้อและส่งผลให้กระดูกหลังตรง

นอนที่นอนนุ่มเกินไป
การนอนพักผ่อนเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นมากต่อทุกคน แต่สำหรับการนอนที่นอนที่มีความนุ่มมากเกินไปก็จะทำให้เกิดอาการ ปวดหลัง ขึ้นได้ เพราะหากที่นอนนุ่มการนอนราบบนที่นอนก็จะทำให้กระดูกสันหลังโค้งหรือคด ซึ่งเป็นท่านอนที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นจึงควรนอนที่นอนที่มีความหนา แน่น และแข็งระดับหนึ่งเพื่อลดอาการปวดลง

นั่งทำงานนาน
การนั่งทำงานนานติดต่อกันทุกวันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทำให้เกิดอาการ ปวดหลัง รวมถึงอาการอื่นๆ อย่างปวดคอ ปวดไหล่ รวมถึงปวดตาด้วย ดังนั้นเมื่อต้องนั่งทำงานนานๆ ควรหาเวลาออกมาเดินเพื่อคลายกล้ามเนื้อ หรือบริหารร่างกายแบบง่ายๆ เพื่อลดอาการปวดด้วย

น้ำหนักมาก
น้ำหนักที่มากขึ้นเป็นสาเหตุของอาการ ปวดหลัง เช่นกัน เนื่องจากร่างกายต้องรับน้ำหนักที่มากขึ้นทำให้การเดิน นั่ง ยืน ไม่คล่องตัว และส่งผลในการนอนที่บริเวณหลังต้องรับน้ำหนักมากขึ้นด้วย ดังนั้นจึงควรควบคุมน้ำหนักด้วย



อาการ ปวดหลัง เป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจและสร้างความรำคาญให้กับใครหลายๆ คน ดังนั้นจึงควรป้องกันโดยดูแลตั้งแต่ที่ต้นเหตุของอาการ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดอาการปวด และรับประทานอาหารหรือสมุนไพรที่ช่วยในเรื่องการรักษาอาการปวดให้ทุเลาหรือดีขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เผย 5 วิธีรักษา สะเก็ดเงิน อย่างไรให้ดีขึ้น




              สะเก็ดเงิน เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางผิวหนัง โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อาจเกิดจากอาการแพ้ระคายเคืองที่ผิวหนัง อาการติดเชื้อและทำให้เกิดความผิดปกติบนผิวหนัง ซึ่ง สะเก็ดเงิน ถือเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เมื่อเป็นแล้วจะต้องดูแลตัวเอง และทำการรักษาให้ผิวหนังนั้นถูกทำร้ายน้อยที่สุด โดยผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเสี่ยงในการที่จะเป็นโรคผิวหนังชนิดนี้เช่นกัน ซึ่งขอแนะนำ 5 วิธีรักษา ดังต่อไปนี้

           ฉายแสงยูวี
              วิธีการรักษา สะเก็ดเงิน ด้วยการฉายแสงยูวี สามารถทำให้อาการโรคผิวหนังชนิดนี้ดีขึ้น ซึ่งการฉายแสงยูวีถือเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ช่วยรักษาโรค สะเก็ดเงิน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการฉายแสงยูวีลงไปในบริเวณที่เป็นโรคผิวหนังเพื่อฆ่าเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดอาการผื่นแดง หรืออาการคันนั้นดีขึ้น
             รับประทานอาหารเสริม
              วิธีการรักษา สะเก็ดเงิน สามารถทำได้โดยการเลือกรับประทานอาหารเสริมที่มีคุณภาพ ซึ่งอาหารเสริมจะเข้าไปขจัดสารพิษในร่างกาย ทำให้เกิดความสมดุลในร่างกาย ซึ่งการรับประทานอาหารเสริมเพื่อรักษาโรคผิวหนังชนิดนี้ช่วยให้เกิดความสมดุลในร่างกาย และยังช่วยทำให้ผิวในบริเวณที่มีอาการผิดปกติชุ่มชื้น และไม่เกิด สะเก็ดเงิน เป็นวงกว้างด้วย
             รับประทานสมุนไพร
             การรักษา สะเก็ดเงิน ด้วยการรับประทานสมุนไพรต่างๆ ที่มีผลวิจัยทางการแพทย์ว่าช่วยในการรักษาโรคผิวหนังโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถรับประทานแทนน้ำ หรือเลือกรับประทานสมุนไพรแบบที่เป็นผลิตเป็นแคปซูลยาเพื่อการรับประทานที่ง่ายขึ้น ซึ่งสมุนไพรเปรียบเสมือนเป็นยาวิเศษที่ช่วยดูแลและรักษาอาการ สะเก็ดเงิน ให้ดีขึ้น
             ฝังเข็ม
             การฝังเข็มถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษา สะเก็ดเงิน ซึ่งวิธีนี้ถือเป็นวิธีการรักษาแบบดั้งเดิมที่มีอิทธิพลมาจากประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีการคิดค้นวิวัฒนาการทางการแพทย์ โดยการฝังเข็มควรฝังไปในจุดต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งจะเข้าไปช่วยปรับสมดุลให้ร่างกายมีระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพและมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรค
            ธรรมชาติบำบัด
            ธรรมชาติบำบัดถือเป็นอีกหนึ่งวิธีในการรักษา สะเก็ดเงิน ซึ่งใช้การดูแลรักษาโรคตัวเองด้วยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทาน โดยรับประทานสมุนไพร การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงการทำดีท็อกซ์เพื่อขจัดสารพิษในร่างกายทำให้ระบบในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย

             วิธีการรักษา สะเก็ดเงิน ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนที่เป็นโรคผิวหนังชนิดนี้ ความจริงแล้ว สะเก็ดเงิน ไม่ได้ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ แต่หากเป็นเรื่องการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การดูแลตัวเองให้ดีขึ้นก็ถือเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญมาก